บทที่ 915 ใบสัญญาสมรสสีแดง
ตงฟางซวนเอ๋อถือร่มแล้วหายไปในฝน
ปิ่นปักผมหยกบนโต๊ะไม่ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย ข้างบนแกะสลักลายนก และก้อนเมฆ มีหยกสีเขียวอ่อนห้อยลงมา เป็นงานที่ค่อนข้างละเอียด ถึงแม้จะอยู่ในเมืองเทียนเหยียนก็คงหาสิ่งของชิ้นดีเช่นนี้มิได้
กู้อ้าวเวยในชุดสีเขียวอ่อนเดินมา ในขณะที่มองเห็นปิ่นปักผมหยกที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่งลงข้างซ่านจินจื๋อ “ปิ่นหยกนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ?”
ซ่านจินจื๋อและกุ่ยเม่ยต่างก็เคร่งเครียดอยู่หลังม่าน ไม่พูดไม่จา
“เจ้าไม่สงสัยหรือว่านางมาทำการข้าอะไรกับข้า?” ซ่านจินจื๋อยักคิ้ว ยื่นไปจับปิ่นหยกนั้นมาก่อนที่นางจะยื่นมือไปหยิบ เก็บไว้ในฝ่ามือ “นี่เป็นของคนรุ่นเก่า ในอดีตนั้นมีเรื่องมากมายซับซ้อนจึงละเลย ลืมไปเลยว่าปิ่นหยกนี้เป็นของรักของหวงของท่าแม่ของนาง เป็นของที่ช่างเก่าแก่ที่เสียชีวิตไปแล้วแกะสลักไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน ราคาสูงเทียบแคว้น”
กู้อ้าวเวยเก็บมือด้วยหน้าตาเฉยเมย “ดูแล้วตงฟางซวนเอ๋อวางแผนมาอย่างดี”
“ข้าเคยพูดแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าทั้งสองยังไม่รู้ความจริง ห้ามไปสืบเรื่องราวเด็ดขาด” ซ่านจินจื๋อมองออกไปด้านนอกเห็นฝนตกอ่อยๆ แล้วหันมามองหัวเข่าของนางด้วยความเคยชิน “หากเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ข้าให้คนส่งเจ้าไปพักผ่อนที่จี้ซื่อถางก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ”
“ข้าเองเป็นหมออยู่แล้ว อีกอย่างถึงข้าออกไปจากที่นี่ เจ้าเองก็ต้องส่งคนคอยติดตามข้าอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องเสียเวลาเช่นนี้เล่า” พูดจบ กู้อ้าวเวยก็ออกไปโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
หากไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของนางมีความรู้สึกแปลกหน้า บางทีซ่านจินจื๋ออาจจะโดนหลอกไปแล้วก็ได้
กู้อ้าวเวยคนนี้ ในสายตาไม่มีใครเหมือนกัน เห็นแก่ส่วนรวม แม้กระทั่งอารมณ์ไม่ได้ พูดจาเสียดสีก็เลียนแบบได้เหมือนเจ็ดเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ
หลังจากที่รอนางออกไป กุ่ยเม่ยจึงออกมาจากหลังม่าน และซ่านเชียนหยวนเองก็มีสีหน้าที่งงเหมือนกัน ปิ่นหยกนี้ต้องเป็นของสำคัญของหญิงสาวแน่ๆ แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเสด็จอานั้นมีเพื่อนคนไหนที่มีของสืบทอดเป็นปิ่นหยกล้ำค่า
“นี่เป็นปิ่นหยกที่หลินเอ๋อร์ใส่ประจำ นางพูดแค่ว่าแม่ของนางเป็นคนให้ไว้ ตอนนี้มาคิดดูแล้ว นี่คงเป็นของหยูนซี แต่ผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปี เสด็จพี่ของข้าไม่มีอำนาจและไม่มีกำลัง แล้วมีวิธีอะไรที่ทำให้หยูนซีสามารถซื้อของราคาแพงแบบนี้ได้” ซ่านจินจื๋อวางปิ่นหยกลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าที่หนักแน่น จับลายแกะสลักแล้วแกะหยกที่ห้อยไว้ออก จึงมองเห็นกระดาษที่ขึ้นราอยู่ด้านใน
เปิดออก ลายอักษรที่ปรากฏตรงหน้านั้นเลือนรางมองไม่ชัดแล้ว
ซ่านจินจื๋อมองดูสักพักก็อ่านไม่ชัดสักที จึงวางอยู่ด้านข้าง แล้วจัดปิ่นหยกให้ดี “เฉิงซาน ลองไปสืบดูว่าปิ่นหยกอันนี้เคยผ่านมือใครมาบ้าง”
“ขอรับ ท่านอ๋อง” เฉิงซานห่อปิ่นหยกนี้ด้วยความระมัดระวัง แล้วค่อยๆ ออกไป
นอกหน้าต่างฝนตกหนัก ซ่านเชียนหยวนอยากไปตามครูในห้องสมุดมาสอบถาม แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ กุ่ยเม่ยหลบไปอยู่ด้านหลังผ้าม่าน ถึงเห็นว่ากู้อ้าวเวยที่ซ่านจินจื๋อพากลับมานั้นจับที่ประตูแล้วเดินไปอีกทาง
ซ่านจินจื๋อลุกขึ้น “เวยเอ๋อ”
“เจ้าอยู่นี่ได้อย่างไร?” กู้อ้าวเวยเดินถอยหลังไปด้วยความงงเล็กน้อย แล้วยืนมองพวกเขาที่ประตู ขยี้ศีรษะเล็กน้อย “เสี่ยวฮัวหายไป ข้ากำลังตามหาอยู่”
มองดูดีๆ ยังคงเห็นเสี่ยวป๋ายนอนอยู่ในอ้อมของนางด้วยความน่ารัก
“สายตาของเจ้ามองไม่ชัดยังจับแมวได้หรือ?” ซ่านจินจื๋ออดขำไม่ได้ ดึงนางเข้ามาแล้วปิดประตู เห็นนางยังคงระแวงและตัวเกรง จึงสั่งให้คนด้านนอกไปตามหาเสี่ยวฮัว
กุ่ยเม่ยเดินออกมาจากม่าน แล้วเห็นกู้อ้าวเวยขยับจมูก ขมวดคิ้วเล็กน้อย “กลิ่นแปลกๆ”
ซ่านเชียนหยวนและกุ่ยเม่ยจึงดมเสื้อเล็กน้อย แต่กู้อ้าวเวยกลับยกมือไปจับที่โต๊ะ แล้วหยิบสมุดไม้ไผ่ของซวนเอ๋อขึ้นมา ดมเล็กน้อย “กลิ่นเลือด”
ซ่านจินจื๋อรับมาดม หางคิ้วชี้ขึ้น “มีกลิ่นแปลก แต่ไม่ใช่กลิ่นคาวเลือด”
พูดอยู่นั้น เขาก็ยื่นไปให้กุ่ยเม่ยดม ทั้งสองคนมองกู้อ้าวเวยด้วยความไม่เข้าใจ กู้อ้าวเวยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ลูบขนของเสี่ยวป๋ายไปมาเบาๆ ไม่คิดที่จะอธิบายเรื่องนี้
ซ่านจินจื๋อจึงแกะออก ในนั้นมีกระดาษบางๆ และข้างๆ มีถุงเล็กๆ
หลังจากที่แกะออก ข้างในส่วนใหญ่เป็นยาที่เหี่ยว กู้อ้าวเอวหยิบสัญญาสมรสนั้นมา แล้วดม จากนั้นก็ขยี้จมูกเบาๆ ด้วยความรังเกียจ และขี้เกียจที่จะไปอ่านว่าด้านบนเขียนอะไรไว้ “อัปมงคล เหตุใดจึงใช้เลือดเขียนหนังสือ”
ซ่านเชียนหยวนทำตามนางไปดมเล็กน้อย รู้สึกว่านี่เป็นกลิ่นธรรมดา หางคิ้วชี้ขึ้น “อัปมงคล? ตัวหนังสือสีแดงนี้แปลว่าครบและมงคลชัดๆ จะใช้เลือดมาเขียนได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้”
“ใช่หรือ?” กู้อ้าวเวยขยี้จมูกด้วยความสงสัย แล้วจามเบาๆ
นางจำไม่ได้เลยว่านี่คือยุคสมัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ซ่านจินจื๋อกลับมองนาง แล้วถาม “เจ้าดมออกได้อย่างไรว่าคือกลิ่นเลือด?”
“ข้าดมก็ได้แต่กลิ่นเลือดทั้งนั้น….” พูดถึงตรงนี้ นางก็แค่เม้มปากเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดต่อ พอได้ยินเสียงของเสี่ยวฮัวนอกประตู นางจึงอุ้มเสี่ยวป๋ายแล้วเดินออกไป รับเสี่ยวฮัวมาจากมือทหารแล้วเดินออกไปพร้อมกับเรียกโม่ซาน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ซ่านจินจื๋อมองกุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างๆ
“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องวิชาหมอ มีเพียงนางที่แยกแยะออก” กุ่ยเม่ยส่ายหน้าไปมา
อักษรในสัญญาสมรสนั้นเป็นระเบียบ แต่ที่มีกลิ่นเลือดนั้นมีความลึกลับ และความลึกลับของปิ่นหยกนั้น คิดว่าตงฟางซวนเอ๋อเองก็คงไม่รู้ เสียดายตัวหนังสืออ่านไม่ชัดแล้ว
กู้อ้าวเวยที่อยู่นอกประตูนั้นเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมโม่ซาน โม่ซานไม่ถูกกับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง จึงให้กู้อ้าวเวยเป็นคนอุ้ม แล้วจับแขนของนางอีกข้าง “ตาของเจ้า แย่ลงใช่หรือไม่?”
กู้อ้าวเวยเกรงตัวเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
รู้ว่าวันนี่นางยุ่งเล็กน้อย โม่ซานเองก็ไม่บังคับนางต่อ แค่หันไปมองฝนนอกหน้าต่าง แล้วถามนาง “วันนี้ทานของร้อนเถอะ เมื่อครู่เจ้าตากฝน จะให้คนต้มน้ำเดือดมาแช่เท้าไหม?”
“ไม่ต้อง ข้าต้องหาวิธีให้คนออกไปซื้อยาให้ข้าสักหน่อย” กู้อ้าวเวยจับหูของเสี่ยวฮัวเล็กน้อย จากนั้นก็วางมันไว้ที่ไหล่ แล้วหยิบสูตรยาออกมาจากอ้อมสองใบ สัมผัสเล็กน้อยจึงยื่นให้โม่ซาน “นี่เป็นสูตรยาสำหรับแขนของเจ้าที่โดนไฟ และอีกใบเป็นของฉีหรัว”
“หากข้าไปส่งของให้เจ้า ในตำหนักนี้ก็จะไม่มีคนคุยเป็นเพื่อนเจ้า” โม่ซานพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังคงเก็บสูตรยาเข้าไปในอ้อม
“ในตำหนักอ๋องจิ้ง ข้าไม่ขาดคนคุยเป็นเพื่อนหรอก” กู้อ้าวเวยพูดจบ โม่ซานเห็นคนปลอมที่กางร่มเดินมาจากตำหนักหลัก ในขณะที่กำลังตกใจนั้น ก็โดนกู้อ้าวเวยผลัก “อย่าพึ่งวู่วาม รอดูสถานการณ์ก่อน”
“หัวใจเจ้าแข็งแกร่งมาก” โม่ซานเหลือกตาขาวด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินออกไปด้วยความเร็ว
ก่อนจะไป นางก็ไม่มีทางลืมที่จะสั่งให้คนไปดูแลกู้อ้าวเวยอยู่แล้ว
มองดูใบหน้าที่เหมือนกันตนเองทุกอย่าง กู้อ้าวเวยแค่วางแมวทั้งสองตัวลงบนพื้น แล้วหันไปมองนาง “คุณหนูใหญ่กู้มีเรื่องอันใดหรือ?”