บทที่ 939 หึงหวงอย่างเห็นแก่ตัว
“ท่านอ๋องจิ้งวันนี้ยังยุ่งอยู่อีกเหรอ?”
ตงฟางซวนเอ๋อร์ปล่อยมือจากตำราบทสวดในมือลง ในขณะที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้นั้น ยิ่งไม่ลืมมองดูฝนที่ตกไหลลงมาจากหลังคาเป็นสาย สายน้ำไหลเทลงเป็นวงกว้าง พวกหญิงในครอบครัวแทบจะไม่ได้ก้าวเท้าออกจากห้อง ผ่านการเดินเล่นอย่างไม่มีอะไรทำมาหนึ่งวัน
เฉิงยีกับเฉิงเอ้อที่ยืนเฝ้าเวรยามอยู่ด้านหน้าประตูก็โค้งตัวลงทำความเคารพ“ถ้าท่านอ๋องจิ้งอยากมา ก็จะมาเองขอรับ”
“ดังนั้น เพียงแค่เพราะว่าอ๋องจิ้งไม่อยากพบพวกเรา”จี้ซูขดตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งของเตียงอย่างเศร้าสร้อย มีสาวใช้คอยบีบนวดขาและไหล่ให้นาง ดวงตาทั้งคู่มีน้ำตาลื่นขึ้นมารอบดวงตา
ตงฟางซวนเอ๋อหัวเราะอย่างเย้ยหยันขึ้นจมูก กำลังได้ยินกู้อ้าวเวยที่อยู่ตรงข้ามเปิดปากพูดขึ้นมาว่า“อ๋องจิ้งไม่ให้ข้าจัดการเรื่องอะไรเลย มีแค่อ๋องจงผิงคอยรับมือคนเดียวน่าจะไม่ไหวนะ”
“คุณหนูกู้กังวลมากเกินไปขอรับ เขาไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถนะขอรับ”ฉีหรัวที่อุ้มยาเดินผ่านไปเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่พอใจ หน้านิ่วคิ้วขมวดมองไปที่กู้อ้าวเวยที่อยู่ภายในห้อง“ก่อนหน้าที่ทั้งๆที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ยังจะกล้าพูดอย่างนี้อีกหรอ?”
“เป็นเพราะว่าเราเป็นเพื่อนกัน ถึงได้เป็นห่วงยังไงล่ะ”กู้อ้าวเวยพูดอย่างเรียบเฉย
ฉีหรัวหัวเราะแล้วส่ายหน้า นำยาห่อใหญ่ยัดให้เฉิงเอ้อ แล้วตบเบาๆสองที“เอาไปมอบให้นักบวชที่อยู่ด้านหลังสวน นำยาสมุนไพรพวกนี้จัดแบ่งให้ดี”
“ขอรับ”เฉิงเอ้ออุ้มของเดินผ่านเฉลียงไป
“คุณหนูฉี น้ำท่วมขังในสวนเยอะมากเลยขอรับ ข้าน้อยได้ให้คนไปดูมาแล้ว คุณหนูได้โปรดรอสักครู่นะขอรับ”เหล่าองครักษ์ที่วิ่งจนหลังเปียกปอนไปหมด ในมือยังถือถังไม้
“พวกเจ้าต้องระวังหน่อยนะ ถึงน้ำไหลจะไหลเร็วมาก แต่ฝนก็ไม่ได้ตกหนัก ไม่ต้องรีบก็ได้”เอ่ยเสียงเบา ฉีหรัวให้เฉิงยีส่งคนสองคนตามประกบ ตนเองเข้าไปหลับในห้องงีบหนึ่ง
น้ำตาของตงฟางซวนเอ๋อลื่นขึ้นรอบดวงตา นางลุกขึ้นไปยืนอยู่ต่อหน้าเฉิงเอ้อ“ฝากไปบอกกับท่านอ๋องด้วยว่า ได้ไหม?”
เฉิงเอ้อพยักหน้า ก้มตัวลงเพื่อฟังสิ่งที่ตงฟางซวนเอ๋อพูด
“ข้ามีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คืนนี้เจอกัน”
พอหลังจากที่พูดจบ ตงฟางซวนเอ๋อก็ยกมือขึ้นมาลูบขมับ“ข้าร่างกายไม่แข็งแรงไม่ทราบว่าข้าจะเข้าไปพักผ่อนภายในห้องได้หรือไม่?”
“เชิญคุณหนูตามสบายเลยขอรับ”เฉิงยีแสร้งทำเป็นรีบหลีกทางให้ แล้วพาตงฟางซวนเอ๋อเข้ามาในห้องของฉีหรัว หาเตียงให้นางนอนพักผ่อน
ฉีหรัวไม่เข้าใจ แต่ก็สั่งการด้วยเสียงเบา
ถึงนางจะไม่ชอบหน้าตงฟางซวนเอ๋อ แต่ถ้าคุณหนูต้องมีไม่สบายในช่วงเวลาสำคัญขนาดนี้ เกรงว่าแม้แต่ยาสมุนไพรก็จะไม่เหลือ
เฉิงเอ้อรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แต่กลับยังยืนอยู่หน้าประตู
กู้อ้าวเวยนอนหลับอย่างเคลิบเคลิ้ม แขนสองข้ามแนบสนิทชิดติดอยู่บนตัวของซ่านจินจื๋อเหมือนปลาหมึกไม่มีพิษ ร่างกายแข็งแรงของชายหนุ่มกล้ามเนื้อแน่นตึง ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย พอได้ยินสิ่งที่เฉิงเอ้อพูดแล้ว จึงทำได้เพียงแค่พูดเสียงเบา“คืนนี้ข้าจะไป อย่าได้กระโตกกระตาก”
“ข้าน้อยจะนำไปรายงานคุณหนูฉีขอรับ ให้นางเป็นคนจัดการ”เฉิงเอ้อพยักหน้าแล้วเดินจากไป
ซ่านจินจื๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ่งแปลกใจว่าตงฟางซวนเอ๋อรู้เรื่องที่ทางบนภูเขาถูกระเบิดทิ้ง ถ้าหากไม่เป็นการยอมรับความจริงอย่างไม่ทันกาล?
ในขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คนที่นอนอยู่ข้างๆก็สะอื้นไปสองครั้งในความฝัน แล้วนำศีรษะซุกเข้าไปในอกกว้างของเขา ปลายนิ้วก็ไม่วายคว้าจับอย่างอยู่ไม่นิ่ง
ซ่านจินจื๋อรู้สึกแค่ว่าขนลุกไปทั้งตัว แล้วพยายามดึงมือที่จุดประกายไฟทั่ว ใบหน้าของเขาคล้ำลงทันที เส้นเลือดปูดนูนขึ้นเต็มหน้าผาก
ข่วนไปหนึ่งครั้ง ก็เหมือนกับจะรู้สึกว่ากู้อ้าวเวยจะค่อยๆตื่นขึ้น ในตอนที่ลืมตาอันหนักอึ้งขึ้น ดวงตาคู่เทาหม่นคู่นั้นเหมือนจะจางลงไปบ้างแล้ว ใสราวกับก้อนหยก แต่กลับมีความเยือกเย็นบางอย่าง มือนั่นยันอยู่บนตัวของซ่านจินจื๋อ แต่ก็ยกตัวขึ้นแล้วก้มหน้าลงมองไปข้างล่าง
“ตื่นแล้วหรอ?”เส้นผมของกู้อ้าวเวยตกอยู่บนใบหน้าของซ่านจินจื๋อ เหมือนจะแนบติดกับปลายจมูก
“อืม ได้เวลาเปลี่ยนยาแล้วล่ะ”ซ่านจินจื๋อเงยหน้าขึ้นแอบหอมแก้มนางไปหนึ่งฟอด ในสมองว่างเปล่ากู้อ้าวเวยที่ทัดผมขึ้นไปไว้หลังหูอย่างไม่ใส่ใจนัก ปีนมานั่งอยู่ข้างๆซ่านจินจื๋อแล้วนวดไปที่ท้ายทอย แล้วถึงได้พูดเสียงเบาไปว่า“ข้าให้คนไปนำอาหารเข้ามาก่อนนะ ครั้งนี้เหมือนกับจะนอนนานไปหน่อย”
เงาที่อยู่ข้างนอกประตูเดินจากไปเพราะได้ยินเสียงแล้ว ซ่านจินจื๋อมองดูนางนำผ้าขี้ริ้วพวกนั้นเข้ามาแล้วพูดขึ้นมาว่าพวกเขาเอาอาหารเข้ามาแล้ว เจ้านอนลงก่อน”
“รีบเปลี่ยนยาก่อน เดี๋ยวเจ้าก็กินอะไรได้แล้ว”
กู้อ้าวเวยรวบผมขึ้นสูง แล้วนำเสื้อผ้ากระแทกไปกับแผ่นหลัง หันหน้ากลับมา ข้างๆก็มีเสื้อผ้าของซ่านจินจื๋อหลายตัว ตู้ที่อยู่บนหัวเตียงก็ถูกเปิดออกมาแล้ว ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น“ถึงแม้เสื้อผ้าของข้าจะใหญ่ไปบ้าง แต่ก็อุ่นนะ”
“ไม่เหมาะหรอกมั้ง”กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ในสมัยโบราณเช่นนี้ไม่น่าจะมีเสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวใหญ่ๆหรอกนะ
“เจ้าเคารพกฎตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?ที่รองเอวปรับให้เข้าที่”ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นตกตรงข้างๆเอวของนาง
กู้อ้าวเวยเบะปากแล้วดึงที่รองเอวให้เข้าที่อย่างเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่ามันใหญ่กว่าตัวของนางมาก แขนเสื้อที่กว้างใหญ่พับตลบขึ้นไปสองสามทบ ชุดกี่เพ้ายาวลากพื้น พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ“ชุดของเจ้าก็ยาวเกินไป”
ซ่านจินจื๋อมองดูนางหอมเอผ้ากับกระเป๋ายาเดินเข้ามา ช่างน่ารักเสียจริง
กู้อ้าวเวยหอบเสื้อผ้าปีนขึ้นไปบนเตียง หลังจากที่ถามคำถามเกี่ยวกับแผลไปไม่กี่คำ ก็ถึงได้ดึงผ้าพันแผลของเขาออกแล้วเปลี่ยนยาให้เขา พลางพูดขึ้นมาว่า“เหตุใดเจ้าถึงขาวกว่าสตรีเสียอีก”
“ชีวิตนี้เจ้าเคยเห็นผู้หญิงมาแล้วกี่คน”ซ่านจินจื๋อสีหน้าเคร่งขรึม ผู้หญิงคนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งกล้าพูด
“ข้าเห็นผู้หญิงเจ้ายังหึงหวงอีกหรอ?”กู้อ้าวเวยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีหลังจากที่ทายาให้เขาจนทั่วแล้ว ก็ใช้มืออีกข้างไต่ขึ้นไปตามแขน กล้ามเนื้อเป็นมัดบนนั้นมีบาดแผลจางๆ เมื่อก่อนนางไม่เคยสังเกตเห็น แต่ตรงบนอกของนางมีบาดแผลยาววาดลงมา ไม่ง่ายต่อการพบเห็น แต่ก็กลับไม่รอดมือของหมอ
แต่กลับไม่พบว่าท่าทางนี้เป็นการจุดประกายไฟ นางถามเพียงว่า“แผลนี้ได้มาอย่างไร?”
“คนเร่ร่อนดึงจนทำให้เป็นแผลน่ะ รอยมีด”ซ่านจินจื๋อกัดฟันกรอดเบาๆ ร่างกายแน่นขนัด
ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยจิ้มไปที่แผลสามแถวของเขา“นี่คือรอยข่วนจากสัตว์อย่างงั้นหรอ?”
“เป็นแผลที่ได้จากการทำสงคราม”ซ่านจินจื๋อจับไปที่มือของนางที่กำลังไล้ลงไปเรื่อยๆ กู้อ้าวเวยตั้งใจยกมุมปากขึ้น ปลายนิ้วจิ้มไปที่กล้ามเนื้อเป็นมัดของเขา“หุ่นดีไม่เบาเลยนะ”
“แม้แต่หุ่นของข้าเจ้าก็จำไม่ได้แล้วอย่างงั้นหรือ”เสียงซาบซ่าน ซ่านจินจื๋อเบิกตากว้างมองไปที่ใบหน้าที่เริ่มแดงจนสุกของนาง แล้วยกตัวขึ้นดึงนางเบาๆ พลางพูดขึ้นมาว่า“เจ้ากับข้าเหมาะสมกันยิ่งนัก”
“พูดอะไรน่ะ?”
“เราสองคนแผลเต็มตัวกันทั้งคู่ เจ้าว่าไม่เหมาะสมกันงั้นหรอ?”มือของกู้อ้าวเวยไปตกอยู่บนแขนของเขา ถึงมันจะมีเสื้อผ้าบางๆกั้นไว้ เขาก็ยังจำรูปร่างของรอยแผลพวกนั้นได้ดี
กู้อ้าวเวยใช้มือยันกับเตียงไว้“พวกเขาต่างพูดกันว่า ผู้หญิงเมื่อเสียโฉมจะทำให้ทั้งชีวิตต้องพัง รอยแผลบนร่างกายจะทำให้ขายไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีแต่โรคภัยไข้เจ็บ จะไปเหมาะสมกับเจ้าได้อย่างไร?”
“พวกเขายังบอกว่าอ๋องจิ้งเลือดเย็นฆ่าคนเป็นว่าเล่น ในสนามรบข้าสังหารคนมาแล้วมากมายขนาดนั้น ?”
พอรอให้เฉิงซานนำกล่องอาหารเข้ามาแล้ว ทั้งสองก็มองไปทั้งสองด้าน ใบหน้าแดงระเรื่อ
ไม่รู้ว่าใคร ดูแคลนตัวเองกันแน่