บทที่ 950 พ่อแม่
“นางถูกรับเข้าไปในวังหลวงอย่างนั้นหรือ?”
กู้อ้าวเวยเบิกตาโพลง ตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะทำเพื่อยาตัวสุดท้าย ฮ่องเต้ก็น่าจะนำองค์หญิงหลิงเอ๋อร์ส่งไปที่ซ่านจินจื๋ออย่างเป็นความลับสิ เหตุใดถึงส่งไปที่วังหลวงที่มีสายตาคนจับตามองดูเยอะแยะมากมายขนาดนี้?
หรือว่า ฮ่องเต้จะใช้ตัวต่อรองในการยื่นข้อเสนอ?
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องพิษเถ่หลิงตังที่อยู่ในมือของนาง
“ใช้ชีวิตคนมาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อขู่ ได้คืบจะเอาศอก”เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกว่าเหตุผลที่สองเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าฮ่องเต้จะอยากซ่อนตัวคน ไม่อาจมีคนเห็นได้……
แต่เพราะเหตุใดเมิ่งซู่ถึงเห็นล่ะ?
“ใต้เท้าเมิ่งคิดว่า ฮ่องเต้กำลังทดสอบความภักดีของเขาอยู่ เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้เขาจึงไม่ได้ส่งข่าวอะไรมาให้พวกเรา”จางเหยียงซานพูดให้ชัดเจน
กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างตั้งใจ ถึงจะเพื่อทำให้เมิ่งซู่ที่เป็นสายสืบของพวกเขาจะสามารถอยู่ใต้สายตาของฮ่องเต้ต่อไป นางจำเป็นต้องแสร้งว่าไม่รู้เรื่องที่องค์หญิงหลิงเอ๋อร์อยู่ในวังหลวงต่อไป สุดท้ายแล้ว คนที่เคยพบเจอองค์หญิงหลิงเอ๋อร์ในตอนนั้นมีน้อยคนที่จะรู้ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่านั่นคือตัวจริง
พอคลายความสงสัยนี้แล้วบ้าง นางจึงถามต่อไปว่า“ซ่านจินจื๋อยังไม่กลับมาหรือ?”
“เรื่องที่ตงฟางซวนเอ๋อฆ่าลูกในท้องของจี้ซู มาวันนี้ถูกลือกันไปทั่วเมืองเทียนเหยียน อ๋องจิ้งก็ไม่กลับมาสักที ต่างพูดกันว่าตอนนี้ที่อ๋องจิ้งไม่มีใคร เมื่อกลางวันนี้มีคนยื่นสารบอกว่าอ๋องจิ้งมีผลงานมากมายทำให้เป็นภัยต่อบัลลังก์ฮ่องเต้ และได้ทำให้คุณงามความดีที่ฮ่องเต้เคยทำไว้ลบล้างออกไป มาวันนี้ทั่วทั้งราชสำนักฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างไม่รู้ว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่”โม่อีพูดต่อ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องหนังสือเกี่ยวกับขับไล่ออกจากตำแหน่งให้ทุกคนฟังทั้งหมด
เสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ปลายนิ้วเรียวยาวของกู้อ้าวเวยวาดผ่านโต๊ะไป ดวงตาสีเทาหม่นคู่นั้นพายุกำลังก่อตัว เสียงนั้นยังมีเสียงลอดไรฟันปนอยู่เล็กน้อย“ในที่สุดก็โผล่หางออกมาสักที”
“เป็นอะไรหรอ?”โม่ซานเงยหน้าขึ้นจากถ้วยยาที่ถืออยู่ในมือ
“ในเมื่อเขาอยากผลักซ่านจินจื๋อไปยังปากเหว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน”กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วยืนขึ้นเปิดหน้าต่างออก มองดูร่างแข็งทื่อนั่นแล้วพูดขึ้นมาว่า“กุ่ยเม่ย ช่วยข้าส่งจดหมายไปหาทั้งพ่อหน่อยได้หรือไม่?”
“เพราะเหตุใด?”กุ่ยเม่ยหันกลับมา
“เจ้าบอกท่านพ่อว่า ตอนนี้มีคนกำลังจะเข้าไปทำลายงานแต่งขององค์หญิงเอ๋อตานฉีหรัว มีหลักฐานชัดเจน ยาพิษอยู่ด้านหลังสวนของจวนตระกูลตงฟาง อีกอย่าง ไปบอกกับราชทูตเย่นเจียงว่า ขุนนางกบฏกู้เฉิงถูกฮ่องเต้แคว้นชางหลานซ่านต้วนโฉงซ่อนไว้ในจวน องค์ชายเก้ากับความสัมพันธ์ของกู้เฉิงชัดเจน”กู้อ้าวเวยยิ้มพลางยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่างครึ่งตัว
จำเรื่องทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี กุ่ยเม่ยรู้สึกว่า“แต่ถ้าหากอำนาจอ่อนแอ เจ้าไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะทำให้วุ่นวายขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
“นี่เป็นสิ่งที่เขาบังคับให้ข้าทำ หรือจะให้เรื่องนี้ลากยาวออกไป เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวล่ะ?”กู้อ้าวเวยฟุบไปกับหน้าต่างแล้วมองไปที่เขา
ถ้าหากองค์หญิงหลิงเอ๋อร์ขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นเรื่องพวกนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ลากยาวไปเรื่อยๆ ก็ต้องเสียสละหนึ่งชีวิตไป
“เจ้ารอประเดี๋ยวเถอะ ทางราชทูตเย่นเจียงข้าไปได้ แต่จดหมายส่งไปเอ่อตานข้าว่าไม่จำเป็นหรอก”กุ่ยเม่ยเงยหน้าขึ้นมา นกพิราบส่งสารตัวสีขาวเทาบินลับจากไป ที่เท้ายังมีกระบอกใส่จดหมายสีน้ำเงินเข้ม
กู้อ้าวเวยยังไม่เข้าใจอะไร บนหลังคาก็มีคนกระโดดลงมาจำนวนมาก
“น้าหยุนไม่ยอมให้เจ้าโดนเอารัดเอาเปรียบ”กุ่ยเม่ยพูดเสียงเบา แล้วนำกระบอกสารยื่นให้นางไป
ในจดหมายเขียนด้วยตัวหนังสือสวยงามเป็นระเบียบ แต่ตัวอักษรทุกตัวบอกกับนางว่า เอ่อตานทั้งแคว้นอยู่ข้างหลังของนาง จดหมายอีกฉบับเป็นตัวอักษรที่ใช้แรงเล็กน้อย มีเพียงคำเดียว“ทำอะไรให้ระมัดระวัง”
ทั้งๆที่เป็นคำเป็นห่วง แต่กลับทำให้กู้อ้าวเวยรู้สึกโกรธมาก
ในความทรงจำตอนนี้ไม่มีใบหน้าของพ่อแม่ มีเพียงจดหมายที่อยู่ในมือเท่านั้น
มองเห็นท่าทางเหม่อลอยของนาง กุ่ยเม่ยกับโม่ซานก็หัวเราะออกมา กุ่ยเม่ยปล่อยให้นกพิราบบนไหล่บินจากไป แล้วถามนางว่า“เจ้าไม่ได้มีความรู้สึกต่อกู้เฉิงแล้วหรือ?”
“มีสิ แต่ตอนนี้เขาทำตัวเองทั้งนั้น”กู้อ้าวเวยได้สติกลับมาก็นำจดหมายกอดไว้แนบอก หลังจากที่ถามเช่นนั้นแล้ว นางก็หลับตาลงแต่ยังสามารถนึกถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจวนเฉิงเสี้ยงได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นกู้เฉิงยังเป็นพ่อที่รักลูกมาก แม้แต่จะดึงความอ่อนโยนที่ฉาบหน้าไว้ลงมา มีบางเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้
กุ่ยเม่ยไม่พูดอะไรมากความอีก สั่งการให้คนนำเรื่องที่ไปบอกกับราชทูตของเย่นเจียง
“จวนเฉิงเสี้ยงในตอนนั้น มีคนอยู่หรือไม่?”กู้อ้าวเวยหลับตาลงพิงกับหน้าต่าง แล้วเอ่ยปากพูดขั้น
“ไม่มีใครอยู่ โทษของกู้เฉิงใหญ่หลวงยิ่งนัก ทุกคนต่างไม่กล้าเข้าไปยุ่ง”กุ่ยเม่ยอดที่จะเย้ยหยันไม่ได้
ตอนนั้นมีบัณฑิตชั้นผู้ใหญ่ไม่น้อยที่อยากจะก้าวข้ามธรณีประตูจวนเฉิงเสี้ยงมากขนาดไหน มาวันนี้พอธรณีประตูพังทลาย กลับกลายเป็นจวนร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนเหยียน ไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นดีเห็นงามอะไรในตัวของใต้เท้าเฉิงเสี้ยงตรงไหน หรือจะเป็นอำนาจใหญ่คับฟ้านั่น
“ฉีหรัวบอกว่าในสำนักเยียนหยู่เก๋อยังมีตำลึงของข้าอยู่ไม่น้อย ข้าจะไปนำออกมา”
นางพลิกตัวกระโดดข้ามหน้าต่างไปอย่างช้าๆ แล้วจึงได้ยินเสียงกุ่ยเม่ยสูดหายใจเข้า นางกลับยิ้มไม่หาย“อย่างน้อย ข้าที่เคยอยู่ในจวนเฉิงเสี้ยงก็เคยเคลื่อนไหวอย่างอิสระว่องไว มาวันนี้ข้าไม่อาจเห็นมันมีชะตากรรมเป็นจวนร้างอย่างแน่นอน”
โม่ซานกับโม่อีต่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของนาง
ในเมืองเทียนเหยียนขุนนางใหญ่ทุกคนต่างไม่อยากเข้าไปยุ่งกับความซวยนี้ แล้วนางทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย
ในตอนนี้กุ่ยเม่ย เข้าใจแล้วว่านางแตกต่างกับเมื่อก่อนอย่างไร
ถ้าหากพูดว่ากู้อ้าวเวยก่อนหน้าที่จะจะสูญเสียความทรงจำยอมทิ้งทุกอย่างไป เพื่อบรรลุไปยังเป้าหมายของตัวเอง ถ้าเช่นนั้นมาวันนี้กู้อ้าวเวยยังอยู่ในความทรงจำที่สวยงามนั้น กุ่ยเม่ยก็ไม่รู้ว่าถ้าหากเขาย้อนกลับไปนึกคิด จะกลับไปเป็นท่าทีเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่
“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”กุ่ยเม่ยเดินไปข้างหน้า
“เจ้าเป็นลูกบุญธรรมของท่านพ่อกับท่านแม่ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกู้เฉิงแม้แต่น้อย ถ้าหากไปขายจวนเป็นเพื่อนข้าแล้วล่ะก็ เกรงว่าท่านแม่จะเคืองเจ้าเสียมากกว่า”กู้อ้าวเวยพูดไปเช่นนี้ แล้วเบิกตากว้างขึ้น กวักมือเรียกแค่จางเหยียงซานที่อยู่ด้านในห้อง“เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ”
“ข้าหรอ?”จางเหยียงซานชี้ไปที่ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“แน่นอนสิ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าไม่ใช่หรอ?”กู้อ้าวเวยยิ้มตาหยี“ไปขายจวนเป็นเพื่อนข้า ในภายภาคหน้าก็จะเป็นจวนในเมืองเทียนเหยียนของเจ้า ให้เจ้าไดมีลูกมีเมียก็ดีนะ ใช้ชีวิตบานปลายที่นั่น ให้เจ้าทั้งหมดเลย”
“ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม”จางเหยียงซานแคะหูอย่างตกใจ
กู้อ้าวเวยหลุดขำออกมา“แน่นอนว่าเจ้าฟังไม่ผิด ถึงข้าจะขายจวนไปก็ต้องกลับเอ่อตานอยู่ดี จวนนี้ข้าให้เจ้า”
เขารีบวิ่งออกมาจากห้อง อย่างไรเสียจางเหยียงซานก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่ออยู่ดี
จวนเฉิงเสี้ยงในตอนนั้นที่พักอาศัยอยู่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้มอบให้ก่อนอยู่แล้ว แต่เป็นพวกเขาที่ทำค้าขายจนได้กำไรมาสร้างด้วยตนเอง ถ้าหากคำนวณอย่างละเอียดแล้วละก็ เกรงว่าจวนนี้จะมีมูลค่านับไม่ถ้วน
เขาพึ่งเดินไปหยุดอยู่ข้างกู้อ้าวเวย ก็ได้ยินกู้อ้าวเวยดึงแขนของเขาพูดขึ้นมาว่า“มือของกู้เฉิงเต็มไปด้วยเลือด ที่พักอาศัยที่เขาเคยอยู่มีเพียงมือของหมอคู่หนึ่งเท่านั้นที่จะสามารถลบล้างมันให้สะอาดได้”
ร่างของจางเหยียงซานสั่นเทาเบาๆ แต่กลับได้ยินกู้อ้าวเวยพูดต่อไปว่า“อีกทั้ง มีโรคความจนบางอย่าง มีเพียงเจ้าที่สามารถรักษาได้ ในเมืองเทียนเหยียนไม่ควรจะถูกปิดบังตาด้วยอำนาจ”
เขามองดูหญิงสาวรูปร่างผอมบางตัวเล็ก จางเหยียงซานนึกขึ้นมาได้ว่าในตอนที่พี่สาวของตนจากไปนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก
โรคความจนรักษายาก คำครหากล่าวหาลบล้างได้ยาก
“ทำไมข้าถึงนับเด็กอย่างเจ้ามาเป็นอาจารย์ด้วยเนี่ย ชาติหน้าเกรงว่าจะหนีพวกยาไม่พ้นอีก”
พอพูดจบ กู้อ้าวเวยก็หยิกไปที่แขนของเขา แล้วทำเสียงหึๆไปสองครั้ง