บทที่ 967 แอบลงมือกับใบหน้าที่แท้จริง
จวนอ๋องจิ้ง ภายในห้องหนังสือ
ซ่านจินจื๋อแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวอ่อน ไม่มีดาบที่พกไว้ตลอด แต่มีใบหน้าที่หยิ่งไม่โกรธก็ดูเหมือนโกรธ และท่าทางกลับดูเหมือนคนพเนจร กลับเหมือนคนพเนจรที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา
เฉิงยีกับเฉิงเอ้อรออยู่ข้างๆ แต่คนที่นั่งตัวตรงอยู่ตรงโต๊ะ กลับเป็นตงฟางซวนเอ๋อที่สวมชุดสีน้ำเงิน ตอนนี้นางไม่เหมือนคุณหนูที่หยิ่งยโส เหลือเพียงแต่สายตาที่มองซ่านจินจื๋ออย่างเคารพ เลิกแขนเสื้อขึ้นบดหมึกเขียนให้กับเขา
ผ่านไปสองวันนี้ ซ่านจินจื๋อขังนางและพวกตระกูลตงฟางไว้ในจวนมากมาย แต่กลับไม่ได้แตะต้องใดๆทั้งสิ้น กลับกันให้นางตั้งแต่เช้าจนเย็นให้นางดูแลใกล้ๆ ตัวไม่ห่างจากกัน
แต่ว่าเมื่อคืน……
นางนั่งบนเก้าอี้ไม่ได้หลับทั้งคืน นางห่างจากซ่านจินจื๋อที่หลับไปเพียงม่านกั้นเดียวเท่านั้น แต่บนหลังคากลับมีสายตานับสิบมองมาที่นางทั้งคืน วันนี้เพราะซ่านจินจื๋อต้องทำงานเอกสาร จึงรู้สึกปวดเอวมาก
พอถึงตอนกลางวัน บ่าวด้านนอกก็ถือข้าวกล่องรีบวิ่งเข้ามา: “ท่านอ๋อง คุณหนูจวนฉูรับสั่งว่าจินติ่งเก๋อทำอาหารอร่อยมาใหม่ บอกให้ท่านว่าอย่าลืมทานอาหารด้วยขอรับ”
คุณหนูจวนฉูเป็นใครกัน?
ตงฟางซวนเอ๋อก่อนหน้านี้ยังสงสัยว่าคุณหนูจวนฉูนี้เป็นอ๋องจิ้งพูดเองเออเองหรือเปล่า ตอนนี้กลับเห็นซ่านจินจื๋อหน้าตาดีใจ เปิดข้าวกล่องนั้นเองกับมือ ดูแล้วด้านในอาหารก็ธรรมดา อดไม่ได้กระตุกยิ้มมุมปาก ทั้งวันยุ่งกับงานเอกสารจนตาลายไปหมดก็หายไปทันที
แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็เข้าใจหัวใจกันและกัน ก็เป็นความสบายใจอย่างหนึ่ง
“ข้าน้อยมาจัดอาหารเถอะขอรับ” เฉิงยีทนดูไม่ไหวแล้ว จะให้คนที่เป็นถึงอ๋องจิ้งมาเอาอาหารออกมาเอง ต่อหน้าคุณหนูตงฟางได้อย่างไร
ซ่านจินจื๋อไอกระแอมและพยักหน้า อยู่กับกู้อ้าวเวยบ่อยเกิน จนลืมฐานะตัวเองไป
พออาหารจัดเสร็จแล้ว ข้ารับใช้สองคนก็มาดูแลซ่านจินจื๋อทานอาหาร ตงฟางซวนเอ๋อยังอยากจะตามไป แต่ข้ารับใช้คนหนึ่งก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า: “คุณหนูตงฟางมาตามบ่าวเถอะ”
“ทำไมกัน?” ตงฟางซวนเอ๋อถาม แต่สายตากลับจ้องมองไปที่ซ่านจินจื๋อ
“คุณหนูตงฟางในเมื่อเป็นคนตระกูลตงฟาง ก็ต้องกินร่วมกันคนตระกูลตงฟาง” เฉิงยีเดินขึ้นไปบังสายตาตงฟางซวนเอ๋อไว้ และพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า: “ถ้าคุณหนูตงฟางไม่ไป ข้าน้อยก็จะจัดเตรียมอาหารที่ดีกับท่าน”
ตงฟางซวนเอ๋อหน้าแดงขึ้นมาทันที และก้าวเดินออกไปด้านนอก แต่สักพักก็เดินกลับมา: “ท่านอ๋องจิ้งสองวันมานี้หมายความว่ายังไงกัน?”
ซ่านจินจื๋อกินไปแค่สองคำก็ต้องหมดอารมณ์ไปทันที วางถ้วยลงอย่างไม่พอใจ: “ข้าบอกว่าขอเหตุผลหนึ่ง ก็คือเหตุผลหนึ่ง”
“ข้าตระกูลตงฟางมีสิ่งที่รู้มากกว่าท่านหลายเท่า ตอนนี้ฮ่องเต้อยู่ที่มืด ท่านอยู่ที่สว่าง ในเวลาที่วุ่นวาย คนที่ได้รับผลกระทบไม่ได้มีเพียงฮ่องเต้ ท่านไม่กังวลอะไรเลยหรือ?” ตงฟางซวนเอ๋อปัดแขนของเฉิงยีออกไป ตลอดทางเดินมาถึงข้างโต๊ะ
การกระทำแบบนี้ แลกมากับสายตาที่เย็นชาของซ่านจินจื๋อ
เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์เป็นยังไง แต่เขากับกู้อ้าวเวยต่างตกอยู่ในสถานการณ์ ไม่ช้าก็เร็วที่จะได้รู้เรื่องนี้ ไม่จำเป็นที่จะแต่งงานกับผู้หญิงเพื่ออยากได้ข้อมูลได้เร็วขึ้น หรือว่าต้องก้มหน้าให้คนทั้งตระกูลตงฟาง
“ฮ่องเต้อยากได้ข้ากับเวยเอ๋อ งั้นข้ากับเวยเอ๋อจะต้องกังวลทำไมกัน?”
“งั้นอ๋องจงผิงล่ะ?” ตงฟางซวนเอ๋อทนไม่ได้พูดออกไป ใบหน้านางแดงไปทั้งแถบ ดูแล้วเหมือนกับคนที่ทุ่มเททุกอย่างในครั้งสุดท้าย รวบรวมความกล้าและพูดว่า: “อ๋องจงผิงกับท่านสนิทกัน เจ้าก็จะไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอย่างไรเหรอ!”
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วเป็นปม ต่อมาก็คลายลงและพูดว่า: “ให้คนนำตัวทุกคนในตระกูลตงฟางมาทั้งหมด ถ้าเรื่องนี้พูดไม่ชัดเจน พวกเจ้าตระกูลตงฟางก็คงอยากจะลงมือกบฏตอนงานแต่งอ๋องจงผิง”
“อะ……ซวนเอ๋อไม่ได้พูดแบบนั้นนะเจ้าคะ!” ตงฟางซวนเอ๋อเบิกตาโพลงโต
“งั้นเหรอ?” ซ่านจินจื๋อกระตุกยิ้ม มองไปทางเฉิงยี: “เจ้านั่นยังไม่ยอมพูดใช่หรือไม่?”
“ไม่เคยพูดจริงๆ แต่เจ้านั่นกลับฟังคำพูดของคุณหนูไปแล้ว ถ้าให้เขาออกไปพูดว่าพิษพวกนั้นเป็นพิษของจวนตงฟาง ก็ไม่ยากแล้ว” เฉิงอีหัวเราะและเดินไปข้างซ่านจินจื๋อ พูดโดยสีหน้าเรียบเฉยว่า: “และฮ่องเต้ไม่พูดในเรื่องที่ตระกูลตงฟางถูกขังเลย พวกขุนนางส่งฎีกาไปก็ไม่ได้ผล ดูแล้วฮ่องเต้อยู่ข้างท่านอ๋อง”
ในคำพูดนั้น ก็คือเจ้าตระกูลตงฟางจบเห่แล้ว
ก็แค่เพิ่มโทษให้คนที่ใกล้ตายแล้วเท่านั้น ทำไมจะไม่ได้
และเรื่องที่ตระกูลตงฟางทำให้ซ่านต้วนโฉงก็คงจะไม่สำเร็จ ถึงได้เป็นอย่างตอนนี้ แต่ตระกูลตงฟางเก็บความลับอย่างระมัดระวังแบบนี้ ก็ต้องคิดว่าพอเป็นหัวหน้าแล้วความยากลำบากที่พบเจอ อาจจะได้รู้ข่าวที่ซ่านต้วนโฉงไม่รู้ก็ได้
ตงฟางซวนเอ๋อใบหน้าแดงกล้ำขึ้นมา: “ท่านอ๋องน่าจะรู้ ความลับพวกนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราตระกูลตงฟางใช้ช่วยชีวิตตัวเอง……”
“ในเมื่อพวกเจ้าอยากเอาความลับนี้เข้าไปในโลงด้วย ข้าก็ไม่ข้องใจที่จะทำให้ในจวนอ๋องจิ้งมีวิญญาณไร้ญาติเพิ่มขึ้น” ซ่านจินจื๋อหยิบถ้วยขึ้นมาใหม่ช้าๆ ในขณะที่พูดคำนี้ยังมีความเรียบเฉยปกติ
“ท่านอ๋องปากแข็งจริงเชียว……”
“หญ้าบนกำแพงจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่กัน?” เสียงหัวเราะของซ่านเชียนหยวนดังมาจากประตู
ตงฟางซวนเอ๋อหันกลับไป ก็มองเห็นน้องชายสองคนของตัวเองถูกลูกน้องของซ่านเชียนหยวนนำตัวมา ในปากยังยัดผ้าไว้ บนตัวมัดเชือกไว้แน่นจนมือพวกเขาม่วงช้ำไปหมด และอ๋องจงผิงที่ปกติดูเหมือนคนไร้ประโยชน์ ตอนนี้กลับพิงข้างประตูอย่างขี้เกียจ
“กู้อ้าวเวยกับหรัวเอ๋อไม่อยู่ ใช้วิธีเด็ดขาดก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
ซ่านเชียนหยวนแสยะยิ้มอย่างดุร้าย ความโหดร้ายที่อยู่ในค่ายเมื่อก่อนความรู้สึกได้กลับมาอีกครั้ง มีดในมือหมุนไปมาในมือ สุดท้ายก็ชี้ไปตรงหัวใจของน้องชายตงฟางซวนเอ๋อ
“ไม่นะ!” ตงฟางซวนเอ๋อกรีดร้อง
“นี่ไม่มีพื้นที่ให้เจ้าพูดหรอกนะ ในเมื่อตอนนี้รู้ว่าเสด็จพ่อไม่ว่ายังไงก็จะปล่อยให้เสด็จอาทำตามอำเภอใจ ข้าก็ต้องช่วยเสด็จอาอย่างเต็มที่สิ” ซ่านเชียนหยวนมีสีหน้าที่เย็นชาและดันดาบลงไปอีกนิด คนที่อยู่ด้านล่างดาบกลับตัวสั่น แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ดาบที่เริ่มแทงเข้าเนื้อหนังก็เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
ตงฟางซวนเอ๋อยังอยากเดินขึ้นไป แต่กลับถูกเฉิงยีที่อยู่ด้านหลังคว้ามือไว้: “คุณหนูตงฟาง ข้าน้อยขอเตือนท่านว่าอย่าเดินขึ้นไปดีกว่า”
ต่อมา ซ่านเชียนหยวนก็ชักดาบออกมา เลือดสาดกระจายไปทั่ว สาดไปบนใบหน้าของตงฟางซวนเอ๋อ
ยังมีความอบอุ่นเล็กน้อย พอผ่านสักพัก คางก็ถูกซ่านเชียนหยวนจับไว้แน่น: “กล้าลงมือในสำนักเยียนหยู่เก้อของหรัวเอ๋องั้นเหรอ พวกเจ้าตระกูลตงฟางบังอาจนัก”
“ก็ว่าเวยเอ๋อไม่ให้ยาใหม่กับฉีหรัวแล้ว” ซ่านจินจื๋อสายตาแหลมคมขึ้นมาเรื่อยๆ
กล้าแตะต้องซ่านเชียนหยวนต่อหน้าเขา ตระกูลตงฟางคงไม่เอาชีวิตแล้วแน่ๆ
ตงฟางซวนเอ๋อเบิกตาโพลงโต: “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ฝ่าบาทให้ข้าตระกูลตงฟางทำ!”