บทที่ 970 สายสืบ
“เจ้าไม่ได้ตายดีแน่”
“ก็คงเป็นเช่นนั้น” กู้อ้าวเวยยิ้มอ่อนรับคำสาปนั้นมาอย่างไม่สนใจอะไร นางลุกขึ้นยืนช้าๆ มองดูลูกน้องของเฉิงซานจับตัวนางลงไปใหม่
เฉิงซานกลับมองนางอย่างไม่เข้าใจ: “คุณหนูท่านทำไมถึงอยาก……”
“นางไม่ใช่ข้านานแล้ว ตอนนี้มีแต่ขุดเรื่องที่นางกลัวออกมามากที่สุด เพื่อมาทำการข่มขู่” กู้อ้าวเวยหันกลับไป แม้ดวงตาจะเห็นเลือนราง แต่ใบหน้านั้นและสีหน้านั้นนางกลับคุ้นเคยกว่าใคร: “คิดแล้วญาติของนางก็จากไปเร็ว คนด้านหลังคงจะเป็นแค่ไฟสว่างนำทางนางเท่านั้น ตอนนี้ถูกทอดทิ้ง นางอยากจะฆ่าตัวตาย แต่กลับคิดว่ายี่สิบปีมานี้นางอยู่ไปเพื่ออะไร”
ภายใต้แสงสว่างในเมื่อก่อน มีเด็กผู้ใหญ่มากมายเคยแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมามากมาย
พอออกจากห้องผ่าตัดแล้ว มีคนมากมายทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ยาว ร้องไห้ไม่หยุด
ทุกคนต่างเศร้ากันหมด นิ้วมือนางก็กำแน่นขึ้น ดวงตาแน่วแน่: “คนที่อยู่เบื้องหลังนี่สิเป็นคนผิดจริงๆ”
“ตอนนี้เจ้าน่ากลัวขึ้นทุกวันเลยนะ” ฉีหลินอดไม่ได้จึ๊ปาก มือนางซ่อนไว้ในแขนเสื้อใหญ่สั่นเทาไม่หยุด: “แค่ชั่วครู่ เจ้าก็มองออกแล้วเหรอ”
“ถ้าข้าอายุยี่สิบปีเหมือนอย่างตอนนี้จริง ก็คงจะดูไม่ออกแน่……” แต่ชีวิตในอายุยี่สิบห้าปีก่อนหน้านี้ นางก็เคยใช้ชีวิตอายุสามสิบปีในอีกโลก เคยทำงานอยู่ในโรงพยาบาล ยิ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาในสาขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยผ่านความเป็นความตายจากในห้องผ่าตัด
เกือบเวลาหกสิบปี ถึงหลอมรวมเป็นนางอย่างทุกวันนี้
“พูดเหมือนเจ้ามีอายุเป็นร้อยปีแล้วอย่างนั้น” ฉีหลินหัวเราะ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้มีอายุร้อยปี?” กู้อ้าวเวยยิ้มและขยับไปตรงหน้าฉีหลิน เขย่งเท้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมองดวงตาที่ทำอะไรไม่ถูกของเพื่อน กระตุกยิ้มและหัวเราะพูดว่า: “นี่เป็นความลับนะ”
กลืนน้ำลาย ฉีหลินมองดูใบหน้าที่งดงามนั้น รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของกู้อ้าวเวยเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเขาเอาความกล้ามากไหนกัน ถึงมาเป็นเพื่อนกับกู้อ้าวเวยได้
กู้อ้าวเวยแตะไปที่ไหล่ของเขา: “แต่ว่าซ่านจินจื๋อรู้นานแล้ว นับอายุแล้วเจ้าอาจจะต้องเรียกข้าว่าคุณยายนะ”
“เจ้าอย่าพูดแล้ว!” ฉีหลินถอยหลังอย่างหวาดกลัว กุมหัวตะโกนเสียงดัง: “ข้าเริ่มจะเชื่อแล้วนะ ถ้าหยินเชี่ยวรู้ละก็……”
“หยินเชี่ยวไม่โง่เหมือนเจ้าหรอก” กู้อ้าวเวยหัวเราะเสียงดัง ชี้หน้าฉีหลินและหัวเราะจนตัวสั่น: “คำพูดลวงโลกแบบนี้เจ้าก็เชื่องั้นเหรอ ฮ่าๆ”
“เจ้า……เจ้า!” ฉีหลินมองค้อนนางตาโต
ต่อมากลับวิ่งออกไปทันที โกรธจนเขากระทืบเท้าอยู่กับที่
กู้อ้าวเวยเดินผ่านทางเดิน ข้างหูก็ได้ยินเสียงเรียกของพวกข้ารับใช้ว่าคุณหนูใหญ่สามคำนี้ จึงเดินช้าลง นางหยุดเดิน หันกลับไปมองเฉิงซานพูดว่า: “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ชอบข้างั้นเหรอ ทำไมวันนี้ถึงไม่ขัดขวางการกระทำของข้าเลยล่ะ”
เฉิงซานตอบด้วยสีหน้าที่เย็นชา: “ข้าน้อยไม่เข้าใจความหมายของคุณหนูขอรับ”
“เขาให้เจ้าส่งคนมา คงไม่ได้ให้ข้าจัดการเฉยๆหรอกนะ ต้องมีคำสั่งอื่นอีกแน่ แต่ทำไมเจ้าไม่พูด? แต่กลับให้ข้าทำการตัดสินใจ” กู้อ้าวเวยยิ้มอ่อนเดินไปตรงหน้าเขา และพูดว่า: “เทียบกับเจ้าที่กำลังลองใจข้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าเชื่อในการตัดสินใจข้าเสียมากกว่า”
ดวงตาสีส้มอ่อนนั้นมีใบหน้าของเฉิงซานสะท้อนออกมา
ตอนที่ไม่เชื่อใจนาง นั่นเป็นเรื่องเมื่อก่อนแล้ว
“ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว ให้ท่านขังนางไว้ที่นี่ เขาทนลงมือทำไม่ได้จริงๆ” เฉิงซานก้มหัวลง กำลังจะคุกเข่าลงพื้นเพื่อขออภัย
กู้อ้าวเวยกลับถอยหลังสองก้าว เหมือนกับเด็กที่กระโดดไปตามทางเดินยาว และพูดไปด้วยว่า: “ข้าก็ต้องลงมือกับใบหน้าตัวเองได้อยู่แล้ว ดังนั้นทำตามที่ข้าสั่ง อย่าไปฟังเขา”
“ท่านยอมที่จะอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?” เสียงเฉิงซานดังขึ้นจากด้านหลัง
ฝนที่ตกกระทบหลังคาหนักขึ้นเรื่อยๆ น้ำไหลเข้าไปตามรูต่างๆ
กู้อ้าวเวยกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ หันตัวกลับไป สายตาคู่นั้นกลับมองเฉิงซานอย่างเย็นชา: “เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“ในเมื่อท่านไม่ต้องการพึ่งพาท่านอ๋อง ก็คงจะมีอนาคตที่สดใส ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยไม่รู้ว่าในเมื่อท่านรู้ว่าพ่อตัวเองเป็นคนเอ่อตาน ตอนนี้กลับต้องจัดการเรื่องมากมายของแคว้นชางหลาน ไปมาหลายแคว้นก็ต่างปิดปากเงียบก็แต่ละแคว้น ข้าน้อยระวังท่านมาตลอด แต่ไม่เคยเห็นท่านส่งจดหมายความลับเกี่ยวกับชางหลานไปแคว้นเอ่อตานเลย” เฉิงซานหดไหล่เข้ามา และพูดเสียงเบา
คำถามพวกนี้ซ่อนอยู่ในใจเขาอยู่นานมากแล้ว
เหมือนว่าเมื่อก่อนกู้อ้าวเวยเคยคิดเพื่อแคว้นเอ่อตาน แต่นางกลับทุ่มเทให้กับแคว้นชางหลานที่ซ่านจินจื๋ออยู่มากกว่า
จดหมายที่ส่งไปแคว้นเอ่อตานกับเย่นเจียงมีมากมาย แต่กลับไม่เคยบอกความลับของแคว้นชางหลานให้กับใคร เรื่องน้อยนิดกับอนาคตของราชวงศ์เอ่อตานและฮ่องเต้เอ่อตาน นางก็ไม่เคยปริปากบอกกับใครทั้งสิ้น
ทำไมใคร ๆ ก็ไม่คิดถึงอนาคตของตัวเองหรืออนาคตของประเทศบ้านเกิด?
นี่ก็คือเหตุผลที่เขาสงสัยนางมาโดยตลอด
เสียงฝนตกหนักดังขึ้นข้างหู รวมกับเสียงเท้าเดินของพวกข้ารับใช้ ความเย็นชาบนใบหน้ากู้อ้าวเวยได้หายไปแล้ว สายตามองไปที่เฉิงซาน: “เพราะข้าไม่ใช่คนที่นี่ และข้าจะเห็นจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าข้าไม่ได้”
“และสิ่งที่เจ้าพูดมา ไม่เคยส่งข้อความลับเลย” กู้อ้าวเวยกระตุกยิ้ม เงยหน้าขึ้นมา: “แม้ข้าจะไม่เคยพ่อและแม่แท้ๆของข้า แต่ข้าก็รู้ว่า แม้จะไม่มีข้า แค้วนเอ่อตานก็จะยิ่งใหญ่แบบนี้ไปตลอด แคว้นชางหลานเช่นกัน แม้จะไม่มีซ่านจินจื๋อ แคว้นชางหลานก็ยังคงยิ่งใหญ่แบบนี้เหมือนเดิม”
“ข้าน้อยไม่เข้าใจ”
“เพราะข้ากับซ่านจินจื๋ออยากจะจัดการ แต่ซ่านต้วนโฉง ใต้หล้าที่กว้างขวางนี้ ไม่ใช่พวกเราที่จะมาสนใจได้” กู้อ้าวเวยกวักมือเรียกเขา: “ในเมื่อเจ้าพูดความในใจออกมาแล้ว ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่มีอันตรายใดๆ งั้นเดินไปกับข้าเถอะ”
เฉิงซานไม่เข้าใจ แต่ก็เดินตามไปช้าๆ
ติดตามกู้อ้าวเวยเดินอ้อมอยู่หลังบ้านอยู่นานท่ามกลางสายฝน ในนี้เมื่อก่อนเป็นห้องรับแขกที่จวนเฉิงเสี้ยงใช้กัน ตอนนี้เพราะเวลานานจึงมีน้ำฝนรั่ว ตอนนี้ยังคงซ่อมแซมอยู่ ตอนนี้รอบด้านกลับไม่มีคนเลย
กู้อ้าวเวยอ้อมที่ที่มีน้ำรั่วจากหลังคาอย่างระวัง หยิบคบไฟมองดูรอบๆ สักพักก็มาถึงเตียงที่มีของกองเต็มไปหมด และพูดกับเฉิงซานว่า: “ใต้เตียงมีไม้ที่ใหญ่เท้านิ้วโป้ง เอาออกมาหน่อย”
เฉิงซานโค้งตัวลง หาอยู่นานถึงจะจับไม้อันหนึ่งได้ ใช้แรงอยู่มากถึงจะดึงออกมาได้
ไม้นี่ดูเรียบๆ แต่ด้านนอกกลับดูเงาวับ
“กำแพงนั่นเคยถูกสิ่วเปิดออก ด้านในมีกล่องหนึ่ง ใช้ไม้นี่เปิดกล่องออก” กู้อ้าวเวยชี้ไปที่กำแพงหลังชั้นวางหนังสือ
เฉิงซานอึ้ง: “นี่คือ……”
“ตอนนั้นพี่สาวของยู่จือก็ซ่อนอยู่ที่นี่ ปากถ้ำและกุญแจเป็นของนาง” กู้อ้าวเวยยิ้มอ่อน
“งั้นคุณหนูก่อนหน้านี้ทำไมไม่พูดล่ะ?”
“คนเยอะไปจะเป็นที่สังเกตได้ ตอนแรกข้าว่าจะมาเอาตอนเปิดจวน แต่ตอนนั้นคงจะมีพวกสายสืบอยู่ใกล้ๆ วันนี้กลับไม่กลัวแล้วเหรอ” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปากขึ้น: “วันนี้มีข้ากับคุณหนูพิเศษนะ พวกสายสืบพวกนั้นคงมองไม่เห็นข้า”