บทที่ 1008 สับสน
กุ่ยเม่ยก็ไอขึ้นมาไม่ถูกเวลา
ฉีหรัวก็รีบตั้งสติ แล้วออกมาจากอ้อมกอดของซ่านเชียนหยวน แล้วก็เอาผมที่ยุ่งเหยิงรวบไปไว้ด้านหลัง แล้วรู้สึกว่า ใบหูของตนเองนั้นร้อนมาก แล้วก็ขยับมายืนข้างๆ กุ่ยเม่ยอย่างเขินๆ แล้วเอาป้ายของจวนฉีให้เขา “มีป้ายนี้ เจ้าก็จะเข้าออกจวนฉีได้อย่างสบาย ถ้าอยากจะซ่อนเร้นใคร ในจวนฉีมีห้องว่างอีกมาก”
“ขอบคุณมาก” กุ่ยเม่ยรับป้ายมา แล้วก็มองซ่านเชียนหยวน พูดว่า “คุณหนูฉีใกล้จะเข้าวังไปพักอยู่หลายวันแล้ว ข้าจะพานางไปเก็บของเสียหน่อย”
“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวข้าไปเอง” ซ่านเชียนหยวนเห็นฉีหรัวยืนข้างๆกุ่ยเม่ย ในใจก็บังเกิดความรู้สึกทนไม่ได้
“ไม่กี่วันนี้ท่านพ่อล้มป่วย นอนอยู่หลายวัน ถ้าเจ้าไป เขาต้องลุกขึ้นมาจากเตียงทำความเคารพเจ้าแน่ แล้วเจ้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องปรึกษากับท่านอาอีกหรือเปล่า?” ตั้งใจเน้นคำว่าท่านอา แม้ว่าฉีหรัวจะอายเล็กน้อย แต่ก็จ้องมองเขาแบบใจเย็น “กุ่ยเม่ยตามข้าเข้าวัง เจ้าก็วางใจเถอะ”
ข้าจะวางใจได้อย่างไร!
ซ่านเชียนหยวนก็ได้แต่มองกุ่ยเม่ยพาฉีหรัวนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกันจากไป ในใจรู้สึกหึงมาก
เขาก็สะบัดแขนเสื้อเข้ากระโจมไป พอเห็นซ่านจินจื๋อมองเอกสารต่างๆ อย่างนิ่งๆ แล้วก็เอามือทุบโต๊ะ พูดว่า “หรัวเอ๋อร์ไปสนิทกับกุ่ยเม่ยตอนไหน?”
“ถ้าจะโทษ ก็โทษชาติกำเนิดเจ้าเถอะ” ซ่านจินจื๋อถูกหลานถามเช่นนี้ ก็โกรธเหมือนกัน
“ชาติกำเนิดข้าเป็นเช่นไร?”
“เจ้าอยู่กับนางได้ทุกวันไหม? ตามพวกนางไปได้ทุกฝีก้าวไหม? หรือจะบอกว่าสามารถติดตามพวกนางได้ทั้งวัน โดยไม่สนใจหน้าที่ตนเอง ให้ความสำคัญกับพวกนางที่สุด?” ซ่านจินจื๋อพูดเสียงต่ำลงไปอีก
จากนั้นสองอาหลานก็ทำหน้านิ่งกันไป
เช่นนี้ กุ่ยเม่ยที่ติดตามฉีหรัวกับกู้อ้าวเวยอยู่ไม่ห่าง ก็มีเวลาอยู่กับพวกนางมากกว่าสองอาหลานนี้เสียอีก
ไอ้กุ่ยเม่ยนี่!
อาหลานทั้งสองคิดได้พร้อมกัน สักพักก็นิ่งกันไป แล้วก็คุยเรื่องสำคัญ
กุ่ยเม่ยที่กำลังควบม้าอยู่ ก็จามออกมา ฉีหรัวด้านหลังก็หัวเราะ “หรือว่าโม่ซานจะคิดถึงเจ้าแล้ว”
กุ่ยเม่ยก็เขินจนเอามือขยี้จมูก แล้วยิ้มพูดว่า “ข้ากับโม่ซานนั้นไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าเข้าวังไปแล้ว เจ้าต้องระวังตัว ข้านั้นเป็นชาย ไม่อาจจะไปเพ่นพ่านในวังหลังให้มากได้ กลัวว่า เรื่องที่จะไปเยี่ยมเวยเอ๋อ ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ฉีหรัวก็ตอบรับ
เดินทางกลับมายังเมืองเทียนเหยียน ฟ้าก็ใกล้สว่างแล้ว
กลับมาจวนฉีเพื่อมาเก็บเสื้อผ้าข้าวของ ก็คิดว่ากู้อ้าวเวยเข้าวังไปจะเอาเสื้อผ้าแบบไหนไปใส่ ถ้าเปลี่ยนเป็นชุดสนม แล้วถูกซ่านจินจื๋อรู้เข้า ก็คงแย่มากแน่
เมื่อ ฉีหลินรู้ว่าพี่สาวตนเองจะเข้าวัง ก็รีบมาช่วย พอเห็นเสื้อผ้าถุงใหญ่ ถุงเล็ก ก็ขำ “ท่านพี่ คิดจะเอาของพวกนี้เข้าวังหมดเลยหรือ”
“เจ้าจะรู้อะไร” ฉีหรัวก็เลยเรียกสาวรับใช้มาช่วย
ยังถามท่านพ่อเลยว่าคิดเช่นไร ก็ได้ยินฉีหลินพูดว่า “เมื่อครู่ท่านพ่อเรียกกุ่ยเม่ยเข้าไปหาแล้ว ข้าจะบอกท่านเรื่องนี้แหละ”
“ท่านพ่อเรียกกุ่ยเม่ยไปทำอะไร?” ฉีหรัวสงสัย
“บอกว่า ตอนนี้ท่านพี่สืบทอดชื่อเสียงขององค์หญิงแคว้นเอ่อตาน ต่อไปจวนฉีก็ไม่อาจจะอยู่นอกเรื่องนี้ได้แล้ว ตอนนี้กำลังคุยกันเรื่องที่องค์รัชทายาทแคว้นเอ่อตาน ที่กำลังจะมาที่นี่” ฉีหลินเอาคำที่ท่านพ่อพูดบอกออกมา
ฉีหรัวก็กังวลมากขึ้น นางคิดว่าวันข้างหน้าตระกูลฉี ก็จะดองกับอ๋องจงผิงแล้ว ตอนนี้ต้องมาอยู่กับทางแคว้นเอ่อตาน
กลัวว่าคนที่ต้องการก่อเรื่องในวันงานแต่ง จะไม่รามือแน่
นางไม่สบายใจ แล้วก็รีบมายังห้องของท่านพ่อ แล้วก็สวนกับกุ่ยเม่ยที่เดินออกมา พร้อมถามว่า “เจ้าคุยอะไรกับท่านพ่อข้า?”
“นายท่านบอกว่า อยากจะให้องค์รัชทายาทมาพักที่จวนฉี ไม่ว่าอย่างไร จะต้องทำให้เนียน ไม่อาจจะให้เจ้าแต่งออกไปอย่างไม่มีศักดิ์ศรี” กุ่ยเม่ยก็มองไปยังใบหน้าที่ตกใจของฉีหรัว เขาก็เอามือตบไหล่นางเบาๆ แล้วเดินออกไป
ไม่ได้พูดถึงเรื่องกองกำลังอะไร
และไม่ได้พูดถึงเรื่องของจวนฉีและสำนักเยียนหยู่เก๋อ
ขอเพียงให้ลูกสาวได้แต่งออกไปอย่างสง่างาม ไม่ใช่ตัวแทนใครก็พอ
พอฉีหลินรีบเข้ามา ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่สาวส่งมาจากด้านใน และเสียงปลอบของท่านพ่อ
ปมในใจของสองพ่อลูก ถูกแก้ออก ฉีหลินก็อยู่นอกประตูเงียบๆ สักพักก็เห็นพี่สาวเดินตาแดงๆออกมา แล้วยังพยายามลืมตาโต เขาก็เลยแกล้งไอ “เดี๋ยวข้าจะดูแลท่านพ่อเอง ท่านพี่ไปจัดการเรื่องชีวิตของตัวเองเถอะ”
น้องชายข้าโตขนาดนี้แล้วหรือนี่
ฉีหรัวเช็ดน้ำตาที่หางตา แล้วก็ไปหากุ่ยเม่ย เพื่อพร้อมเข้าวัง
ด้านนอกจวนฉี มีรถม้าที่มาจากวังหลวง ผู้คนก็ต่างพากันซุบซิบนินทา บอกว่าคุณหนูรองของตระกูลฉีวันนั้น ที่ป่วยร่อแร่แต่งออกไปไม่ได้ วันนี้ได้ดีเลย มีชื่อเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นใหญ่ ทั้งยังมีสมบัติมากมาย แล้วยังแต่งกับพระราชวงศ์ด้วย มีทั้งคนนินทา และคนยินดี
ฉีหรัวก็ปิดผ้าม่านลง แล้วก็ได้ยินสาวรับใช้ในรถม้าเรียกว่า “คุณหนู……”
“ตอนนี้ ควรเรียกข้าฝ่าบาท” ฉีหรัวขยับนิ้ว เสียงก็นิ่งเย็นขึ้น
“ฝ่าบาท” สาวรับใช้รีบเปลี่ยนคำสรรพนาม
ทางเข้าวังนั้นราบรื่น กุ่ยเม่ยเอาป้ายพระราชวงศ์แคว้นเอ่อตานแสดงตัว ต่อให้มีคนมากมายรู้ว่าเขาเป็นคนของอ๋องจิ้งก็ไม่เป็นอะไร แต่ฮ่องเต้ดูเหมือนว่าจะเดาออก อ้างว่าไม่สบาย เลยไม่ต้อนรับ แล้วเรียกให้ซ่านเซิ่งหานพากู้อ้าวเวยมาต้อนรับแทน
แสงแดดส่องสว่าง ความเย็นของฤดูใบไม้ร่วงพัดมากระทบสันหลัง
กู้อ้าวเวยนั่งที่ศาลาสักพัก ในมือถือชาที่มีแต่ช่วงหน้าหนาวเท่านั้น แล้วมองฉีหรัวที่นั่งตรงหน้า อึ้งไปสักครู่ แล้วคิดว่าตั้งแต่ตนเองกระอักเลือดออกมาแล้วหลับจนถึงตอนนี้ ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมีสติ
ซ่านเซิ่งหานนั่งข้างๆ กู้อ้าวเวย แล้วมองกุ่ยเม่ย แล้วก็ยกมือเคารพ “ยังเหมือนเดิมนะ”
“ฝ่าบาท” กุ่ยเม่ยทำความเคารพ ใบหน้านิ่งๆ แล้วก็เอาเสื้อผ้าสองถุงดันไปที่โต๊ะ และเห็นว่านางไม่ได้ใส่ชุดของสนมที่อยู่ในวังจริงๆด้วย สีหน้าก็นิ่งไป “มารยาทที่เคยเรียนมาไปไหนหมดแล้ว”
ถูกด่าแปลกๆเช่นนี้ กู้อ้าวเวยยังคงมึนๆอยู่ ได้แต่เอาถุงผ้าวางลง แล้วมองฉีหรัว “เข้าวังมาได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่รู้หรือ?” ฉีหรัวตกใจ แล้วก็รีบเอาเรื่องที่งานแต่งตนเองถูกเลื่อนเข้ามาให้ฟัง
กู้อ้าวเวยก็เพิ่งตั้งสติได้ แล้วก็เอามือจับที่ขมับอย่างเจ็บปวด แล้วพูดเสียงแหบๆ ว่า “เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่เสียดายที่ข้าทำอะไรไม่ได้”
กุ่ยเม่ยก็อยากจะถามว่านางเป็นอะไรมากไหม แต่เห็นซ่านเซิ่งหานเอามือมาช่วยนางนวดแล้ว แล้วพูดกับกุ่ยเม่ยว่า “เมื่อคืนนางกินยาไป ก็เลยปวดหัวเช่นนี้”
สักพัก ซ่านเซิ่งหานก็ไม่มีทีท่าจะออกไป ทั้งสองคนก็ไม่มีโอกาสพูดความในใจ ได้แต่จากไป
จากนั้น ฉีหรัวก็ให้คนมาส่งจดหมายมาบอกซ่านเชียนหยวน ให้คนส่งหมอที่เชื่อใจได้เข้าไป เผื่อกู้อ้าวเวยเกิดอะไรขึ้น แล้วไม่มีใครดูแล