บทที่ 1009 เรื่องราวในวังหลวง
จางเหยียงซานก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร
เขาไม่เคยมาเก็บกวาดผลของการที่กู้อ้าวเวยเอาแต่ใจไว้ ตึกเล็กน้อยและห้องหับอีกมากมายนับไม่ถ้วน เขาต้องมาจัดการทุกอย่าง ปกติหยินซี่งและเซียวเซียวก็มักจะไปๆมาๆอยู่รอบๆตัวเขา อย่าพูดถึงเรื่องรับคนเพิ่มเลย เงินในคลัง ยังต้องเอามากินมาใช้ยังจะไม่พอ
พอกู้อ้าวเวยไป ซ่านจินจื๋อก็ไม่เคยมาเลย เขาต้องจัดการเรื่องในบ้านเองทั้งหมด
ตอนนี้ยังไม่เจอซ่านจินจื๋อ เพียงแต่ส่งคนมาเก็บกวาดแค่สิบกว่าคน ต่อมาป้ายสัญลักษณ์ของท่านอ๋องถูกส่งมาให้เขา ให้เขาเข้าวังไปช่วยดูแลกู้อ้าวเวย เขาโกรธจนเตะโต๊ะพัง แล้วหน้าบึ้งเข้าวัง ทำให้พวกขันทีนางในต้องถอยหลังไปเพราะความกลัว
“ใต้เท้าจาง ท่านเป็นผู้ชาย ทั้งยังไม่มีที่มาของตัวตนที่แน่ชัด เกรงว่าหลังจากประตูวังลงกลอนแล้ว พวกเราจะต้องจากไป กลางวันจะเดินไปไหนต้องระวังตัว” ขันทีด้านข้างรู้ว่าเจ้านายของเขาเป็นแค่อ๋องจิ้ง ไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างแน่นอน ทั้งยังไม่รู้ระเบียบในวัง กลัวว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา
“ข้ารู้ดี กงกงบอกข้ามาว่านางอยู่ที่ไหนก็พอแล้ว” จางเหยียงซานไม่พอใจ แต่ละคำพูดมีแต่ความไม่พอใจ
ขันทีคนนั้นก็ลำบากใจ “ฮ่องเต้ยังไม่ได้รับสั่ง ต้องให้พวกเรารอสักระยะ”
ดีจริงเลย เรียกเขามา แต่ยังไม่ให้เขาเข้าพบใคร
ขันทีพาเขาไปพักยังที่ศาลาที่ไม่ค่อยมีนางสนมเดินผ่าน อีกสองแยกก็จะเป็นวังเย็นที่ไม่มีใครเข้าไป พอจางเหยียงซานนั่งลง แล้วก็เห็นเหม่ยเหริน(ตำแหน่งของพระสนม)อายุ17-18ถูกลากไปยังวังเย็น ร้องตะโกนว่า “เจ้าจะต้องได้รับกรรม! หัวใจของฮ่องเต้ ไม่ใช่ใครจะครอบครองได้ง่ายๆ”
พวกขันทีเปลี่ยนสีหน้า คนดูแลพวกนั้นก็ตบสั่งสอนพวกนาง แล้วก็มองมายังที่ศาลา ว่ามีชายที่ไม่รู้จักเข้ามา แล้วก็รีบดุด่าเหม่ยเหรินนั้นว่า “หลี่เหม่ยเหรินต้องระวังคำพูดด้วย ถ้ามีคนได้ยินเข้า เกรงว่าครอบครัวตระกูลเจ้าจะ………”
พูดเช่นนั้น ก็เหมือนเป็นการขู่
เหม่ยเหรินพวกนั้นก็กัดฟัน แล้วก็ถูกลากไป เข้าไปยังวังเย็นที่รกร้าง
จางเหยียงซานก็รินน้ำชา พร้อมส่ายหัว
ในวังมีแต่คนระวังตัว แม้แต่คนแปลกหน้าอย่างเขา ก็ต้องระวัง
เดิมทีอยากจะรอ แต่ก็เห็นความงามพุ่งเข้ามาหา เห็นสนมแต่งตัวจัดจ้านเดินเข้ามา ก็มองจางเหยียงซาน แล้วก็พูดว่า “เจ้าก็คือลูกศิษย์ของหมอเทวดาคนนั้นใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว” จางเหยียงซานทำหน้านิ่ง เพราะเอาแต่เรียนหมอ ไม่เคยผ่านผู้หญิง ตอนนี้อารมณ์ก็เลยปกติ
สายตาของเหม่ยเหรินนั้นกวาดมาเป็นความร้าย มือที่ถือพัดอยู่ก็กำแน่นขึ้น แล้วก็แกล้งไอออกมา จากนั้นตั้งใจกระชับเสื้อผ้า แล้วปล่อยแขนลงข้างตัว พร้อมพูดว่า “หลี่เหม่ยเหรินวางยาพิษทำร้ายข้า เดิมทีอยากจะให้แม่นางหมอเทวดาคนนั้นมาช่วย แต่ไปเชิญมาไม่ได้ ให้คุกเข่ารออยู่เป็นวัน เจ้าบอกหน่อยสิ คนในวังนี้ไม่มีความรู้สึกอะไรจริงๆ ใช่ไหม?”
เหม่ยเหรินถอนหายใจ หางตาเริ่มแดง เหมือนว่าจะร้องไห้
ปกติจางเหยียงซานเป็นแต่หมอ แต่ก็มีนิสัยอบอุ่น แล้วก็พูดนุ่มๆว่า “จางเหยียงซานต้องขอโทษแทนท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วย แต่ตอนนี้ท่านอาจารย์ต้องทำงานให้ฮ่องเต้ จะช่วยได้หรือไม่นั้น เกรงว่าจะต้องฟังรับสั่งของฮ่องเต้ก่อน ท่านก็อย่าได้โมโหเลย”
เป็นเจ้านายที่เข้าข้างลูกน้องจริง
เหม่ยเหรินไม่เผยสีหน้า แต่ก้มหน้าลงไป แล้วยื่นข้อมือออกไป “เช่นนั้น ลูกศิษย์หมอเทวดาอย่างเจ้า ก็ช่วยตรวจชีพจรข้าก็แล้วกันดีไหม?”
จางเหยียงซานอยากจะปฏิเสธ แต่หญิงงามคนนั้นก็ถอยหลังออกไปเองสามก้าว แล้วล้มลงที่พื้น
น้ำตาไหลลงมา พร้อมจับกระชับเสื้อผ้าร้องไห้ออกมา “มีใครอยู่บ้าง!”
นางในก็รีบกรูกันเข้ามาช่วยพยุงนาง แล้วก็มีลูกน้องสองคน ไม่รู้ว่ามาจากไหน มาจับแขนของจางเหยียงซานไว้ จนขยับไม่ได้
ดวงไม่ดีหลายปี ก็เพราะติดตามก็อ้าวเวยนี่แหละ!
พอมาทำเรื่องงานเดียวกับนางทีไร ดวงไม่ดีทุกที
จางเหยียงซานหายใจเข้าลึกๆ แล้วฟังเหม่ยเหรินบอกว่าเขานั้นล่วงเกินนางอย่างไรบ้าง พูดออกมาเสียเหมือนเรื่องจริง
“ข้าเป็นคนของอ๋องจิ้ง ถ้าเหม่ยเหรินท่านนี้บอกข้าล่วงเกินนาง ก็หาพยานมาชี้ตัวกัน” จางเหยียงซานได้แต่ต้องบอกว่าตนนั้นเป็นคนของอ๋องจิ้ง เหม่ยเหรินคนนั้นก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
พวกองครักษ์ก็ครุ่นคิด แล้วก็ไปรายงานฮ่องเต้และอ๋องจิ้ง
ฮ่องเต้บอกว่าให้จัดการกันเอง อ๋องจิ้งก็เข้าวังมาสืบเรื่องนี้เพื่อหมอคนเดียว ทำให้คนอื่นก็ไม่กล้าแตะต้องจางเหยียงซาน
ไม่นาน อ๋องจิ้งก็รีบมาในคืนนั้น มาถึงตอนจะลงกลอนประตูวังแล้ว ทำให้คืนนี้ต้องพักอยู่ในวัง
ซ่านจินจื๋อมองไปพริบตาเดียว ก็รู้ว่าหญิงคนนั้นเป็นคนตระกูลซู๋ ปีนั้น ฮองเฮาองค์ก่อนซู๋เซ่อ ตายอยู่ในวัง ทุกวันนี้ยังหาตัวคนร้ายไม่พบ ส่วนนางคนนี้ก็เป็นคนดูแลตระกูลซูคนหนึ่ง ตอนนี้กล้ามาหาเรื่องอ๋องจิ้ง เกรงว่าน่าจะรู้เรื่องเมื่อปีนั้น แล้วมาทวงความยุติธรรมให้ป้าตนเอง
ในใจก็หายโกรธไปบ้าง ซ่านจินจื๋อมองด้วยสายตาเย็นๆ “จางเหยียงซานเป็นคนดี คงไม่ล่วงเกินเจ้าแน่ ถ้าเจ้ายังอยากทำเรื่องให้ใหญ่โตละก็ วันหลังข้าก็ไม่จะไม่ไว้หน้าเจ้าเหมือนกัน”
สุดท้ายก็เป็นดังนั้น หญิงคนนั้นตาแดง กำมือแน่น สั่งคนอื่นถอยไป แล้วมองอ๋องจิ้ง “ทำไมอ๋องจิ้งไม่ช่วยท่านป้าของข้า ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลซู๋ยังเหลือความรุ่งเรืองบ้าง แต่ไม่มีอำนาจอะไรแล้ว น้องชายสองคนถูกรังแก ก็เพราะว่าท่านป้าของข้าไปเข้ารว่มการแย่งชิงของพวกเจ้า!”
เหม่ยเหรินคนนั้นพูดแผดเสียง มีแต่ความไม่พอใจ
จางเหยียงซานก็ยังอึ้งอยู่ที่เดิม ซ่านจินจื๋อก็ถอนหายใจลึกๆ “แต่เจ้าก็ไม่ควรมาหาวิธีจัดการแบบนี้”
“ชื่อเสียงของหมอเทวดา ใครบ้างจะมี ข้ารู้ว่าอ๋องจิ้งมีความสัมพันธ์กับนางไม่น้อย ขอแค่ท่านพูดออกมา……”
“เรื่องนี้ ข้าจะต้องจัดการให้เจ้าหรือ?” กำลังภายในของซ่านจินจื๋อเริ่มไม่เสถียร และกระเหี้ยนกระหือรือจนทำให้เหม่ยเหรินคนนั้นตกใจล้มลงไป ตาเริ่มหรี่ลง เหลือเพียงสายตาที่ทำให้คนหวาดกลัว “เช่นนั้นเจ้าพูดมา ว่าคนในวังนี้มองหมอเทวดาเป็นเช่นไร”
เหม่ยเหรินปากสั่น แล้วนึกถึงข่าวลือที่ได้ยิน แล้วก็ไม่กล้าพูดต่อ
แต่น่าเสียดาย โดยรอบเต็มไปด้วยรัศมีการฆ่าฟัน นางก็ได้แต่พูดว่า “พวกพี่น้องข้าล้วนบอกว่า ……. หมอเทวดาเป็นคนที่ฮ่องเต้ยกย่องไว้เหนือสุด ปีนั้นพบหญิงที่หน้าตาเหมือนนาง ตอนนี้ยังซ่อนอยู่ในห้องอยู่เลย”
เช่นนี้นี่เอง!
กำลังภายในที่ล้อมรอบตัวของซ่านจินจื๋อก็เย็นลง พร้อมบังเกิดเหงื่อเล็กน้อยที่คอเสื้อ
จางเหยียงซานลุกขึ้น “ดังนั้น เหม่ยเหรินท่านนี้ก็เลยอยากให้นางไป……ไปพูดเกลี้ยกล่อม?”
พอสิ้นเสียง ด้านนอกได้ยินเสียงวุ่นวายด้านใน ตอนที่เปิดประตู เสื้อผ้าซ่านจินจื๋อสะบัด แล้วก็พาจางเหยียงซานจากไป
ในห้องนั้นก็เละเทะ มีเพียงเหม่ยเหรินนั้นนั่งงงอยู่ที่เดิม ตั้งสติมาไม่ได้
อ๋องจิ้งคนเดิม ได้กลับมาแล้ว