บทที่ 1010 เชื่อมั่น
จางเหยียงซานคิดไม่ถึงว่า คนในวังจะมองว่ากู้อ้าวเวยเป็นตัวแทนอันเป็นที่รักของฮ่องเต้
แล้วมองซ่านจินจื๋อที่เต็มไปด้วยความโกรธ จางเหยียงซานก็นึกถึงภาพที่เขาโกรธเมื่อครู่ เหมือนกำลังถูกมือบีบคออยู่ หายใจลำบากมาก ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ก้าวขาไม่ออก
นี่สิถึงจะเป็นอ๋องจิ้งที่ไม่มีใครกล้ามองหน้าตรงๆ ในตอนนั้น
กลืนน้ำลาย ถึงแม้ปกติแล้วจางเหยียงซานจะกล้าบ่นกู้อ้าวเวยต่อหน้าสายตาของซ่านจินจื๋อ แต่ตอนนี้กลับกลัวไปหมด “ท่านอ๋องจิ้ง เรื่องวันนี้เป็นเพราะข้า……..”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” ซ่านจินจื๋อโกรธจนหันหัวไป พูดตัดบทจางเหยียงซานเสียอย่างนั้น
จางเหยียงซานก็ได้แต่หุบปาก วันนี้ยังไม่ได้พบกู้อ้าวเวย ก็มาหาเรื่องคนที่ไม่ควรยุ่งเสียแล้ว และได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินอีก
ซ่านจินจื๋อไม่ได้โมโหเช่นนี้หลายเดือนแล้ว เนื่องจากกู้อ้าวเวยมักจะปลอบเขาอยู่ข้างๆ วันนี้โกรธเพราะคำพูดไม่กี่คำ แม้แต่กำลังภายในก็ควบคุมไม่อยู่ เหมือนจะปลดปล่อยออกมาจริงๆ
หลังจากเก็บกำลังภายในไปแล้ว ซ่านจินจื๋อก็เก็บสายตาอำมหิต แล้วหันไปมองขันที “เอาเขาไปส่งที่โรงหมอหลวงแล้วกัน”
“รับทราบ ท่านอ๋องจิ้ง ตำหนักของท่านได้เตรียมเรียบร้อยแล้ว จะให้หานางในมารับใช้ไหม ……” ขันทีกำลังจะเตรียมพวกนางมาคอยรับใช้ แต่เห็นซ่านจินจื๋อได้ยินคำว่านางใน แล้วสีหน้าก็เปลี่ยน ก็เลยรีบอธิบายว่า “ให้พวกขันทีไปรับใช้”
ซ่านจินจื๋อก็มีสีหน้าปกติขึ้น แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป “ข้าจะไปพบฮ่องเต้ มีเรื่องด่วน”
ไม่นาน หวางกงกงทราบเรื่องก็รีบมา “ฮ่องเต้เรียกพบท่านที่ห้องหนังสือ”
แล้วก็ตั้งใจมองซ่านจินจื๋อ หวางกงกงก็ตกใจอีก
จะมีใครมีตาแต่ไร้แววมาหาเรื่องกับเทพแห่งกาฬโรคอย่างเขาอีก?
ซ่านจินจื๋อมาถึงยังห้องหนังสือ เห็นพี่ชายตนเองแย่ลงไปนิดหน่อย ชุดมังกรใหญ่ๆก็เหมือนจะใส่ลงไปขนาบตัวอยู่อย่างนั้น สีหน้าซีดเซียว ขอบตาเขียวคล้ำ ดวงตาก็ฝ้าขาวไปมาก
ซ่านต้วนโฉงก็มองซ่านจินจื๋อ
น้องชายที่อายุห่างกับเขามาก ตอนนี้โตมากแล้ว แต่ก็ยังเหมือนเดิม ตาเป็นประกาย คิ้วแหลม สายตายังคงดูลึกซึ้งดังเดิม แต่ความโอหังดั่งก่อนกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาคิดถึงเรื่องอดีต
ซ่านจินจื๋อก็ทำความเคารพแล้วนั่งลง ซ่านต้วนโฉงก็สั่งให้คนอื่นออกไป แม้แต่องครักษ์บนขื่อหลังคา
พอเอ่ยปาก ก็ไม่มีความรู้สึกเป็นพี่น้องแล้ว
“อ๋องจิ้งตั้งกองทัพอยู่นอกเมืองเทียนเหยียน กดดันทั้งนอกใน ก็เพื่อผู้หญิงคนเดียวหรือ?” ซ่านต้วนโฉงเอาจดหมายลับนั้นตีลงไปที่โต๊ะ แล้วก็มีฎีกาที่พวกขุนนางเกลี้ยกล่อมมาด้วย บอกว่าที่ซ่านจินจื๋อทำครั้งนี้ก็เพื่อกำจัดพวกกบฏต่างๆ ก็เลยไม่ได้ทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้
แต่สองพี่น้องต่างก็รู้ดี
ซ่านจินจื๋อมองไป แล้วพูดเสียงแหบว่า “ท่านพี่น่าจะจำนิสัยของน้องชายคนนี้ได้”
“สัตว์ป่าที่แม้แต่กู้อ้าวเวยก็ยังควบคุมไม่ได้นะหรือ?” ซ่านต้วนโฉงหัวเราะเย็น “เจ้าอดที่จะมาแทนที่ข้าไม่ได้แล้วหรือ? ตอนแรกก็เอาท่านแม่ไปซ่อนไว้ในตำหนัก ตอนนี้จะใช้กำลังทหารก่อกบฏอีกอย่างนั้นหรือ?”
เป็นประโยคปกติ ไม่ได้รับรู้ถึงความโกรธ
ซ่านจินจื๋อมองพี่ชายตนเองไม่ออกเป็นครั้งแรก
ตอนเด็กๆ ท่านพี่ต้องการแค่ความสงบของแม่ลูก หลังจากที่ท่านพี่เกิดมา ท่านพี่ต้องการแค่เติบโตอย่างปลอดภัย จากนั้นก็ได้ใช้ชีวิตกับคนรัก พอท่านพี่ได้ครองราชย์ ก็ต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข เข้มแข็งยิ่งใหญ่
แต่ตอนนี้ท่านพี่ผอมลงมาก ดวงตาที่ฝ้าขาวคู่นั้น ก็บังเกิดความโกรธ “พวกเราพี่น้อง ข้านึกว่าเจ้าจะรู้ แต่เจ้ากลับไม่สนใจ ลุ่มหลงอยู่แต่ในการหลอกล่อของซูพ่านเอ๋อ ทำให้แผนข้าเสียหมด”
“ท่านพี่…..” ซ่านจินจื๋อพูดออกมาเบาๆ
“ถ้าตอนนั้นกู้อ้าวเวยไม่ได้มีใจต่อเจ้า เจ้าก็ต้องลำบาก ตอนนี้กู้อ้าวเวยเป็นสนม เข้ามาอยู่ในตำหนักขององค์ชายสามแล้ว ตอนนี้นางก็เป็นแม่ของแผ่นดินแล้ว ส่วนคนที่ข้ารัก ก็จะมีวิธีรักษาแล้ว” ซ่านต้วนโฉงอมยิ้ม ในสายตามีแต่ความบ้าสะสมไว้ ไม่นาน แล้วพูดว่า “ข้ามานั่งครองบัลลังก์แทนเจ้า ตอนนี้ก็จะคืนให้แล้ว เจ้ายังจะก่อกบฏอีกหรือ?”
ถึงว่า ตอนนั้นที่ซ่านเซิ่งหานเห็นพระชายาอ๋องจิ้งครั้งแรก มีท่าทางแปลกๆ
แต่เรื่องตอนนั้น มันก็นานมาแล้ว
ซ่านจินจื๋อก็ไม่อยากจะติดใจเอาความ และไม่อยากจะมาคิดเล็กน้อย และพูดว่า “1เดือน”
ซ่านต้วนโฉงหัวเราะพุ่งออกมา “เจ้าเป็นน้องชายที่รักของข้าจริงๆ”
“ท่านพี่คิดว่าแคว้นเอ่อตานจะยอมรามือง่ายๆหรือ!” ซ่านจินจื๋อก็เอามือตบโต๊ะ แล้วมองโกรธๆ “เจ้าฆ่าคนเพื่อลองยาให้ตนเอง ตอนนี้ก็รู้ว่ากู้อ้าวเวยมีอาการแพ้ต่อหลายสิ่ง ยังจะให้นางเข้าวังมาอีก บวกกับฮ่องเต้แคว้นเอ่อตาน ที่เคยเป็นตัวองค์ประกันอยู่ที่แคว้นชางหลาน รับความลำบากมากมาย ต่อให้นำทหารมาประชิดแคว้น เกรงว่าเหล่าขุนนางของแคว้นเอ่อตานก็เห็นดีเห็นงามด้วย”
“แคว้นชางหลานกว้างไกล คนเก่งมากมาย จะไปกลัวอะไรกับแค่แคว้นเอ่อตาน” ซ่านต้วนโฉงก็ไอขึ้นมาอีก แล้วก็หันไปหยิบชาสีเข้มมาดื่มลงไป
พอสิ้นเสียงพูด พี่น้องทั้งสองก็รู้กัน
ภายนอกแคว้นชางหลานเหมือนจะยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน แต่สิบกว่าปีนี้มันเปลี่ยนแปลงไปมากภายใต้การปกครองของซ่านต้วนโฉง
ตอนนี้ มันเป็นการเอาเงินและกำลังไปเร่งการเจริญรุ่งเรืองมากกว่า
แคว้นเจียงเยี่ยนเปลี่ยนมาเป็นเย่นเจียง แคว้นเอ่อตานก็กำลังพัฒนา ส่วนแคว้นชางหลานไม่มีอะไรพัฒนาเลย
มีเจ้าผู้ครองนครรัฐมากมายที่จ้องจะคาบเนื้อชิ้นนี้อยู่ แล้วยังมีพวกขุนนางชายแดน ที่พร้อมจะไปเข้ากับศัตรู แล้วยังมีพวกขุนนางที่อาศัยจังหวะที่ฮ่องเต้ใกล้จะสิ้นพระชนม์ เพื่อก่อความวุ่นวาย ทุกอย่างนี้ ทำลายรากฐานของประเทศทั้งสิ้น
แล้วจะนับประสาอะไรกับตอนนี้ที่แบ่งกำลังทหารเป็นสองฝ่าย วุ่นวายภายใน แล้วจะไปสู้กับแคว้นเอ่อตานได้อย่างไร?
นิ่งไปพักใหญ่ ซ่านจินจื๋อก็อดไม่ได้ที่ต้องเปลี่ยนเรื่อง พูดว่า “ข้าไม่ยอมให้มีสงครามไปทั่วสารทิศหรอก ทหารนอกเมืองนั้น เป็นเพียงทัพป้องกันแคว้นเอ่อตาน เหลือเพียงเดือนเดียวเท่านั้น”
“ตอนนี้สถานการณ์คับขัน เจ้าร่วมมือกับแคว้นเอ่อตาน ไม่กลัวว่าคนจะมองว่าเจ้าเป็นกบฏขายชาติหรือ?” ซ่านต้วนโฉงก็ค่อยๆ นิ่งไป
“ข้า ข้าไม่มีอะไรต้องกลัว”
ซ่านจินจื๋อทิ้งท้ายไว้เท่านี้ และไม่อยากอยู่ต่อ
ซ่านต้วนโฉงก็จ้องมองฎีกามากมายตรงหน้า แล้วก็รู้สึกตลก
ผู้คนบอกว่าอ๋องจิ้งมีผลงานมากกว่านาย และมีใจทรยศ เขากลับคิดว่าน้องชายคนนี้เชื่อคนง่าย วันข้างหน้ากลัวจะเป็นศัตรูกันเพราะผู้หญิง
แต่ตอนนี้ ทำไมถึงทำได้ถึงขนาดนี้ และไม่กลัวคำสั่งของฮ่องเต้ ที่จะสั่งให้เขากลายเป็นคนที่กบฏขายชาติ
คิดไม่ตก แล้วเขาก็ส่งคนไปตามกู้อ้าวเวย
เห็นกู้อ้าวเวยใส่ชุดหนาๆ พอได้ยินคำซ่านต้วนโฉง นางก็ยิ้ม “เขาเป็นน้องชายของท่าน ท่านก็เป็นพี่ชายของเขา จะเอาเหตุผลอะไรมากมาย”
ซ่านต้วนโฉงก็มองนางอย่างสงสัย “เจ้าไม่กลัวข้าฆ่าเจ้าหรือ?”
“วันนั้น หน้าตำหนักไทเฮา ที่ฮ่องเต้ให้คนมาช่วยบังฝนให้หม่อมฉัน หม่อมฉันก็รู้แล้ว” กู้อ้าวเวยยิ้มๆ “ตนเองเสียคนรักไป แล้วจะให้ญาติสนิทตนเองเสียคนรักไปเหมือนกันได้เช่นไร”