บทที่ 1023 ลอบสังหาร
“ว่าแต่ยู่จุนจะฟื้นขึ้นมาจริงหรือไม่”
หยูนซีหัวเราะครู่หนึ่งก่อนหยุดลง สายตาเหลือบไปทางตำหนักในด้วยความสงสัยใคร่รู้ โซ่ตรวนบนร่างเกิดเสียงดังกังวานไม่หยุดหย่อน เสมือนเด็กน้อยตื่นเต้น ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง
สำหรับความสดชื่นเศร้าหมองไม่แน่นอนของหยูนซี กู้อ้าวเวยรู้สึกคุ้นเคยตั้งนานแล้ว
เมื่อก่อนเคยตรวจชีพจรให้นาง ยกเว้นเส้นเลือดค่อนข้างแปลกประหลาดแล้ว ส่วนอื่นก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร ท่าทางบ้าคลั่งในยามนี้ก็เกิดจากเข็มเงินที่เข้าสู้ร่างกาย เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องล่ามโซ่นางอยู่ที่นี่ทุกวัน
“อาจจะฟื้นขึ้นมาได้ ตอนแรกท่านป้อนยาสมุนไพรให้นางถึงยื้อชีวิตเอาไว้ในโลงน้ำแข็งได้ แต่ยาที่ร้อนได้ที่ยามนี้กลับเป็นอุปสรรคทำให้ข้ายากจะฝังเข็มให้ยาได้ จึงได้แต่หาหนทางอื่น” กู้อ้าวเวยอธิบายเสียงแผ่ว อีกด้านหนึ่งกลับสงสัยใคร่รู้ “เรื่องที่ข้าพูดกับฝ่าบาทเมื่อครู่ ท่านรู้หรือไม่”
หยูนซีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ส่ายหน้า “แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยให้ข้าเข้าใกล้ผู้คน วันๆ ก็ไม่พ้นแค่เปิดหน้าต่างให้ข้าบานเดียว ทุกเดือนจะออกไปเดินข้างนอกหนึ่งคืน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ข้าผู้ซึ่งปราศจากบ่วงกังวลเอาหัวโขกเสาตาย”
เริ่มบ้าขึ้นมาอีกแล้ว
กู้อ้าวเวยไม่ได้ถามมากความอีก
แต่ว่าพอหวนคิดดูอีกที หมิ่นเอ๋อก็บ้าๆ บอๆ เหมือนกัน กลัวแต่ไม่ว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรมอยู่ในนั้นด้วย
ขณะที่กำลังเหม่อลอย ท่าทางของหยูนซีก็กลับสู่ปกติมากแล้ว ปลายนิ้วกำโซ่แน่นพลางมองนาง ดวงตาคู่นั้นฉายแววอันตรายออกมาเล็กน้อย “แต่ว่าพวกเจ้าไม่แปลกใจเชียวหรือว่ามือทมิฬเบื้องหลังที่พวกเจ้าพูดกันเมื่อครู่ทำไมต้องเล่นงานคนพวกนั้นด้วย”
กู้อ้าวเวยกำพู่กันแน่นหยุดชะงักเล็กน้อย
ปัจจุบันซ่านจินจื๋อพาตงฟางซวนเอ๋อมาด้วย น่าจะไม่ใช่เพราะอยากผูกสัมพันธ์กับตงฟางซวนเอ๋อ แต่เพราะต้องการออกหน้าแทนตระกูลตงฟาง ซ้ำฮองเฮาก็ยังช่วยชีวิตไทเฮาออกมาด้วย นางย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยซ่านจินจื๋อ
ดูเหมือนจะโยนพิษเจินก่อนหน้านี้ไว้ข้างหลัง
กู้อ้าวเวยลอบรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ก่อนออกจากจากพระตำหนักอย่างเงียบๆ
หยูนซีกลับดึงโซ่ตรวนข้างกายราวกับเย้นหยันตนเอง เอ่ยปากกับนางกำนัลด้านข้างเสียงต่ำ “เผลอๆ คนที่ตายเป็นรายถัดเกิดเป็นข้าขึ้นมาเล่า”
เหล่านางกำนัลทำได้แค่มองด้วยอาการงงเป็นไก่ตาแตก
แม้แต่คนที่รู้ถึงการมีตัวตนของหยูนซียังมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แล้วจะมีคนมาทำร้ายนางได้อย่างไรกัน
ขณะที่กู้อ้าวเวยอังหยาดฝนโปรยปรายสาวเท้าเดินออกมานั้น ยังไม่ทันเดินถึงห้องบรรทมของฮองเฮาด้วยซ้ำ ในใจก็นึกว่าคนผู้นั้นวางพิษฆ่าเฉิงกุ้ยเหรินแล้ว ยามนี้จะยุติการโจมตีหรือจะผงาดพลังกำจัดหอกข้างแคร่ทั้งหมดทั้งมวลจนสิ้นซากกันแน่
ทว่ายามที่เดินผ่านโขดหินจุดหนึ่งกลับบังเอิญได้ยินบรรดานางกำนัลที่ให้อาหารปลาคาร์พในบ่อพูดกันเสียงกระซิบ
“แม่นางซวนเอ๋อเกรงว่าจะได้ตำแหน่งชายาอ๋องจิ้งแน่แล้ว เพียงแต่คนที่นั่งในตำแหน่งชายาอ๋องจิ้งต่างมีจุดจบที่ไม่เลยกันสักคน”
“นี่เจ้าไปได้ยินคำโกหกมาจากที่ไหนอีก ใครไม่รู้บ้างว่าอ๋องจิ้งโปรดปรานใต้เท้าหมอเทพ เพียงแต่ยามนี้ติดแต่ว่าฝ่าบาททรงแย่งตัวนางไป นี่คือศึกระหว่างพี่น้องเชียว ซ้ำยังได้ยินมาอีกว่าใต้เท้าหมอเทพก็คือพระชายาจิ้งที่มีทักษะการแพทย์น่าทึ่งในปีนั้นนั่นเอง”
นางกำนัลอีกคนบุ้ยปากแล้วขว้างอาหารปลาลงไปในบ่อหลายส่วน ส่ายหน้าติดต่อกัน
“แต่เช้ามืดวันนี้ข้าเห็นแม่นางซวนเอ๋อตกเลือดพรหมจรรย์อยู่แท้ๆ ได้ยินว่าในตำหนักจุดเทียนแดงทั้งคืน เทียนแดงเล่มนั้นเผาไหม้เต็มที่จนมอดดับ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสียงครวญครางหวานหูในนั้นเลย”
นางในที่ฟังอยู่ด้านข้างเบิกตาโพลงทันควัน เดาะลิ้นกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าอ๋องจิ้งผู้นี้ก็ไม่ใช่พวกใจเดียวอะไร ตอนนี้ดูแล้วพวกเราคงไม่อาจล่วงเกินใต้เท้าหมอเทพเสียแล้ว เผลอๆ วันหน้าใต้เท้าหมอเทพคนนี้อาจได้ขึ้นเป็นชายารองก็เป็นได้”
ขันทีเล็กที่คอยตามอยู่ข้างกายกู้อ้าวเวยร้อนรนจนเหงื่อกาฬท่วมหน้า กลับถูกกู้อ้าวเวยขวางไว้ไม่สามารถก้าวเข้าไปห้ามปรามได้
สีหน้าเผือดสี กู้อ้าวเวยกลับไม่รู้ว่าควรเชื่อดีหรือไม่
เมื่อคืนตงฟางซวนเอ๋อสวมชุดแดงประดุจเพลิงทั้งกาย งดงามเหนือปวงชน ทำทุกอย่างด้วยความพิถีพิถันเอาใจใส่ และปฏิบัติต่อชาวโลกก็นับว่าโอบอ้อม กอปรกับท่านป้าของนางช่วยชีวิตไทเฮาออกมาเพื่อซ่านจินจื๋อแล้วด้วย
ย้อนกลับมามองตน นับว่ามีความพยาบาทกับไทเฮา หลังจากซ่านต้วนโฉงสังหารองค์ชายหกซ่านจวนฮ่าวแล้ว ก็นับว่าได้เป็นอริกันแล้ว
นางรู้สึกหงุดหงิดในใจในทันที คิดวกไปวนมาอยู่เป็นนาน ท้ายที่สุดก็นึกคำตอบสักข้อไม่ออก ทำเพียงมุ่นคิ้ว “เวลานี้อ๋องจิ้งยังอยู่ในวังหรือไม่”
“บ่าวจะไปถามให้เดี๋ยวนี้ ใต้เท้าหมอเทพโปรดนั่งรออยู่ที่ศาลาพักร้อนก่อนสักครู่”
ขันทีเล็กวิ่งลับไปไม่เห็นเงาทันที
ส่วนเรื่องของตงฟางซวนเอ๋อยิ่งดูเหมือนจะเป็นแง่งหนามแทงใจกู้อ้าวเวย ค้างๆ คาๆ พาให้นางยากจะมุ่งตรงไปถามไถ่ในตำหนักฮองเฮายามนี้ จึงได้แต่หย่อนตัวนั่งลงในศาลาพักร้อน ดวงตากลับไม่ปรายมองสีดอกไม้งดงามแม้แต่ครึ่งเสี้ยว
หลังจากนั้นไม่นานขันทีเล็กก็เดินมาเบื้องหน้าด้วยอาการตัวสั่นงันงก “แม่นางซวนเอ๋อดูเหมือนจะหมดสติไป อ๋องจิ้งอุ้มนางออกจากวังหลวงไปแล้วขอรับ ยามนี้เกรงว่าคงออกไปจากประตูวังแล้ว”
“ยังดีอยู่แท้ๆ เหตุใดถึงหมดสติไปได้”
“เอ่อ…ดูเหมือนว่าเมื่อคืน…” ขันทีน้อยหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที ยิ่งไม่กล้าสบสายตากู้อ้าวเวยขึ้นเรื่อยๆ
กู้อ้าวเวยปวดหัวไม่สิ้น “พูดมา”
“หมอหลวงรีบร้อนมา บอกแต่เพียงว่าเมื่อคืนแม่นางซวนเอ๋อหักโหม…เกินไป” กลั้นใจโพล่งคำว่าหักโหมออกมา ขันทีน้อยมองด้วยตาเปล่าเห็นว่าสีหน้าของกู้อ้าวเวยนั้นดูมืดครึ้มลงทันตา หัวใจทั้งดวงก็เต้นผิดจังหวะไปหมด กลัวเหลือเกินว่าใต้เท้าหมอเทพจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ กู้อ้าวเวยทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาเนิบช้าหนึ่งเฮือก “เมื่อคืน เห็นทีว่าอ๋องจิ้งคงจะ…”
“พวกบ่าวมิกล้าโพนทะนามั่วซั่ว เรื่องนี้เอะอะจนทุกคนในวังหลังต่างรู้กันถ้วนหน้า เช้ามืดวันนี้ก็มีเหนียงเหนียงไม่น้อยที่ถือโอกาสถวายพระพรไปแสดงความยินดีกับฮองเฮา ถ้าหากใต้เท้าหมอเทพไม่เชื่อ…”
“ไม่จำเป็น” สามคำนี้แทบจะเค้นลอดไรฟันออกมา
กู้อ้าวเวยรู้สึกเพียงว่าหน้ามืดตาลายวูบหนึ่ง ในใจกลับคิดว่าจะเป็นกับดักของฮองเฮาหรือไม่ พลางนวดมุมขมับไปด้วย หลังจากไตร่ตรองอยู่นานสองนานสุดท้ายก็ตัดสินใจไปที่ห้องบรรทมของฮองเฮาสักเที่ยวจนได้
ต่อให้ฮองเฮาบอกว่าเรื่องนี้นางเป็นคนจัดการเองกับมือ กู้อ้าวเวยก็คงไม่อาจตกอกตกใจ
เมื่อมาถึงหน้าตำหนักของฮองเฮา กู้อ้าวเวยยังไม่ทันย่างเหยียบบนนั้นด้วยซ้ำ ก็แว่วยินเสียงแหลมแหวกนภาดังลอยออกมา
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง” สิ่งที่เกิดตามมาก็คือเสียงร้องตื่นตระหนกของกลุ่มคน “รีบไปเชิญหมอหลวงมาเร็ว ฮองเฮาอเหนียงเหนียงยังมีชีวิตอยู่”
กู้อ้าวเวยตกใจยกใหญ่ รีบหอบกระโปรงยาวสาวเท้าวิ่งเข้าไปทันที
เมื่อย่างเข้าสู่ตำหนักใน กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นเจือหวานเอียนปะทะหน้าเข้ามา คราบเลือดลอยกระเซ็นไหลอยู่ข้างรองเท้าของกู้อ้าวเวย ส่วนฮองเฮาเหนียงเหนียงที่สูงส่งทรงสง่ากลับล้มตัวนอนบนเก้าอี้ยาวด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ช่วงอกด้านบนมีกระบี่ยาวแหลมคมเล่มหนึ่งปักอยู่ แทบจะยึดนางไว้บนเก้าอี้ยาว สองกำปั้นกำแน่นน่าจะมีการขัดขืนเกิดขึ้น ส่วนเลือดพวกนี้กลับเจือกลิ่นอื่นๆ อยู่ด้วยบางส่วน
“ออกไปให้หมด” กู้อ้าวเวยหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกตกใจที่กลิ่นเลือดนี้ช่างคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน
“แต่…ฮองเฮาเหนียงเหนียง…”
“ทักษะการแพทย์ของใต้เท้าหมอเทพโดดเด่น พวกเจ้ายังไม่รีบออกไปอีก ไปเอาข้าวของที่ช่วยชีวิตคนมาจากโรงหมอหลวงเร็วเข้าสิ!” ขันทีน้อนที่อยู่ด้านหลังกู้อ้าวเวยร้องตวาดลั่น กลุ่มคนไม่กล้าโอ้เอ้ รีบออกไปโดยพลัน
ขันทีน้อยยังคิดจะก้าวเข้าไปในห้อง กลับถูกกู้อ้าวเวยยกมือขวางไว้ “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอกให้หมด มีเพียงหมอหลวงที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แล้วไปเรียกลูกศิษย์เจ้าอารมณ์คนนั้นของข้าเข้ามาด้วย บอกว่านี่คือพิษเหง้าถุงน้ำดีหงส์ ให้เขานำข้าวของเข้ามาด้วย!”
ขันทีน้อยรีบออกไปโดยพลัน
กู้อ้าวเวยกลับมองไปที่กระบี่ยาวที่เสียบทะลุอกเล่มนั้น ปลดเสื้อนอกสีขาวหิมะลงมา สายตาเย็นเยียบ
ที่นี่มีพิษเหง้าถุงน้ำดีหงส์ได้อย่างไรกัน
ข้างหูพลันมีเสียงกระทบกันของคมดาบดังขึ้นอย่างกะทันหัน