บทที่ 1025 เบาะแสกระจัดกระจาย
พอฉูห้าวรู้ข่าวที่กู้อ้าวเวยหน้ามืดเป็นลมก็รีบร้อนเข้ามาทันที
ไม่รอให้ฉีหรัวและซ่านเชียนหยวนก้าวมาขวาง ฉูห้าวก็ไปนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยท่าทางราบเรียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายในใจคิดไปต่างๆ นานาว่าสมุนไพรที่ป้าหยุนมอบให้เขานั้นจะมีประโยชน์หรือไม่ ดวงตาทั้งสองข้างของกู้อ้าวเวยก็ค่อยๆ ปรือขึ้นมา ในดวงตาสีอำพันกลับสะท้อนใบหน้าของฉุห้าว หลังจากความคิดคืนกลับมาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว ปลายนิ้วตกไปที่หมัดซึ่งกำแน่นของฉูห้าว
“ข้าก็แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น ถึงกับตกใจเชียวหรือ”
นางมองเห็นขอบตาของฉูห้าวแดงก่ำไปหมด คิดดูแล้วเขาเพิ่งมีอายุยี่สิบปี
คราวนี้ฉูห้าวจึงถอนหายใจโ,งอก กุมมือที่เย้นเยียบจนสั่นระริกของกู้อ้าวเวยกลับ “ท่านพี่ ท่านไม่กลัว…”
“อย่าว่าแต่ยามนี้เป็นเหง้าถุงน้ำดีหงส์เลย ยามปกติพืชพิษเกรงว่าคงเข้าตาข้าไม่ได้ ตรงข้ามถ้าหากเจ้าสัมผัสคราบเลือดบนตัวข้าเข้าจำไว้ว่าต้องล้างให้สะอาด” กู้อ้าวเวยค้ำแท่นเตียงเอาไว้แล้วลุกขึ้นนั่ง คิดดูแล้วนางก็แค่เมื่อยล้าเกินกำลังจนหมดสติไปเท่านั้น พักผ่อนสักประเดี๋ยวก็คงไม่เป็นไรแล้ว
พยักหน้าอย่างว่าง่าย ฉูห้าวรีบบัญชาคนให้เอาซุปบำรุงร่างกายเข้ามา บังคับให้นางดื่มลงไป
ดื่มจนในท้องมีแต่น้ำเต็มไปหมด เห็นฉูห้าวยังยื่นมาให้อีกชาม จึงรีบขดตัวทันควัน มองไปทางซ่านเชียนหยวนราวกับขอความช่วยเหลือ
นางไร้หนทางเอ่ยปากปฏิเสธเจตนาดีของน้องชายโดยตรงจริงๆ!
ในฐานะหลานชายของกู้อ้าวเวยและผู้ชายที่ดีในสายตาหยุนหว่าน ซ่านเชียนหยวนรีบร้อนก้าวขึ้นมาแย่งซุปบำรุงกำลังชามนั้นลงมาทันใด “องค์รัชทายาท หากท่านยังป้อนต่อไป เกรงว่านางคงบำรุงจนเลือดไหลออกจมูกเป็นแน่”
กู้อ้าวเวยรีบพยักหน้าเป็นพัลวัน ฉูห้าวค่อนข้างกระดากอายเล็กน้อย “คือข้า…”
“พี่รู้เจตนาดีของเจ้าแล้ว” กู้อ้าวเวยทนมองอาการน้อยเนื้อต่ำใจของฉูห้าวไม่ไหว จึงกระเถิบตัวเข้าไปกอดเขาเอาไว้ ตบเข้าที่แผ่นหลังของเขาเบาๆ “เรื่องของฮองเฮาเจ้ายามนี้อย่าเพิ่งผลีผลาม จำไว้ว่ามาเพราะงานแต่งงาน อยู่ในวังก็จงระวังตัวในทุกๆ ที่”
ฉูห้าวพิงอ้อมกอดของพี่สาว มือไม้อ่อนไปหมด “แต่ว่าท่านพี่ เสด็จพ่อให้ข้าเข้ามา ที่จริงแล้วเพราะขุนนางราชสำนักกดดัน บอกว่าฮ่องเต้ชางหลานฝึกฝนวิชาต้องห้ามอยู่ ซ้ำยังค้นพบเรื่องเล่าขานเพลิงสวรรค์อะไรสักอย่างแล้วด้วย นึกอยากยืมยาอายุวัฒนะปิดหูปิดตาผู้คน อันที่จริงต้องการเหยียบย่างร้อยสายน้ำ”
กู้อ้าวเวยหน้าเปลี่ยนสี “นี่คือข่าวลือจากที่ใด”
“สายลับของด่านลั่วสุ่ย ยามนี้ทุกแว่นแคว้นต่างจับจ้องที่แห่งนั้นอยู่ ดูเหมือนจะมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังแพร่ข่าวลือนี้ ซ้ำยังพูดอย่างมีหลักการอีกด้วย แถมบอกว่าในมือของฮ่องเต้เคยมีหินชนวนกะรุนหนึ่งชิ้นอีกด้วย ซึ่งก็คือเรื่องเล่าขานของเพลิงสวรรค์นั่นเอง” ฉูห้าวเห็นว่ารอบบริเวณล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ จึงกล้าเอ่ยปาก
ขณะที่ไม่กี่คนต่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีนั้น
“ผู้ชายคนนนั้นดูเหมือนจะชื่อเมี่ยวหาร เป็นหมอคนหนึ่ง” ฉูห้าวเอ่ยปากกล่าวประโยคถัดไป
พลาดท่าแล้ว!
มีเพียงประโยคนี้ที่ผุดขึ้นในใจของกู้อ้าวเวยขึ้นมา จู่ๆ ก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเหตุใดตอนแรกตนถึงได้ปล่อยตัวซูพ่านเอ๋อไป
“เหตุใดพวกเขาถึงรู้เรื่องหินชนวนได้” ฉีหรัวก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว และนั่งลงข้างกายกู้อ้าวเวยและดึงนางกลับมา เลี่ยงไม่ให้ทำให้ฉูห้าวมือไม้อ่อนแรงต่อไป มองไปที่นาง “อีกอย่าง ฝั่งฮ่องเต้เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
“ไม่รู้ ตอนนี้เรื่องราวมาถึงตรงนี้แล้ว ยังมีอะไรรั่วไหลออกไปเชียวหรือ”
คนที่อยู่เบื้องหลังคนนี้เป็นใครกันแน่
หากบอกว่าฮ่องเต้กำกับและแสดงเอง ก็คงไม่ต้องบอกเรื่องเล่าขานเพลิงสวรรค์ให้ล่วงรู้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไม่ว่ารอให้ชางหลานถูกคนจับจ้องหรอกหรือ
ต่อให้เขาอยากลากชางหลานมารองบ่อนจริงๆ ยามนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้ตระกูลตงฟางป้วนเปี้ยนอยู่ในนั้น หรือไม่ก็ปฏิบัติต่อรัชทายาทเอ่อตานด้วยความกรุณา
ความคิดยุ่งเหยิง ผ่านไปครู่หนึ่งกู้อ้าวเวยจึงนวดศีรษะ ถามซ่านเชียนหยวนว่า “เอเทียบกับพวกนี้แล้ว ข้าอยากถามเจ้าว่าเรื่องเมื่อคืนระหว่างซ่านจินจื๋อกับตงฟางซวนเอ๋อมากกว่า เจ้ารู้หรือไม่”
เมื่อคืนซ่านเชียนหยวนเพิ่งได้หลับไปไม่พ้นสี่ชั่วยาม เมื่อครู่ก็รีบร้อนเข้าวังมา จากนั้นจึงส่ายหน้า “เมื่อคืนดึกดื่นขนาดนั้นเพิ่งเลิกประชุม จะเกิดเรื่องอะไรได้”
ดูเหมือนจะพูดได้ถูกต้อง
ดีร้ายในใจกู้อ้าวเวยก็คลี่คลายตัวบ้างแล้ว อย่างไรเรื่องพวกนั้นก็ไม่พ้นเป็นเพียงคำซุบซิบนินทาของเหล่านางกำนัลเท่านั้น นางไยต้องสงสัยซ่านจินจื๋อด้วยเรื่องแค่นี้
ซ่านเชียนหยวนกลับกลืนน้ำลาย
พูดตามตรง เขาคอยเคารพอยู่ห่างๆ จากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ข้างกายท่านอามาโดยตลอด มีผู้หญิงกี่มากน้อยที่อยากสวมหมวกเขียว(หมายถึง ชายที่ภรรยาลอบเป็นชู้ มีใจให้ชายอื่น )ให้เขาแต่ก็อยากครอบครองตำแหน่ง…
ฉีหรัวส่งสายตาให้ซ่านเชียนหยวน ขยิบตาให้เขาอย่างรู้งานอยู่ในใจ จากนั้นจึงกล่าวกับฉูห้าวว่า “เมื่อหลายวันก่อนนางเก็บเด็กสองคนเข้ามาอีกแล้ว คนหนึ่งชื่อเซียวเซียวอีกคนชื่อหยินซี่ง เจ้าก็ให้นางลองเล่าให้เจ้าฟังสิ ข้ากับซ่านเชียนหยวนจะไปตำหนักฮองเฮาเหนียงเหนียงกันก่อน ต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอันใดขึ้น”
“ระวังตัวด้วย” กู้อ้าวเวยยังกล่าวกำชับกำชาอีกหนึ่งประโยคด้วยความไม่วางใจ
ฉูห้าวฟังกู้อ้าเวยเล่าเรื่องเซียวเซียวกับหยินซี่งตาปริบๆ แต่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย
ในพระราชวังมโหฬารของเอ่อตานไม่มีพระสนม เด็กเล็กก็น้อย ชิงเจ๋อกำลังฝึกกระบี่ อี้จื๋อก็ได้แต่พูดอ้อแอ้ ถ้าหากพาเด็กสองคนกลับไปอีกได้ ต่อให้ไม่มีตำแหน่ง วันๆ ได้แต่เลี้ยงดูในฐานะลูกเลี้ยงในวังก็ดีเป็นที่สุดแล้ว
เดิมทีกู้อ้าวเวยยังคิดว่าจะเพิ่มภาระให้ฉูห้าวเสียอีก เวลานี้เห็นฉูห้าวก็ชื่นชอบให้มีเด็กหลายคนเช่นกัน จากนั้นจึงเริ่มเล่าให้ฟังด้วยอาการดีอกดีใจ
ส่วนฉีหรัวกลับลากซ่านเชียนหยวนออกมาด้านนอกตลอดทาง เห็นซางนิงยืนคอยอารักขากู้อ้าวเวยอยู่ข้างประตูอย่างเชื่อฟัง จึงกล่าวเสียงกระซิบ “เมื่อคืนกลัวว่าคงเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้ว”
“จริงหรือ” เรียวคิ้วของซ่านเชียนหยวนยังพลอยเลิกขึ้น
ฉีหรัวได้แต่เล่าข่าวลือที่ตนได้ยินในวังให้ฟังทีละเรื่อง กลัวเหลือเกินว่าซ่านเชียนหยวนจะไม่เชื่อ นางกล่าวซ้ำอีกว่า “หลังจากข้าได้รู้เรื่องนี้เข้า จากนั้นก็ติดสินบนนางกำนัลแผนกซักผ้ามาไล่เลียงเรื่องนี้ มีเลือดพรหมจรรย์จริงแท้แน่นอน ซ้ำยังได้ยินว่าในเครื่องหอมเมื่อคืนใส่บางอย่างเพิ่มข้าวไป องครักษ์ละแวกนั้นต่างถอยห่างออกมา อีกอย่าง ตอนเช้าอ๋องจิ้งเดินออกมาจริงๆ ด้วย น่าหงุดหงิดชะมัด”
“ถึงกับเป็นเยี่ยงนี้ ข้าจะไปขอคำอธิบายจากท่านอาเดี๋ยวนี้!”
“ช้าก่อน เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องกับตงฟางซวนเอ๋อ อ๋องจิ้งพานางออกจากวังไปแล้ว หากท่านหุนหันออกจากวัง กู้อ้าวเวยเกิดสงสัยขึ้นมาอีกจะทำอย่างไรกันดีเล่า” ฉีหรัวรีบร้อนคว้าเขาเอาไว้
“แต่พวกเราคงไม่อาจมองท่านอาเป็นชายทรยศรักตาปริบๆ ได้หรอกกระมัง เขาไม่ต้องการอี้จื๋อลูกชายแท้ๆ คนนี้ แต่ข้าต้องการน้องชายคนนี้!” ยิ่งพูดซ่านเชียนหยวนก็ยิ่งโกรธ เขามิอาจนั่งนิ่งดูดายได้
ฉีหรัวก็ไร้หนทางไปชั่วขณะ จึงนิ่งเงียบ
“กริ๊งกร้าง…”
เสียงดังกังวานเรียกความคิดของทั้งสอกลับคืนมา
ทั้งคู่ต่างทยอยมองเข้าไป เห็นของในมือของจางเหยียงซานร่วงลงพื้นพอดี
ซวยล่ะ! ทั้งสองคิดในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ลากจางเหยียงซานเอาไว้ก่อนที่เขาจะส่งเสียง ซ่านเชียนหยวนกลับอุดปากเขา กล่าวเสียงกระซิบว่า “เรื่องนี้พวกเราจะอธิบายต่อกู้อ้าวเวยอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้ทำร้ายนางเด็ดขาด หมอหลวงบอกว่านางร่างกายอ่อนแอ”
จางเหยียงซานงัดมือของซ่านเชียนหยวนออก พยักหน้ารับคำ “ข้าจะคิดเสียว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
เฝ้ามองจางเหยียงซานย่างเข้าไปในห้องอย่างเนิบช้า ฉีหรัวตามเข้าด้วยความไม่ไว้วางใจอยูดี เห็นเพียงแต่ว่าจางเหยียงซานตรวจชีพจรให้กู้อ้าวเวยเสร็จแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “จุดจบกำลังมาเยือน เอ่ยคำสั่งเสียเถิด”
กลุ่มคนต่างอึ้งงันอยู่กับที่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เห็นเพียงกู้อ้าวเวยโจนผลุบไปกำคอเสื้อของจางเหยียงซานเอาไว้แน่น และเริ่มฟาดฟันกับเขา “พูดเพ้อเจ้ออะไรศิษย์เนรคุณ!”
“ไม่ใช่ว่าอาจารย์อย่างท่านหาผู้ชายที่บ้าราคะเมาสติคนหนึ่ง เขาตีลูกศิษย์ท่านอย่างข้าคนนี้เหตุใดถึงไม่ยอมให้ข้าแก้แค้น!” จางเหยียงซานกดนางกลับเข้าไปในอ้อมอกของฉูห้าว เกือบมีปากเสียงกันจนพลิกหลังคา
ศิษย์อาจารย์คู่นี้ออกจะผิดธรรมดาไปหน่อย ฉีหรัวลอบถอยออกมาเงียบๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์