บทที่ 1020 คืนที่งดงาม
เสื้อผ้าสีแดงสดกระจัดกระจายเต็มพื้น เครื่องประดับมากมายระเนระนาดเต็มไปหมด
ร่างกายที่ถูกปกปิดเล็กน้อย เก็บซ่อนผิวที่ขาวเนียนไม่ได้ มีเพียงผมสีดำคลับยาวไปถึงเอว
ตงฟางซวนเอ๋อนิ้วมือจับผ้าห่มไว้แน่น
สาวรับใช้เข้ามาก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ยังไม่ทันออกปากอวยพร ตงฟางซวนเอ๋อน้ำตาเอ่อล้นออกมา เสียงร้องไห้ถูกเสียงฝนด้านนอกกลบจนไม่ค่อยได้ยิน สาวรับใช้ไม่กล้าพูดอะไรมาก สวมเสื้อผ้าให้นางเงียบๆ และนำผ้าปูที่มีรอยเลือดไปล้างให้สะอาด
คนข้างตัวไม่อยู่ เหลือเพียงความเย็นเฉียบในห้อง
สาวรับใช้ออกไปเงียบๆ เข้าไปในตำหนักฮองเฮา
พวกสนมพึ่งทำความเคารพเช้าเสร็จออกไป ฮองเฮาตงฟางกลับยังไม่ลืมเรื่องเมื่อคืน ทุกคนต่างรู้กันไปหมดแล้ว ขนาดพวกสนมก็ยังพูดจาดีๆ นานๆทีพวกนี้จะเรียบร้อย
เป็นเพราะ หลานสาวที่รักของนาง เมื่อคืนได้นอนกับอ๋องจิ้งแล้ว จะได้แก้ไขเรื่องข่าวลือที่สามีภริยาไม่เข้าขากัน ยิ่งทำให้ตำแหน่งของนางในตำหนักอ๋องจิ้งมั่นคงขึ้น
“เรื่องจริงเหรอ?” ฮองเฮาตงฟางเลิกคิ้วขึ้น สายตาเย็นชาไปหมด
“บ่าวเห็นเต็มสองตาเลยเพคะ มีรอยเลือดจริง รอจนกงกงมาเรียกอ๋องจิ้งไปห้องหนังสือ ท่านอ๋องจิ้งก็รีบออกไปจากตำหนักอย่างรีบเร่ง ด้วยสีหน้าที่เย็นชา” สาวรับใช้หัวเราะเบาๆคุกเข่าลงตรงหน้าฮองเฮาตงฟาง และพูดเสริมว่า: “เมื่อคืน น่าจะสำเร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ฮองเฮาตงฟางไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ก็ได้ยินสาวรับใช้นั้นพูดว่า: “บ่าวจะรีบไปบอกข่าวกับท่านตงฟาง……”
“ข่าวลือเหมือนลม ไม่ต้องไปบอกหรอก” ฮองเฮาตงฟางมองค้อนอย่างเย็นชา: “ซวนเอ๋อทำไมถึงไม่ดีใจล่ะ?”
สาวรับใช้สีหน้าแข็งทื่อ คิดอย่างละเอียด ก็จึงพูดไปว่า: “เกรงว่าอ๋องจิ้งมีใจให้กับกู้อ้าวเวยคนเดียว ตอนที่ตื่นแล้วคงจะพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจ ต่อไปคุณหนูกับอ๋องจิ้งอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ก็คงไม่ร้องไห้น้อยใจแล้วล่ะเพคะ”
“เช่นนี้ก็ดี” ฮองเฮาตงฟางดึงปิ่นปักผมออกมาคนเดียว และพูดเสียงเบาว่า: “บอกไปว่าข้าดูแลฝ่าบาท รู้สึกไม่สบาย สลบอยู่ในตำหนัก ช่วงนี้อย่าให้ใครเข้ามาหา นอกจากท่านหมอเทพ”
“เพคะ” สาวรับใช้พยักหน้าและเดินออกไป
ตำหนักที่ใหญ่โต ฮองเฮาตงฟางกลับมองดูตัวเองในกระจก และแสยะยิ้มออกมา
น้ำตาไหลอาบแก้มลงมา นางมองเห็นในกระจกมีอีกคนเดินเข้ามาช้าๆ จึงได้หลับตาลง
“ความซื่อสัตย์ของสามีภริยา เพียงพอที่จะรักษาสายเลือดของตระกูลตงฟางได้แล้ว”
นางพูดพึมพำ คนด้านหลังก็หยุดเดินลง ยกมือขึ้นมา……
……
“เพียะ——”
รายงานสองเล่มถูกโยนลงพื้นอย่างแรง ตกใจจนขุนนางสองคนที่รายงานเรื่องนี้ต้องก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไรอีก
“อ๋องจิ้งำทุกอย่างที่เสี่ยงอันตรายเพื่อชางหลาน ตอนนี้ยังต้องถูกทุกคนกล่าวประณามอีก พวกเจ้าคิดจะจัดการคนที่มีความดีล้นเกินจนมีภัยต่อจักรพรรดิงั้นเหรอ!”
ซ่านต้วนโฉงตบโต๊ะลุกขึ้น ไฟปะทุขึ้นในดวงตาที่ไม่มีวันสงบลงง่ายๆ
พวกขุนนางเห็นว่าไม่ได้การแล้ว ก็รีบคุกเข่าลงขออภัย
เรื่องของหมอเทพทุกคนต่างรู้กันแล้ว พวกขุนนางคิดว่าหมอเทพน่าจะเป็นคนของอ๋องจิ้ง ตอนนี้เข้าวังมาเป็นคนของฮ่องเต้ สองพี่น้องจะใช้หญิงคนเดียวกันได้ยังไง บวกกับเมื่อคืนฮ่องเต้ด่าซ่านจินจื๋อต่อหน้าว่าไม่มีมารยาท และรีบออกจากงานเลี้ยงไปทันที
พอดีเมิ่งซู่ไม่อยู่ พวกเขาถึงกล้ามาพบ บอกเรื่องทหารที่เฝ้าด้านนอกอย่างละเอียด
พอเห็นแล้ว ซ่านจินจื๋อที่นั่งเหม่อข้างๆก็ได้สติ เดินขึ้นไปพูดว่า: “เสด็จพี่ ถ้าเรื่องนี้ไม่ต้องพูดแล้ว งั้นน้องขอตัวลาก่อน”
“ออ?” ซ่านต้วนโฉงยังไม่หายโกรธดี แต่กลับเอ็นดูน้องชายที่ไร้มารยาทคนนี้มากพอควร
“เรื่องงานแต่งยังมีมากมายไม่ได้รับการยืนยัน นอกจากนี้ ทหารของข้าไม่เพียงแต่เพื่อรัชทายาทเอ่อตาน ยังทำเพื่อระวังป้องกันไว้ ขอใต้เท้าทั้งหลายอย่าได้คิดการไม่ดี จะได้ไม่ตายภายใต้คมดาบ”
มองอย่างเย็นชา ซ่านจินจื๋อไม่รอซ่านต้วนโฉงพูด ก็สะบัดแขนเสื้อออกไปทันที
ถ้าปกติ ก็คงจะถูกลงโทษที่ไม่เคารพแล้ว
แต่ตอนนี้ มองดูรายงานสองเล่มบนพื้นนั้น กลับไม่มีคนกล้าพูดอีก และต่างคนต่างคิดกันไปต่างๆนาๆ
ซ่านต้วนโฉงไม่ได้ต่อว่าอะไร แต่รู้ว่าชางหลานมีหลายที่ที่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกเจ้าผู้ครองนครรัฐหรือพวกหัวหน้าที่ครอบครองพื้นที่นั้นๆ ยังไงก็มีความเกี่ยวข้องกับขุนนางพวกนี้อยู่บ้าง มีทหารคอยเฝ้าไว้ สองฝ่ายไม่ได้เจอกัน และไม่ได้แลกข่าวสารใดๆ
ถ้าเจอคนที่ทำอะไรไม่คิด ตอนนี้เกรงว่าจะปิดเรื่องไม่อยู่
ถ้าเจอคนที่ระวังตัว ไม่ได้ข่าวก็ไม่มีทางเคลื่อนไหวแน่
แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกัน——ก็คือเอาเรื่องนี้ให้ซ่านจินจื๋อรับผิดชอบ
ในเมื่อซ่านจินจื๋ออยากจะรับผิดชอบเอง ซ่านต้วนโฉงแค่เสียหน้าเท่านั้น คงไม่ว่าอะไร แต่เขาหรี่ตาลง ให้คนอื่นพูดเรื่องอื่นต่อไป
ซ่านจินจื๋อออกไปอย่างเร็วและไปตำหนักฉีหรัวทันที ได้ยินว่ากู้อ้าวเวยยังไม่มา ก็จึงไม่รบกวนอีก: “ช่วงนี้นางเอาแต่อยู่ในตำหนักฮองเฮา?”
“ส่วนมากก็เป็นเช่นนี้ แต่ไม่ค่อยเห็นนางที่ตำหนักฮองเฮาเลย เกรงว่าเมื่อคืนคงไปที่อื่นแล้ว” ฉีหรัวเทชาให้กับเขา และพูดต่อว่า: “แต่ว่านางไม่ยอมบอกเรื่องอื่น คงจะมีสัญญาอะไรกับฮ่องเต้สักอย่าง”
ซ่านจินจื๋อนึกถึงยู่จุนกับหยูนซี ก็รู้สึกวางใจแล้วบ้าง
ถ้ากู้อ้าวเวยจัดการเรื่องนี้ในวังตอนค่ำคืน งั้นเสด็จพี่ไม่แตะต้องนางแน่นอน
แต่เหมือนกัน ตอนนี้นางอยู่ในวัง เฉิงกุ้ยเหรินนั่นไม่รู้ว่าถูกใครเป่าหูมา ขึ้นมาก็ใช้มีดเลย และหลังวังนี้อำนาจเบื้องหลังเหมือนพวกราชการที่ยุ่งยากวุ่นวาย ตอนนี้เขากวาดเรื่องทุกอย่างมารับผิดคนเดียว ต่อไปไม่รู้ว่าจะมีพวกสนมที่อยากรู้อะไรจากเขาหรือไม่ รู้สึกลนลานใจไม่เบา
ฉีหรัวเห็นเขาขมวดคิ้วตลอด จึงพูดว่า: “ผู้หญิงหลังวังไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าข้าได้ยินเสียงลม คงจะใช้ตำแหน่งนี้ปกป้องนางได้ไม่กี่วัน กลับกันคือเจ้า ทำไมต้องจำกัดเวลาไว้ที่หนึ่งเดือนด้วย”
“หนึ่งเพื่องานแต่งเจ้ากับหยวนเอ๋อ สองเพื่อฉูห้าวจะอยู่ที่นี่ สามให้เวลากู้อ้าวเวยได้ช่วยคน”
……
“ยกนางออกมา ค่อยไปรายงานฝ่าบาท”
กู้อ้าวเวยออกมาจากโลงน้ำแข็งไม่ไกล สั่งให้สาวรับใช้ยกคนในนั้นออกมา
ภายในโลงน้ำแข็งเย็นมาโดยตลอด และซ่านต้วนโฉงเพื่อเตรียมรับมือไว้ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนๆก็จะมีน้ำแข็งเก็บสะสมไว้ตลอด ทุกวันมาไว้ในร่างโลงหิน พอคนยกตัวนางขึ้นมา ตัวนางแข็งไปหมด เสื้อผ้าบนตัวก็ไม่แตะต้องเลย
“ย้ายโลงน้ำแข็งนี่ออกไป นำตัวนางวางไว้บนน้ำแข็งก้อน”
กู้อ้าวเวยรีบพูด
ขันทีรีบย้ายโลงน้ำแข็งออกไปข้างๆ สาวรับใช้ก็วางนางลง
นับดูน้ำค้างแข็งที่หออยู่บนตัวยู่จุน กู้อ้าวเวยหาเบาะเอามือวางลงไปที่มีร่อง ตัวโน้มเข้าไปวัดชีพจรให้นาง และเอายาในปากนางออกมา พูดว่า: “ไปเอาน้ำมา”
“ท่านหมอเทพ ถ้าฝ่าบาทรู้……”
“ถ้าไม่เอาน้ำมา นางก็จะตาย” กู้อ้าวเวยพูดอย่างเรียบเฉย ได้ยินข้างหูมีเสียงวิ่งไปมาอย่างเร่งรีบ ไม่นานก็มีน้ำมาวางไว้ตรงข้างมือนาง กู้อ้าวเวยใช้น้ำเช็ดตัวของนาง และสั่งทุกคนออกไป นำยาทาไปบนปากของนาง แสยะยิ้มออกมา เช็ดนิ้วที่แข็งของนาง
“แม้เจ้าจะตื่นมา ฝ่าบาทก็ทำผิดไปมาก”
“ชีวิตพวกนั้น เจ้าจะทำยังไง?”
นางคิดไม่ได้ว่าบาปนี้ควรจะชดใช้ยังไง