บทที่ 1032 ผู้มีอำนาจอิทธิพลลงมือ
หากที่ว่ากันว่าผู้หญิงที่มีความสามารถของเมืองเทียนเหยียนจะเป็นคนเช่นนี้ กู้อ้าวเวยรู้สึกเพียงว่าไม่มีอะไรดีเลย
นางถือร่มแล้วเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องมองดูนางผ่านสายฝนรำไร แล้วพูดว่า “ข้าเคยเกี่ยวข้องกับพิษรากถุงน้ำดีหงส์ แต่ข้าก็ยังไม่โง่ถึงขั้นเป็นศัตรูกับตระกูลตงฟางซื่อของพวกเจ้า ในเมื่อซ่านจินจื๋อยืนอยู่ข้างเจ้า ข้าก็จะไม่มีทางทำร้ายพวกเจ้า แต่หากเจ้าใส่ร้ายข้า ข้าจะทำให้ตระกูลของเจ้าต้องชดใช้”
ยกมือเอาร่มยื่นให้กับคนด้านข้าง แล้วกู้อ้าวเวยก็หันเดินไปหาร่มอีกคัน
“ข้าไม่อยากอธิบาย เจ้าน่าจะลองหาดูว่ามีใครในวังน่าสงสัยหรือเปล่า นั่นน่าจะเป็นคนที่เจ้าควรจะสงสัย”
แล้วก็ค่อยๆหันเดินไปยังตำหนักฉีหรัวพร้อมกับขันทีน้อย
กู้อ้าวเวยขี้เกียจฟังคำด่าสาปแช่งที่ดังอยู่ด้านหลังพวกนั้น ยิ่งไม่สนใจคำพูดที่ตงฟางซวนเอ๋อพูดจะรู้ไปถึงหูทุกคนในวัง ณ เวลานี้กลัวว่าจะมีคนไม่น้อยที่จะพุ่งเป้ามาที่นาง
อย่างน้อยศัตรูคนหนึ่งที่พวกนางสามารถป้องกันได้ ยังไงก็ดีกว่าศัตรูที่ยังไม่รู้จัก
คนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพล มักที่จะหลอกตัวเองหลอกคนอื่นอยู่เช่นนี้
ส่วนตงฟางซวนเอ๋อที่ถูกจับตัวอยู่ด้านหลังในที่สุดก็ถูกปล่อยตัว ก้มลงเก็บร่มที่ตกบนพื้นอย่างทุลักทุเล น้ำฝนไหลลงกระทบดวงตาที่ไม่ยอมกระพริบคู่นั้นของนาง และก็ไม่สามารถบดบังเงาร่างกู้อ้าวเวยที่เดินจากไปแล้วสักนิด
“เจ้าเป็นแค่นักฆ่าคนหนึ่ง”
นางทิ้งคำพูดที่รุนแรงไว้อย่างเย็นชา แล้วก็โยนโคมไฟที่เป็นสิ่งเดียวที่สามารถส่องสว่างถนนทิ้งไป หันตัวดินเข้าไปในความมืด
ภายใต้เงาต้นไม้ เหมือนจะมีอีกเงาร่างหนึ่งอยู่ในความมืด
น้ำเสียงของคนนั้นแหบแห้งเหมือนอย่างเคยถูกไฟเผาลำคอ น้ำเสียงสูงๆต่ำๆ ทำให้หวั่นกลัว
“ถึงเวลาที่จะต้องไปจวนอ๋องจงผิงสักครั้งแล้ว ได้สิ่งที่นางต้องการมา นางถึงจะยอมพูดความจริง” คนคนนั้นพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ แล้วก็ยืนกุญแจดอกหนึ่งให้เขา ปากยังพูดพร้อมอมยิ้มว่า “รากถุงน้ำดีหงส์ ไม่มีอยู่บนโลกนี้แต่แรกแล้ว มีเพียงในเลือดนาง แต่นางยังคิดว่าทุกคนต่างก็โง่”
ตงฟางซวนเอ๋อจับกุญแจในมือไว้แน่น
“นางไม่อยากให้ข้าแย่งผู้ชายคนที่รักที่สุดไป ข้าน่าจะฟังคำพูดของเสด็จป้าตั้งแต่แรก หากเมื่อวานหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วข้าเริ่มต้นก่อนได้สักนิดคงจะดี” นางหัวเราะออกมาอย่างน่าสังเวช ก้มลงหัวเราะไม่หยุดเหมือนกำลังหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง
เสียดายที่เสด็จป้าสร้างโอกาสที่ดีให้นางเยอะแยะขนาดนั้น แต่นางกลับกลัวซ่านจินจื๋อจะโกรธ วันนี้กลับทำให้เสด็จป้าต้องประสบเคราะห์ร้าย
หากไม่ใช่เพราะภายในวังร่ำลือกันว่านางกับซ่านจินจื๋อมีอะไรกัน กู้อ้าวเวยจะลงมือได้อย่างไร?
“กู้อ้าวเวย…. เจ้าเป็นคนที่มีความเป็นไปได้ที่คิดฆ่าเสด็จป้าที่สุด”
เสด็จป้าเคยวางเหล้าพิษ ผลักข้าไปสู่อ้อมกอดอ๋องจิ้ง ข้าไม่มีทางเดาผิด
เงาชุดดำคนนั้นเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของตงฟางซวนเอ๋อ อมยิ้มแล้วก็จากไปเงียบๆ หายลับไปในความมืด
……
ค่ำคืนที่มีฝนตก ความเย็นแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย
ตอนที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง กู้อ้าวเวยมุดอยู่ใต้ผ้าห่ม พอจมูกถูกห่มปิดไว้อย่างมิดชิด ทรมานยิ่งนัก
หากให้โอกาสนางเป็นครั้งที่สอง นางจะไม่มีทางพูดกับตงฟางซวนเอ๋อแม้สักคำ
สาวใช้ติดตามของฉีหรัวเคาะประตูแล้วก็ไม่มีเสียงด้านในตอบรับ จึงรีบไปตามฉีหรัวมาอย่างรีบร้อน
เมื่อผลักประตูเปิดออก ก็เห็นกู้อ้าวเวยกำลังนั่งอยู่ภายใต้ผ้าห่มแล้วก็สูดลมหายใจ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย หางตาแดงก่ำ เหมือนถูกใครรังแกอะไรอย่างนั้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ข้ารู้สึกเหมือนว่าข้าเหนื่อยเกินไป”
“ในที่สุดก็ตื่นแล้วหรือ” ฉีหรัวสั่งสาวใช้ให้ยกเอาอาหารเช้ามาทานที่นี่ เอามือแตะดูหน้าผากที่ร้อนผ่าวของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “เขาเพิ่งไปเจ้าก็ติดไข้หวัด กลัวว่าเขาจะมาลอกหนังข้าแน่”
“ไม่ขนาดนั้น ข้านอนอีกสักพัก เจ้าไปจัดยามาตามที่ข้าบอกก็พอ”
กู้อ้าวเวยรู้สึกเหมือนเวียนหัว ยังไงก็ดีกว่าครั้งก่อนที่ปวดทรมานไปทั้งตัว
“อืม เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งให้อ๋องจิ้งรู้” ฉีหรัวพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง กลัวกู้อ้าวเวยจะปฏิเสธ
กลับได้ยินนางหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “กลัวเพียงว่าเขาอยากเขาวัง แต่ฮ่องเต้ไม่อนุญาต เจ้าช่วยบอกเขาเพิ่มว่า อย่าให้หยินซี่งกับเซียวเซียวเล่นซนจนเป็นไข้หวัด แล้วใช้เงินของข้าซื้อเสื้อกันหนาวของแคว้นชางหลานให้กับชิงจือกับอี้จื๋อ ข้าในฐานะที่เป็นแม่จะลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้”
พูดเสร็จ นางเงยหน้าขึ้นแล้วก็สบกับสายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้งของฉีหรัว กอดบีบผ้าห่มในอ้อมแขนไว้อย่างระมัดระวัง
“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” ฉีหรัวให้คำตอบอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด แล้วก็ยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของนางพร้อมพูดว่า “ต่อไปเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่”
“ข้าแค่เป็นไข้หวัด” กู้อ้าวเวยเอียงหัว แล้วก็ถูกเขาลูบนวดอยู่อย่างสบาย
“หากเป็นเมื่อก่อน เจ้าจะไม่มีทางให้ข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกอ๋องจิ้ง เพราะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ”
“ใช่หรือ?”
กู้อ้าวเวยสงสัย ในหัวสมองหวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอย่างสับสน
ที่ผ่านมานางไม่เคยชอบที่จะเป็นภาระให้กับคนอื่นจริง และก็ไม่ชอบที่จะต้องไปรบกวนคนอื่น
ฉีหรัวไปจัดเตรียมกับข้าวด้วยตัวเอง กู้อ้าวเวยนอนคว่ำอยู่บนเตียง พลิกไปพลิกมาคิดถึงเรื่องต่างๆมากมาย ยังไงก็ยังรู้สึกว่าตนเองในตอนนี้กับเมื่อก่อนไม่มีอะไรแตกต่างกัน ท้ายยังคงเป็นฉีหรัว ที่ลากนางออกมาจากใต้ผ้าห่มเพื่อมาทานข้าวอย่างใจเย็น นางถึงได้ไม่เอาคำพูดของฉีหรัวมาคิดให้ไม่สบายใจ
หงเซียวยื่นหัวเข้ามา กระซิบพูดขึ้นว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เรื่องอะไร?” ฉีหรัวแปลกใจก่อน แล้วดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย “หยินเชี่ยวส่งจดหมายมาแล้วหรือ? ปลอดภัยทั้งสองแม่ลูกไหม?”
“แค่กๆ…อะ…อะไร คลอดในหลายวันนี้หรือ” กู้อ้าวเวยไออยู่สองที วางตะเกียบถ้วยลงแล้วก็ลุกขึ้นมา
ทั้งสองคนต่างก็เบิกตาโตหันไปมองหงเซียว
หงเซียวก็อึ้ง แล้วก็คิดถึงภรรยาของฉีหลินที่ใกล้คลอดอยู่ที่แคว้นเอ่อตาน ตอนนี้กลับส่ายหัวโบกมือพร้อมพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องนี้ เป็นกู้เฉิงที่หายตัวไปจากคุกจวนอ๋องจงผิงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนเช้ามาทหารเฝ้าคุกก็หายสาบสูญไปแล้ว ท่านอ๋องจิ้งกับท่านอ๋องจงผิงได้ส่งคนไปสืบหาความเรื่องนี้แล้ว”
ดูดีๆ ทำไมกู้เฉิงถึงได้หายตัวไปอย่างลึกลับ
ทั้งสองคนมองตากัน ต่างก็มองเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่แฝงไปด้วยความสงสัย
ถึงแม้กู้เฉิงจะเผชิญกับการเป็นนักฆ่าคนสุดท้ายของขุนนางทูตเย่นเจียง แต่ตอนนี้เย่นเจียงก็ไม่ได้เป็นประเทศอีกต่อไป ถึงตอนนั้นหากจัดการอย่างเหมาะสม ต่อให้ไม่ส่งตัวกู้เฉิงออกไปก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้
แล้วแบบนี้ กู้เฉิงยังจะมีประโยชน์อะไรอีก?
ไม่เพียงแค่พวกนางสองคนที่สงสัยในเรื่องนี้
จวนอ๋องจงผิงในตอนนี้ กำลังจัดเตรียมงานแต่งงาน แต่ในคุกกลับทุลักทุเล
ซ่านเชียนหยวนยืนอยู่ด้านข้าง พูดขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาว่า “นักฆ่าคนนี้ถึงขั้นมีความสามารถพาคนออกไปจากคุกได้อย่างไร้ร่องรอย งั้นในวันแต่งงานของข้า พวกเขาก็จะต้องมีวิธีเข้ามาได้อย่างง่ายดาย”
“เรื่องนี้จะมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องใหญ่ จะมองว่าเป็นเรื่องเล็กก็เป็นแค่เรื่องเล็ก เดิมในตอนนั้นควรที่จะยกกู้เฉิงให้หยุนหว่านพาตัวไปจัดการ แต่เป็นเพราะเสด็จพี่เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ไม่ได้คืนตัวกู้เฉิงไป ตอนนี้ใครกันที่อยู่เบื้องหลัง ต้องการตัวกู้เฉิว จนต้องลักพาตัวไป?”
หากไม่มีกู้เฉิง
งั้นที่เวยเอ๋อเคยพูดว่าจะให้หยุนหว่านขอสิ่งที่หวังจากกู้เฉิงด้วยตนเอง ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
ตอนนี้ผู้ชายทั้งสองกลับคิดถึงคนของตนเองนั้นพร้อมกัน ด้วยท่าทีคิ้วขมวด
ฉีหรัวกับกู้อ้าวเวยที่อยู่ในวังต่างก็จามกันอยู่ กู้อ้าวเวยถูกฉีหรัวเอาหมอนฟาดหัว
“รักษาตัวให้ดี อย่าเอาไข้มาติดข้า”
“อือ” ข้าไม่ได้เป็นไร