บทที่ 1035 ไม่สามารถทำได้ดั่งใจ
หากต้องการที่จะเตือนฮ่องเต้ ลูกธนูนี้ควรที่จะตกอยู่ในตำหนักของฮองเฮา
ทำไมถึงได้มาปรากฏอยู่ในห้องของนาง และด้านนอกก็เงียบสงบ ตอนที่คนคนนั้นมารับมือกับหงเซียว น่าจะไม่ได้ทำให้คนอื่นที่อยู่ในตำหนักตื่นตระหนก น่าแปลกที่กุ่ยเม่ยไม่ได้ลงมือ กลับเป็นหงเซียวลงมือก่อน
ตามหลักแล้ว ฝีมือการสู้รบของกุ่ยเม่ยอยู่เหนือกว่าหงเซียว
หงเซียวเห็น ไม่มีเหตุผลที่กุ่ยเม่ยจะไม่เห็น
มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือฝีมือการต่อสู้ของคนคนนั้นอยู่เหนือกว่าทั้งสองคน จึงตั้งใจให้หงเซียวเห็นคนเดียว แล้วให้ตนเองมาเห็นจดหมายฉบับนี้
เมื่อหงเซียวคิดดูดีๆแล้วก็กำหมัดแน่น “หากเป้าหมายคือท่านอ๋อง แล้วทำไมต้องลงมือกับฮองเฮา?”
“หากข้ารู้ วันนี้ก็ไม่ต้องกระวนกระวายขนาดนี้” กู้อ้าวเวยสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ยกมือโยนกระดาษแผ่นนั้นลงไปในอ่างน้ำ น้ำหมึกละลายหายหมด แล้วให้หงเซียวเอาลูกธนูไปให้กุ่ยเม่ยดู ถามดูว่าพวกเขาสามารถดูอะไรออกไหม
และในที่ลับด้านนอกตำหนัก มีเงามืดเงาหนึ่งกำลังอมยิ้ม หลบซ่อนไว้ในความมืด
กุ่ยเม่ยหยิบลูกธนูขึ้นมาดูอย่างละเอียด “หัวลูกธนูนี้ไม่เรียบร้อย และบนลูกธนูเปื้อนไปด้วยเลือด เจ้าทำร้ายเขาหรือ?”
“เปล่า” หงเซียวส่ายหัว
คนมีวรยุทธทั้งสองคนต่างก็กำลังสับสนสงสัย กู้อ้าวเวยมองดูท่าทีทั้งสองคนที่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับลูกธนูดอกนั้นอย่างสนใจ และก็เห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องคิดมากขนาดนั้น จึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นลูกธนูส่งสาส์น คนคนนั้นส่งมาอย่างรีบร้อนคงไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้แน่ ข้าแค่สงสัยว่าเลือดบนลูกธนูนี้มาจากไหน”
สถานที่ในวังที่สามารถเห็นเลือดมีไม่มาก จะพูดไปแล้วก็มีขันทีนางกำนัลไม่น้อยที่ถูกลงโทษจนเลือดไหล แต่เมื่อคิดดูดีๆ ด้านนอกในวังพบเห็นเลือดได้น้อยมาก เพราะยังไงก็ถือว่าไม่เป็นมงคล
เลือดนี้เปื้อนอยู่บนลูกธนู ปกติลูกธนูควรที่จะอยู่ในซองเก็บลูกธนูด้านหลัง ยากที่จะปนเปื้อน
มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว….
“ถึงไม่รู้ว่าทำไม แต่เลือดนี้เหมือนเขาถูกลูกธนูทำให้บาดเจ็บ แล้วตั้งใจเก็บเอาไว้มากกว่า” กุ่ยเม่ยพูดขึ้นแล้วก็มองดูนิ้วมือของหงเซียว ยกมือหยิบลูกธนูนั้นให้กลับกู้อ้าวเวย
มองดูสีเลือดที่เปื้อนบนลูกธนู กู้อ้าวเวยกับกุ่ยเม่ยมองสบตากัน “เจ้าคิดว่า คนคนนั้นตั้งใจที่จะเก็บเลือดนี้ไว้?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ?” กุ่ยเม่ยขมวดคิ้ว
กู้อ้าวเวยเอาขึ้นมาดมดู เป็นเลือดที่มีกลิ่นหอมหวานจริง จึงเอาของยาโรยไปบนนั้น สีดูเปลี่ยนไป กู้อ้าวเวยเงียบ “พิษรากถุงน้ำดีหงส์ เป็นคนร้ายที่ลอบทำร้ายฮองเฮาในวันนั้น”
“ไม่รู้ว่าสิ่งของที่ฮองเฮาใช้ทำร้ายคนร้ายในวันนั้นหาเจอหรือยัง?”
วันนั้นพวกเขาต่างก็สงสัยว่าฮองเฮาต่อสู้จนคนร้ายได้รับบาดเจ็บ แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่พบว่าภายในตำหนักฮองเฮามีสิ่งของอะไรหายไป เพราะบนพื้นเต็มไปด้วยเลือดที่เปื้อนพิษรากถุงน้ำดีหงส์ คนที่เข้ามาจัดการพวกนั้นต่างก็ต้องระวังแล้วระวังอีก คิดว่าคงต้องอีกสักพักถึงจะมีคนเข้าไปรื้อค้นอีก
กู้อ้าวเวยเหม่อลอย ในขณะที่กำลังครุ่นคิด พวกองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักกลับเดินเข้ามา ฉีหรัวถวายบังคมพร้อมขอแสดงความยินดีที่ไดได้ขอเข้าวัง บอกว่า…ขอแสดงความยินดีที่ได้บุตร”
พวกองครักษ์เพิ่งพูดเสร็จ ไม่รู้เลยว่ายินดีที่ได้บุตรนี้เป็นคำอวยพรหรือเป็นอย่างอื่น
กุ่ยเม่ยกับหงเซียวกลับเห็นเพียงผู้หญิงสองคนย่อคำนับแล้วก็ลุกขึ้นมา ฉีหรัวก็รีบให้พวกเขารีบเอาคนเข้าไป แล้วดวงตาทั้งคู่ก็แดงกล่ำขึ้นมาทันที ถือผ้าแล้วเดินไปมาอยู่ภายในห้อง กู้อ้าวเวยกลับดูมีความสุข ยื่นมือขึ้นมาพูดพึมพำเป็นภาษาเด็ก เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายน่าจะตั้งชื่อว่าอย่างไรดี
หงเซียวยังไม่ทันรู้เรื่อง กุ่ยเม่ยก็ไอแล้วพูดขึ้นว่า “หยินเชี่ยวคลอดลูกแล้ว จึงส่งจดหมายมา คิดว่าคงปลอดภัยทั้งสองแม่ลูก”
แคว้นเอ่อตานห่างไกลจากแคว้นชางหลานพันกว่าลี้ ข่าวที่ส่งมาก็น่าจะเป็นเรื่องครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ กุ่ยเม่ยก็ค่อยวางใจตาม
แต่ผู้หญิงที่ยังไร้เดียงสาในตอนนั้น ตอนนี้ได้กลายเป็นแม่คนแล้ว เมื่อมองดูกู้อ้าวเวย ตอนที่คลอดอี้จื๋อตอนนั้น ก็เพื่อหลังจากตายไปแล้วจะได้ไม่เสียใจ จะได้ไม่เป็นการทรยศความผูกพันที่มีต่อซ่านจินจื๋อ กับความรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งชิงจือ
ฉีหลินวิ่งเข้ามาตะโกนร้องเสียงดัง ผู้ชายตัวโตชูจดหมายขึ้นแล้วก็ร้องห่มร้องไห้
“ฝาแฝด หยินเชี่ยวคลอดลูกเป็นฝาแฝด ปลอดภัยทั้ง สามคน…ฮือฮือ…ถ้าไม่ได้ไปอยู่ดูแลหยินเชี่ยวเลย” ฉีหลินร้องไห้อย่างหนัก ทำให้กู้อ้าวเวยกับฉีหรัว ทั้งสาม คนพากันร้องห่มร้องไห้
กุ่ยเม่ยมองดูกู้อ้าวเวยมองดูจดหมายยับยู่ยี่แล้วร้องไห้อย่างหนัก จึงคุกเข่าลงพูดปลอบว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรดีใจหรือ?”
“ก็เพราะข้าดีใจ” กู้อ้าวเวยซบกอดกุ่ยเม่ยแล้วก็ร้องไห้พูดขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เมื่อก่อนหยินเชี่ยวเป็นสาวใช้ของข้า ต่อมาก็ไปดูแลฉีหลินผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องคนนั้น แต่ตอนนี้…ข้ารู้ว่านางมีความสุขมาก ฉีหลินรักนางมาก ตอนนี้ปลอดภัยทั้งสามคน ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”
กุ่ยเม่ยตบหัวนางเบาๆอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร มองสบตากับฉูห้าวที่เพิ่งเดินเข้ามาด้านหน้าประตูเมื่อกี้แล้วก็หัวเราะ
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือ อย่าร้องไห้แล้ว” กุ่ยเม่ยพูดขึ้นเสียงเบา
“แต่ว่าข้าก็ยังมีความสุขมาก อย่างน้อยก็ยังมีคนได้พบกับความสุขที่บริสุทธิ์” กู้อ้าวเวยยังซบกอดคอกุ่ยเม่ย ร้องไห้จนคอเสื้อเขาเปียกไปหมด
กุ่ยเม่ยกลับหันไปมองฉีหรัวที่กำลังปลอบฉีหลินอยู่ทางด้านนั้น ภายในใจดีใจอย่างท่วมท้น
คนที่อยู่ในที่นี้ทุกคน ต่างก็เคยผ่านอะไรที่ไม่เป็นดั่งใจมาทั้งนั้น
ฉูห้าวสูญเสียนิสัยเอาแต่ใจเหมือนดั่งตอนอายุน้อย ฉีหรัวสูญเสียความที่ไม่มีใครเข้าใจมากกว่ายี่สิบปี เขาเคยเห็นชิงต้ายถูกใส่ร้ายแล้วก็จากโลกนี้ไปกับตาตัวเอง แม้แต่หงเซียวก็แบกรับการจากไปของคนทั้งตระกูล
พวกเขาต่างก็หลุดเข้ามาในวงจรนี้จนยากที่จะถอนตัว แต่ตอนนี้ ยังมีคนๆหนึ่งที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เหมือนกับกำลังแสดงให้เห็นถึงความที่ก่อนหน้านี้พวกนางพยายามที่จะปกป้องนั้นมีประโยชน์
คืนนั้น พี่น้องตระกูลฉู ทั้งสี่คนนั่งอยู่บนหลังคาแล้วดื่มสุรากันอย่างเมามาย เพื่อเด็กทั้งสองคนที่เพิ่งคลอดออกมา อยากที่จะใช้คำพูดที่ดีที่สุดในชีวิตนี้พูดออกมาหนึ่งรอบ
สุราดีลงสู่ท้อง ต้านทานลมหนาวภายใต้แสงจันทร์ได้
หงเซียวกับกุ่ยเม่ยเฝ้าดูอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่พบร่องรอยของคนชุดดำนั้น เที่ยงคืนแล้วถึงค่อยดึงเดาทั้งสี่คนที่เมามายลงมา กู้อ้าวเวยกลับกอดฉูห้าวไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ยังหัวเราะพูดกับกุ่ยเม่ยว่า “เขาเป็นน้องชายข้า”
“ข้ายังเป็นพี่ชายของเจ้าด้วย” กุ่ยเม่ยถูกนางพูดจนขำ ดื่มจนเมามายอยู่กับทั้งสองคนนี้จนใกล้รุ่งถึงค่อยนอนหลับไป
หงเซียวกำลังเอาสองพี่น้องตระกูลฉียัดเข้าไปในผ้าห่ม เมื่อกลับมาก็เห็นประตูเปิดกว้างอยู่
เงยหน้ามองดู นอกจากกู้อ้าวเวยที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว องค์ชายรัชทายาทที่ดื่มจนเมามายกำลังดึงแขนเสื้อของกุ่ยเม่ยแล้วเรียกพี่สาว กุ่ยเม่ยจึงจำต้องนั่งอยู่ด้านข้างให้สองพี่น้องนั่นเดือดร้อน โบกมือให้หงเซียวปิดประตูอย่างหงุดหงิด
หงเซียวลูบปลายจมูกแล้วกำลังจะจากไป ไม่รู้ว่ากุ่ยเม่ยคิดอะไรได้ขึ้นมา โยนฉูห้าวทิ้งไปแล้วดึงเขาเข้ามา มองดูเขาแล้วพูดว่า “เจ้าอายุต่างจากพวกเขาไม่มาก เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาเถอะ”
หงเซียวอึ้งไป ฉูห้าวกลับดึงแขนเสื้อของเขาแล้วเรียกว่าพี่สาว
กุ่ยเม่ยยังยิ้มพูดว่า “นี่เป็นน้องชายของข้า และเป็นน้องบุญธรรมของฉีหรัว หลายวันนี้ให้ฉีหลินพาพวกเจ้าสองคนออกไปเที่ยวเล่น
พูดเสร็จ แล้วก็ตบบ่าหงเซียวพร้อมพูดว่า “อย่าเอาแต่ตามท่านอ๋องไปสู้รบ ไปเที่ยวบ้าง
“ใต้เท้ากุ่ยเม่ย…” หงเซียวไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี