บทที่ 1049 ต้นฤดูหนาว
ในสมองมีเศษความทรงจำไม่เป็นรูปเป็นร่าง
กู้อ้าวเวยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง บนโต๊ะมีอาหารร้อนๆวางเต็มไปหมด ก่อนหน้านี้ยังต้องทำให้แตกตื่นถึงจะเรียกเมี่ยวหารมาได้ ตอนนี้บนโต๊ะกลับมาอาหารวางเต็มไปหมด และบนเท้านางยังมีโซ่เย็นเฉียบเพิ่มมาอีกสองเส้น ขยับเล็กน้อยก็รู้แล้วว่าขนาดเตียงตัวเองยังลงไม่ได้เลย
สงสารนางที่รู้แค่วรยุทธธรรมดา แต่กลับถูกมัดไว้เหมือนเป็นจอมยุทธยังไงยังงั้น
คิดถึงตรงนี้ นางตั้งใจถอนหายใจเสียงดัง หดตัวไปจับเส้นโซ่ที่ออกเสียง
เมี่ยวหารได้ยินเสียงก็เงยหน้ามอง พู่กันในมือก็หยุดลง พูดว่า: “เจ้ายังจำเรื่องที่โหวเซ่อได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” กู้อ้าวเวยถามกลับด้วยสีหน้าเย็นชา เรื่องของโหวเซ่อเหมือนจะเคยได้ยินมา รู้แค่ว่าเป็นการกระทำของพี่น้องตระกูลจู แต่กลับนึกเรื่องนั้นไม่ออกแล้ว
ขมวดคิ้วเป็นปม เมี่ยวหารมองดูใบหน้าเรียบเฉยของกู้อ้าวเวย เหมือนได้ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในตำหนักอ๋องจิ้ง
ปล่อยให้ซ่านจินจื๋อควบคุมกดดันมานาน และนางก็ยังคงมองพวกเขาด้วยสายตาที่เย็นชาพร้อมด้วยใบหน้าที่งดงาม
คนตรงหน้าเป็นกู้อ้าวเวยแน่นอน แต่นางจะลืมเมืองซ่านหลินสถานที่สำคัญแบบนั้นได้ยังไง ตอนนี้เมิ่งซู่ก็เกิดที่นั่น และเป็นคนช่วยชีวิตนางไว้อีกด้วย
แต่พอคิดว่ากู้อ้าวเวยชอบทำตัวเจ้าชู้มาตลอด เขาก็คิดได้เลยว่า กู้อ้าวเวยทำเป็นไม่รู้ ใช้ข้ออ้างนี้ในการแอบฟังด้วย
“ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ข้าที่ปกป้องเจ้า ตอนนี้เข้าคงจะตายไปแล้วล่ะ”
เมี่ยวหารจึงอดทนถามต่อ ครั้งนั้นกู้อ้าวเวยเกือบตาย ไม่น่าจะลืมเรื่องนี้นะ
แต่สายตาที่สงสัยของกู้อ้าวเวย เขากลับมองเห็นอย่างชัดเจน
มือใต้ผ้าห่มกำไว้แน่น ความกลัวเริ่มขยับเข้ามาใกล้
นางนึกเรื่องในตอนนั้นไม่ออกเลย และไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อก่อนเมี่ยวหารเคยช่วยชีวิตตัวเองไว้ด้วย
และซ่านจินจื๋อกับกุ่ยเม่ยไม่เคยพูดเรื่องในตอนนั้นเลย แต่เพราะเรื่องพวกนั้นไม่สำคัญ และไม่อยากให้นางจำความทรงจำที่เจ็บปวดนี้อีกครั้ง
จำได้ว่าตอนชิงต้ายจากโลกนี้ไปอย่างทรมาณ ส่วนมากก็รู้ได้ว่าเคยประสบความอยุติธรรมในตำหนักอ๋องจิ้ง
แต่มีเพียงเรื่องสำคัญน้อยนิด ที่เหลือก็มีเพียงความมืดมน
เห็นนางเงียบไม่ยอมพูด เมี่ยวหารก็พูดว่า: “เจ้าลืมไปแล้วเหรอ”
“แล้วมันยังไง?” กู้อ้าวเวยแสร้งทำตัวใจเย็นและนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม: “มีคนช่วยข้าให้จำได้อยู่มากมาย”
ที่แลกมามีแต่เสียงหัวเราะของเมี่ยวหาร
แต่ไม่นาน ขนาดเมี่ยวหารก็เก็บของบนโต๊ะและเดินออกไป
กู้อ้าวเวยน่าจะลืมอะไรไปแล้ว หรือว่า นางคงเป็นหมากตัวหนึ่งของซ่านจินจื๋อเท่านั้น
อีกห้องของเมี่ยวหารมีซูพ่านเอ๋อที่ดูไม่ร่าเริง เพื่อไม่ให้นางทำแผนการเสีย เมี่ยวหารจึงสั่งคนให้เอาผ้ามามัดนางไว้บนเตียง
ซูพ่านเอ๋อผมเผ้ายุ่งเหยิง มือและเท้าที่ผ่านการขัดขืนจนทำให้เป็นรอยช้ำม่วง
“ขอแค่เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ขยับไปไหน พวกเขาก็คงไม่มัดเจ้าไว้หรอก” เมี่ยวหารถอนหายใจหนัก สุดท้ายเขาก็แกะผ้าที่มัดนางไว้ออกเล็กน้อย เอาผ้าที่อุดปากนางไว้ออก ยกมือขึ้นจัดผมให้นาง
ซูพ่านเอ๋อพยายามไม่ให้น้ำตาไหล มองดูเขา: “เจ้าไม่เข้าใจนาง ทำไมเจ้าจะไม่รู้ว่านางกำลังหลอกเจ้าอยู่ นางกับซ่านจินจื๋อเหมือนกัน พวกเขาเก่งเรื่องเสแสร้ง แต่คนที่ผิดน่ะ คือซ่านจินจื๋อ”
“ทำไมเจ้าต้องปกป้องนาง?” เมี่ยวหารขมวดคิ้ว
“เพราะคนที่ผิดคือซ่านจินจื๋อ!” ซูพ่านเอ๋อสายตาเต็มไปด้วยความโกรธ ใช้แรงที่มีทั้งหมดตะโกนออกมา แก้มสองข้างอาบไปด้วยน้ำตา: “ถ้าไม่มีนาง ก่อนหน้านี้ข้าคงตายไปแล้ว ข้ารู้ นางไม่รักซ่านจินจื๋อ ก็แค่พยายามพัวพันอยู่ใกล้ๆ นางพาข้าออกจากเมืองเทียนเหยียน นางไม่คิดจะฆ่าข้าเลยด้วย!”
นางจำเรื่องในป่าทึบได้ตลอด มือที่กดทับนางไว้ตลอด
กู้อ้าวเวยพุ่งไปตรงหน้า ดึงนางขึ้นหลังม้า แม้คำพูดจะเหมือนประชดประชัน แต่สุดท้ายก็ปล่อยนางให้เป็นอิสระ และยังให้เงินกับเสื้อผ้าไว้ตั้งตัว
เมี่ยวหารขมวดคิ้วเป็นปม
กู้อ้าวเวยทำยังไงให้ซูพ่านเอ๋อเชื่อใจได้ขนาดนี้กัน?
ยกมือขึ้นกดไหล่ซูพ่านเอ๋อไว้ เมี่ยวหารพูดเสียงต่ำว่า: “แต่นางไม่ใช่กู้อ้าวเวยตัวจริง เรื่องที่นางไม่รู้มีมากมาย ข้าสงสัยว่าซ่านจินจื๋อเปลี่ยนตัวนางแล้ว”
“ข้าไม่ยอมรับผิดหรอกนะ คนนี้ก็คือกู้อ้าวเวย ทำไมพวกเจ้าไม่เชื่อข้ากัน!”
ซูพ่านเอ๋อพยายามขัดขืนเต็มที่ เมื่อก่อนนางเคยทรมาณกู้อ้าวเวย เคยเห็นสายตาที่สิ้นหวังของนาง และเคยเห็นนางที่หลบหลังซ่านจินจื๋ออย่างอ่อนแอ
แต่ที่น่าตลกก็คือ นางเชื่อว่าตัวเองรู้จักกู้อ้าวเวยมากกว่าซ่านจินจื๋อ
เพราะกู้อ้าวเวยไม่เคยแสดงความอ่อนแอต่อหน้าซ่านจินจื๋อเลย
เหมือนถ้าแสดงความอ่อนแอ ความรุนแรงเมื่อก่อนของซ่านจินจื๋อก็จะพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
พวกนางสองคนต่างเป็นหญิงที่เคยรักซ่านจินจื๋ออย่างจริงใจ และไม่เคยเชื่อใจซ่านจินจื๋อมาโดยตลอด
เมี่ยวหารกลับแค่ถอนหายใจและเดินออกไป ปิดประตูลงไม่ฟังเสียงร้องตะโกนของนางอีก
ตั้งแต่ที่ซูพ่านเอ๋อบอกว่าจะปกป้องกู้อ้าวเวย เมี่ยวหารก็สงสัยว่ากู้อ้าวเวยใช้วิธีไหนถึงทำให้ซูพ่านเอ๋อเชื่อใจได้ขนาดนี้ ตามที่ซูพ่านเอ๋อเคยบอกว่าผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจยังไงๆบ้าง อาจเลือกที่จะพนันข้างกู้อ้าวเวยสักครั้งก็ได้
แต่เมี่ยวหารพนันไม่ไหว
เขามองดูผู้หญิงหน้าประตูที่ลงมาจากรถม้า และดึงผ้าคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ใสขาว
ตงฟางซวนเอ๋อฟังเสียงเรียกของเขาจากด้านหลังด้วยสีหน้าบึ้งตึง และพูดว่า: “ผู้หญิงขอตัวเองยังควบคุมเองไม่ได้งั้นเหรอ?”
“ยังไงก็เป็นแค่ลูกน้อง คุณหนูตงฟางเก็บนิสัยอารมณ์ไว้หน่อยจะดีกว่า” เมี่ยวหารตัวแข็งทื่อยืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังของตงฟางซวนเอ๋อและยังมีพวกข้ารับใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลัง และพูดว่า: “ซูพ่านเอ๋อก็เป็นส่วนที่สำคัญมากเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องมาพูดอะไรหรอก?”
ตงฟางซวนเอ๋อก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ แต่แค่เดินขึ้นไปหนึ่งก้าว สั่งคนให้ส่งของที่ปกติต้องใช้มา: “ผู้หญิงคนนั้นที่เหมือนกู้อ้าวเวย เป็นตัวปลอมหรือตัวจริงกันแน่?”
เมี่ยวหารจึงต้องบอกเรื่องที่รู้มาทั้งหมด เช่นกู้อ้าวเวยคนนี้ไม่รู้เรื่องเมื่อก่อนเลย
“เป็นเช่นนี้ ข้ายังต้องกลับไปลองอีกครั้งเหรอ?” ตงฟางซวนเอ๋อเบิกตาโต และนึกถึงกู้อ้าวเวยที่อยู่ในวัง ท่าทีที่มั่นใจและเย็นชา ขนาดนางยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
“แต่เวลาเจ้ามีไม่มากแล้ว ไม่นานซ่านจินจื๋อก็จะนึกช่องโหวที่เจ้าทิ้งไว้ออก” เมี่ยวหารส่ายหน้าอย่างจริงจัง ส่งถุงผงให้นาง: “ทางที่ดี ก็คือจับตัวทั้งสองคนมา”
“เจ้าคิดว่าข้าปิดบังทุกอย่างได้จริงเหรอ?”
ตงฟางซวนเอ๋อรับคว้าถุงผงพวกนั้นอย่างเร็ว สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ
“เจ้าไปหาพวกเขาได้ พวกเขาปิดบังทุกอย่างได้จริง” เมี่ยวหารเดินย้อนกลับไป เหลือเพียงตงฟางซวนเอ๋อที่ยืนนิ่งที่เดิม และกระโดดขึ้นม้าอีกครั้งและจากไป
ลมพัดมาแรง ลมครั้งแรกของฤดูหนาวพัดมาทั่วเมืองเทียนเหยียน
เด็กน้อยวิ่งเล่น ผู้ใหญ่กลับดูกังวลใจผิดปกติ
ฤดูหนาวนี้ มาเช้าผิดปกติ