บทที่ 1053 พิธีแต่งงานยิ่งใหญ่ของอ๋องจงผิง
ในวันพิธีแต่งงาน สินสอดยาวสิบลี้
ตำหนักอ๋องจงผิงและจวนฉีครึกครื้นถึงขีดสุด พี่น้องทั้งจวนฉีต่างพากันกลับมาต้อนรับแขกเหรื่อ เมื่อเผชิญหน้ากับฉีหลินน้องชายซึ่งอายุยังน้อยและไร้ประโยชน์คนนี้กลับยังเคารพนบนอบ ในทางตรงข้ามตำหนักอ๋องจงผิงวันนี้กำลังจะต้อนรับนายหญิง ยิ่งรู้สึกยินดีปรีดา แทบอดใจรอไม่ไหวอยากจะห้อยแขวนข้าวสิ่งที่ดีที่สุดออกมาทั้งหมด
ฉีหรัวนั่งหลังตรงอยู่เบื้องหน้ากระจกทองแดง สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงสดให้แก่นาง
ฉีหลินน้องชายคนสุดท้องของตนกลับไม่สนใจหน้าตา ร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้านายท่านใหญ่ฉีหมิง บอกว่ากะหล่ำปลีหัวดีอย่างพี่สาวถูกเจ้าหมูล่อเอาไป ทำเอานายท่านใหญ่ค้ำไม้เท้าวิ่งไล่เขาตลอดทาง เสียงดังโหวกเหวกโวยวาย คึกคักทุกอณู
“เสี่ยวหลินยิ่งดูไม่เข้าท่าขึ้นเรื่อยๆ เป็นถึงพ่อคนแล้วแท้ๆ” ฉีหรัวกำชายเสื้ออย่างประหม่า มีเวลาเพียงแค่ปรับบรรยากาศสำหรับเรื่องตลกเล็กน้อย แม่บ้านที่อยู่ด้านข้างก็สะบัดผ้าเช็ดมือพลางหัวเราะคิกคัก “นั่นไม่ใช่เพราะนายน้อยยังไม่ทันเห็นลูกน้อยอย่างแท้จริง หากยามนี้ไปหอบทารกน้อยกลับมาจากเอ่อตาน คงต้องดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแน่”
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างต่างพลอยหัวเราะขึ้นมาด้วย
ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพราะนายน้อยแต่งสาวใช้คนหนึ่งขึ้นเป็นชายาเอก แถมยังไม่รับอนุอีก ภายหลังแต่งงานกันหลายปีก็ยังไม่ให้กำเนิดบุตร กลับยังประคบประหงมฮูหยินน้อยอยู่ในฝ่ามือ เทิดทูนสาวใช้น้อยคนหนึ่งเป็นคุณหนูผู้ชดช้อย สมัยนี้ภรรยายิ่งคุมเข้มมากขึ้น
ถ้าหากบอกใช้เขาเอ่ยปากหอบลูกมาจากผู้เป็นแม่ เกรงว่าฮูหยินน้อยจักต้องค้อนขวับร้องไห้ฟูมฟายหนึ่งยกกว่าจะยอมหยุดเป็นแน่
ฉีหรัวมองดูกลุ่มคนพูดคุยกันก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าท่าขึ้นเรื่อยๆ ได้แต่โบกมือให้พวกนางเงียบเสียง แล้วเอ่ยถามเสียงกระซิบอีกครั้ง “คนของตำหนักอ๋องจิ้งมากันหรือยัง มีข่าวคราวอะไรมาบ้างหรือไม่”
สาวใช้ข้างกายเอียงศีรษะ ก่อยส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่มีข่าวอันใดเจ้าค่ะ แต่สหายผู้นั้นของคุณหนูมาถึงแล้ว ยามนี้กำลังทักทายปราศรัยอยยู่โถงด้านหน้า ให้บ่าวไปเชิญมาเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
หยุดนิ่งครู่หนึ่ง ฉีหรัวยังคงพยักหน้า ให้นางไปเรียกคนเข้ามา
กู้อ้าวเวยคนนั้นที่พลิกตัวข้ามหน้าต่างเข้ามาพร้อมกับน้องชายในปีนั้นไม่อยู่ ยามนี้กลับเหลือเพียงคนที่แอบอ้างสวมรอยคนหนึ่งเท่านั้น ในใจนางยังรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย
ทำธุรกิจกันหลายปี เป็นสหายก็มิได้สนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อนึกถึงคำว่าแต่งงานยิ่งใหญ่ในวันนี้ ได้ผูกบุญสัมพันธ์กัน
แต่นางก็ยังเงียบหายไร้ร่องรอย แม้แต่เบาะแสสักนิดก็ยังหาไม่พบ ในใจยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น ยากจะสงบใจลงได้จริงๆ
เวลาเพียงไม่นาน สาวใช้พากู้ซวงกรุยกรายเข้ามา ซ้ำยังกล่าวพลางหัวเราะ “พวกบ่าวต้องออกไปแต่เนิ่นๆ ให้คุณหนูพูดคุยกันเป็นส่วนตัวกับสหายเสียหน่อยจึงจะดีนะเจ้าคะ”
แม่บ้านคนนั้นยังพูดว่าสหายมาส่งกันด้วยอาการแย้มยิ้มพิมพ์ใจ เผื่อจะประจบประแจงได้
แต่กู้ซวงทำเพียงนั่งลงด้านข้างอย่างพิพักพิพ่วนเมื่อได้ยินเสียงบานประตูปิดสนิท “ข้าไม่ใช่…”
“เจ้าช่วยนางเอาไว้ ข้าย่อมรู้สึกขอบคุณด้วยเช่นกัน” ฉีหรัวกับนางถูกคั่นด้วยผ้าคลุมหน้าสีแดง ทั้งสองต่างมองไม่เห็นอีกฝ่าย เสียงของฉีหรัวยังคงนุ่มนวล “เจ้าแค่ต้องเป็นตัวของเจ้าให้ดีก็พอ”
กู้ซวงมองไปที่หญิงสาวซึ่งถูกคลุมหน้าด้วยผ้าสีแดงอย่างสงสัย
เมื่อก่อนมีแต่คนบอกนางว่านางคือตัวแทนของกู้อ้าวเวย และจะถูกผู้อื่นหลอกใช้ได้ตลอดเวลา
ทว่าหลังจากมาถึงตำหนักอ๋องจิ้ง ทุกคนล้วนบอกให้นางเป็นตัวของนางเอง
นางลังเลอยู่นาน กว่าจะถามนางตอนที่บานประตูถูกแม่บ้านเคาะเสียงดัง “เจ้าไม่เป็นห่วงกู้อ้าวเวยหรือ”
“มีแต่คนโง่จึงจะทำลายคนที่มีประโยชน์ ดังนั้นนางจึงปลอดภัยมาก” เสียงของฉีหรัวแข็งกระด้างขึ้นมาก ได้ยินบานประตูถูกเปิดออก กลุ่มสาวใช้และแม่บ้านต่างก็เรียงแถวเข้ามา เสียงประทัดดังขึ้นข้างประตูกึกก้อง
กู้ซวงกลืนประโยคนี้อย่างระมัดระวัง แล้วเดินตามกลุ่มคนออกไป
ก้มหน้าลงมองเงาหลังของฉีหรัวคล้ายกับทำใจไม่ได้ เดินขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กลับนึกขึ้นได้ว่าตัวเองหาใช่ตัวกู้อ้าวเวย ทำเพียงเก็บมือกลับไปอย่างรีๆ ขวางๆ หางตากลับชำเลืองเห็นเงาทะมึนเสี้ยวหนึ่งร่วงลงมา
ซ่านจินจื๋อย่างสามขุมมาจากนอกประตู ท่าทางแผ่วเบามิได้รบกวนแขกเหรื่อและเจ้าสาวที่อยู่นอกลาน
ยืนอยู่ข้างกายกู้ซวง เสื้อคลุมอ่อนนุ่มสั่นไหว ถึงกับมีเสียงแหวกอากาศน้อยๆ ดังลอยมา อาวุธลับสีขาวเงินสองอันฟุบลงบนพื้น คนที่ซ่อนตัวอยู่บนชายคาด้านข้างเหาะเหินขึ้น พยายามสะสางมือลอบสังหารในความมืดให้สิ้นซาก
กู้ซวงมองดูชายคาที่อยู่ไม่ไกลออกไปด้วยอาการตกใจขวัญหลุด กลับถูกไหล่กว้างของซ่านจินจื๋อบดบังทัศนียภาพทั้งหมด สายตาของเขาเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งกลับไล้ผ่านไหล่ของนางอย่างปลอบใจ โน้มตัวลงเอ่ยปากกล่าวเสียงเข้ม “ตามข้าเข้ามา”
กู้ซวงจึงผ่อนคลายร่างกายแล้วออกไปพร้อมกับเขา “พวกเขาลงมือจริงๆ ข้าไม่ควรถูกพวกเขาพาตัวไปหรืออย่างไร พวกท่านก็ดี…”
“หากทำสำเร็จง่ายไป พวกเขามีแต่จะรู้สึกสงสัย” ซ่านจินจื๋อเอ่ยปากพูดอย่างกระชับ ปรายตามองนาง “ประเดี๋ยวในบรรดาแขกเหรื่อ เจ้าก็แสร้งทำเป็นว่าสบายดี ขอแค่ยิ้มแย้มเข้าสู้ ที่เหลือมีข้าคอยจัดการ”
“บางทีกู้อ้าวเวยอาจรอให้ท่านไปช่วยชีวิตนางอยู่” กู้ซวงกลับร้อนรนขึ้นมา
ซ่านจินจื๋อไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ ยิ่งไม่เอาคำพูดของนางมาใส่ใจ ทำเพียงพานางเข้าไปในหมู่แขกเหรื่อด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มหลายส่วน สังสรรค์ระหว่างมื้ออาหาร
ดูเหมือนว่ามือลอบสังหารเมื่อครู่ยังไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน และการเตรียมพิธีงานแต่งยิ่งใหญ่ครั้งนี้เสร็จสรรพครบครัน มิได้มีช่องโหว่ใดๆ
……
ในบ้านไม้เย็นเยียบแห่งนั้น กู้อ้าวเวยถูกคนปลุกให้ตื่นอีกครั้ง
เมี่ยวหารยังไม่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหนาเตอะ บนกายยังมีกลิ่นอายยะเยือกของลมหนาวในช่วงหน้าหนาวเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา “วันนี้อ๋องจงผิงแต่งงานยิ่งใหญ่ สินสอดสิบลี้ เมืองเทียนเหยียนทั้งบนล่างต่างแซ่ซ้องอวยพรไม่หยุด คนรักคนนั้นของท่านกลับโอบกอดตัวปลอมไปเข้าร่วมพิธีแต่งงานของสหายท่าน น่าขันหรือไม่”
หมู่นี้รู้สึกหลับใหลไม่ยอมตื่นเพราะถูกป้อนยามาเป็นเวลานาน
กู้อ้าวเวยรู้สึกปวดแปลบกลางใจแม้ยังอยู่ในอาการละลึมสะลือ คิ้วเรียวขมวดมุ่น “วันนี้ก็คือพิธีแต่งงานครั้งใหญ่แล้วหรือ”
“น่าเสียดายท่านไม่มีวาสนาได้เห็น” บนหน้าเมี่ยวหารเจือรอยยิ้มหลายส่วน ที่แท้นั้นหยั่งเชิงอยู่ “ไม่ว่าเมืองเทียนเหยียนปีนั้นรุ่งเรือง หรือจะเป็นเทศกาลเมืองเทียนซิงในวันนั้น จนถึงตอนนี้สหายแต่งงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านล้วนพลาดไปหมด เหตุใดตอนนี้ยังต้องยืนหยัดอยู่อีกเล่า”
นางพลาดเรื่องราวมากมายขนาดนี้เชียวหรือ
บางทีอาจพลาดอาหารอร่อยเลิศรสในเมืองเทียนเหยียนนี้ ปาหี่ฉูดฉาดบนเวทีละคร เทศกาลมากมายนางมีก็แต่ความทรงจำวัยเด็กเท่านั้น แต่หลังจากฟื้นขึ้นมาในเยี่ยนเจียงวันนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นฉากงดงามเหล่านั้นอีกเลย
ดูเหมือนว่าจะพลาดไปแล้วจริงๆ
เม้มปากเป็นเส้นตรง กู้อ้าวเวยเปลี่ยนอิริยาบถนั่งพิงบนเตียงอย่างยากลำบาก สบสายตากับเมี่ยวหาร “ข้าไม่รู้”
สีหน้าเมี่ยวหารเปลี่ยนไป ปลายนิ้วเคาะลงบนผิวโต๊ะ “ขอเพียงท่านยอมเขียนสูตรยาอายุวัฒนะ พวกข้าจะปกป้องความปลอดภัยของท่านเอง”
“พูดต่อไปเถอะ” เสียงหัวเราะเบาๆ ล้นออกมาจากมุมปากกู้อ้าวเวย ความง่วงเหงาหาวนอนอันหนักหน่วงหอบม้วนถาโถม นางจึงปล่อยให้ตัวเองจมสู่ภวังค์ “ในมือของพวกเจ้า ข้าก็เป็นแค่คนพิการคนหนึ่งเท่านั้น”
เสียงลมหายใจค่อยๆ สม่ำเสมอ นางจมสู่ห้วงนิทราอย่างสบายใจ ไม่คิดเรื่องปวดหัวรบกวนใจ
เมี่ยวหารกำหมัดแน่น ดวงตาคู่นั้นแทบอดไม่ไหวอยากมองกู้อ้าวเวยจนทะลุเป็นรู
แต่ครุ่นคิดอยู่นาน เขาทำเพียงซัดหมัดลงบนโต๊ะอย่างจังหนึ่งที แล้วออกไปอย่างฉุนเฉียว
ภายในห้องเงียบสงบทั้งผืนอีกครั้ง เสมือนว่าไร้ผู้คนอยู่ที่แห่งนี้