บทที่ 1059 ชอบความเผด็จการของท่าน
พิษที่เหลืออยู่ยังไม่ปรากฏชัด แต่ร่างกายกลับไม่สามารถต้านยาที่เกินความจำเป็นใดๆ ไว้ได้
กู้อ้าวเวยเอนตัวลงนอนบนเตียงเงียบๆ ถึงขั้นไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใดไปชั่วขณะ วันนี้เป็นวันอะไร ยามนี้ยามใดแล้ว มีเพียงความทรงจำว้าวุ่นยุ่งเหยิงกองพะเนินอยู่ในสมองลึกๆ นางกลับคร้านจะจัดระเบียบ
ทุกอย่างรอบด้านล้วนเงียบจนน่ากลัว มีเพียงสายลมยะเยือกในหน้าหนาวที่ลอดผ่านช่องเข้ามาในห้องส่งเสียงหวีดหวิว
หดตัวกลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม กลับถูกมือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อด้านหลังออกมา
“ฝังตัวเข้าไปอีกแล้วจะหายใจออกอย่างไรกัน” เสียงของซ่านจินจื๋อเจือความจนปัญญาหลายส่วน ลูบไล้พวงแก้มของนางด้วยดวงตาเปี่ยมความกังวล “ลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยแล้วค่อยนอนต่อ”
ไหล่กว้างของชายหนุ่มบดบังพื้นที่ว่างทั้งห้อง
กู้อ้าวเวยกลับหัวเราะ “ท่านเห็นข้าเป็นแจกันดอกไม้อีกแล้ว ไหนเลยจะเปราะบางขนาดนั้น ท่านพูดจาอ่อนหวานกับข้าเพียงนี้ ข้ายังคิดว่าคนอื่นปลอมตัวมาเสียอีก”
ใครจะคิดว่าน้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุด มือซ่านจินจื๋อก็ชะงักค้างหลายส่วน ถามว่า “เมื่อก่อนข้าพูดจาไม่อ่อนโยนหรือ”
“อาจเป็นเพราะพวกเรามักทะเลาะกันบ่อยๆ กระมัง นับประสาอะไรที่ข้ากับท่านตั้งท่าเป็นปฏิปักษ์กัน มักบีบบังคับกันอยู่เรื่อย เมื่อครั้นน้ำเสียงอ่อนโยน ไหนเลยจะเป็นที่ยอมรับของอีกฝ่ายกัน”
กู้อ้าวเวยในยามนี้สมองปลอดโปร่ง ดูเหมือนจะยังจำเรื่องราวไร้สาระก่อนหลับไปไม่ได้
จนกระทั่งยามที่ตนตะกายขึ้นมา ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยื่นมือมาให้ อุ้มนางขึ้นโดยตรง และวางลงบนเตียงอย่างแช่มช้า ยัดหมอนใบหนึ่งไว้ด้านหลังนาง
“วันหน้าข้าจะยอมเจ้าทั้งนั้น ดีหรือไม่” เสียงของซ่านจินจื๋อยิ่งนุ่มนวลขึ้นไปอีก
กลับชวนให้กู้อ้าวเวยขนลุกขนชันโดยไร้สาเหตุ ดูเหมือนไม่เข้าใจอ๋องจิ้งคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ได้แต่กำผ้าห่มมองดูเขาไปยกสำรับอาหารมาวางข้างเตียงด้วยตัวเอง ตักซุปกระดูกหมูป้อนเข้าปากนาง
“ข้ากินเองได้”
“เจ้าไม่มีแรง ให้ข้าทำดีกว่า” ซ่านจินจื๋อส่งช้อนเข้าไปด้านในอย่างเอาอกเอาใจ
สีหน้ากู้อ้าวเวยอักอ่วน แต่ก็ยังดื่มซุปกระดูกหมูลงไปอยู่ดี จนกระทั่งเห็นก้นชาม นางก็เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาแล้ว “พิธีแต่งงานของฉีหรัว สถานการณ์เป็นอย่างไร…”
“พวกนางทุกคนสบายดี” ยามนี้ซ่านจินจื๋อจึงตัดบทนางอย่างบีบบังคับน้อยๆ หมายจะป้อนนางทานอาหารด้วยสายตาอึมครึม “เรื่องเมื่อวาน เจ้าจำไม่ได้หมดเลยหรือ”
กู้อ้าวเวยแข็งทื่ออยู่กับที่ในบัดดล ความทรงจำเลือนรางเหล่านั้นดูคล้ายจะมึนเมาเกินไป จดจำบางอย่างได้เลาๆ
ขณะที่นางนึกขึ้นได้ว่าตนเองพูดอะไรออกไปบ้างอย่างเหม่อลอย บัดนั้นสีหน้าก็ซีดขาว คว้าหมับเข้าที่ข้อมือซ่านจินจื๋ออย่างร้อนรน กับข้าวร่วงลงจากชาม กลิ้งขลุกๆ ไหลราดลงบนพื้นและข้างเตียง
กู้อ้าวเวยอ้าปากพะงาบๆ กลับไม่รู้ว่าตนสามารถพูดอะไรกับซ่านจินจื๋อได้
บางทีหากไม่ใช่เพราะพิษที่เหลืออยู่ในร่างกายยังไม่ปรากฏชัด นางจักต้องไม่อาจบอกซ่านจินจื๋อและพ่อแม่แม้แต่คำเดียวอย่างแน่นอน
โม่ซานพูดถูก แต่ไรมานางไม่เคยถามซ่านจินจื๋อมาก่อนเลยว่าต้องการหรือไม่
“เจ้าตบหน้าหนึ่งทีนั้นถูกต้องแล้ว หากเมื่อก่อนข้าไม่ได้ทำเรื่องพวกนั้นทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บ ทำให้เจ้าปวดใจ ยามนี้เจ้าก็คงไม่ต้องประคับประคองเอาไว้เพียงลำพัง ไม่เคยบอกสิ่งที่เจ้าคิดอยู่ในใจให้ข้าฟังเลยสักนิด”
ซ่านจินจื๋อชิงเอ่ยปากก่อนหนึ่งก้าว วางช้อนลงแล้วกุมมืออันสั่นระริกของนาง
ราวกับหากเขารู้ตั้งแต่แรกถึงความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งที่ตนมาต่อนาง จะปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี
แม้ว่าเขาจะเห็นแก่ความรับผิดชอบไม่อาจทอดทิ้งซูพ่านเอ๋อ แต่ก็จะไม่ผูกปมสงสัยไปเสียหมดจนทำให้นางถูกคนคุมขังรังแก
ราวกับหากรู้แต่แรกว่าเขาสามารถยืนหยัดอยู่เคียงข้างนางได้ บางทียามนี้นางคงไม่ต้องปฏิบัติต่อตนอย่างระแวดระวังตัว
ราวกับหากเขาสามารถตัดสินใจได้เองเร็วกว่านี้หน่อย มิใช่เอาแต่ฟังคำพูดผู้อื่น จนบ่มเคราะห์กรรมข่มขืนในปัจจุบัน
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นวัฏจักรเวรกรรม
หลังจากทั้งสองมีใจให้กัน ก็ได้ลืมเลือนอีกฝ่ายที่หยิ่งผยองโอหังในตำหนักอ๋องจิ้งในคราแรกไปตั้งนานแล้ว
กู้อ้าวเวยอยู่ในจุดลำบาก รอบตัวล้วนมีแต่ศัตรู ทั้งสามารถโพล่งคำเสียดสีต่อหน้าเขา อาศัยความสามารถเฉพาะตัวมองเหยียดผู้อื่น กล้าจะสะกิดต่อมโมโหเขาในปีนั้น แต่ก็กล้าจะเจรจาหลักการเงื่อนไขกับเขาด้วยเช่นกัน
ภายในนั้นก็มีความขมขื่นหมื่นมายาเช่นกัน การตายของหยุนชิงหยางในปีนั้น นางไม่มีคนให้บอกเล่า ชิงต้ายตายอนาถ นางขับไล่กุ่ยเม่ยไปตั้งแต่ต้น ตื่นขึ้นมาในโลงศพเพียงลำพังไม่มีข่าวคราวใดอีก เคยชินกับการไร้คนให้พูดคุยด้วยแล้ว ยามนี้จะกล้าบอกซ่านจินจื๋อได้อย่างไรกัน
“ข้าแค่คิดว่านี่คือเรื่องของข้าเอง” กู้อ้าวเวยที่ผ่านการปลอบประโลมเอนพิงบนเตียง รอยยิ้มขมขื่น “ข้ามาถึงโลกใบนี้อย่างสันโดษ ย่อมหวังว่าจะตายจากไปอย่างสันโดษด้วยเช่นกัน”
“แน่นอนข้ามักจะคิดแผนการที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ และดิ้นรนนานปีในระหว่างความเป็นความตาย”
“แต่ท่านก็เห็นแล้วว่าข้าพานพบเรื่องทุกอย่างมาหมดแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้แก้แค้นซูพ่านเอ๋ออย่างสาสม กู้เฉิงก็ไม่ได้มอบถึงมือแม่ข้าให้สั่งสอนอย่างสิ้นเชิง แม้แต่สัญญาของข้ากับชิงต้ายก็ผันผายไปหลายปี บางทีข้าอาจต้องจบชีวิตหลังจากเรื่องนี้สิ้นสุดลง นึกเสียดายอยู่มากนัก”
นางพร่ำบ่นพึมพำเป็นนานสองนาน
ขณะที่ซ่านจินจื๋อกำลังเป็นห่วงว่านางถูกฤทธิ์ยาควบคุมอยู่หรือไม่นั้น ดวงตาสีอำพันอันแวววาวใสกระจ่างคู่นั้นกลับมองเข้ามาเบาๆ “แต่ท่านเสียอะไรมากมายเพื่อเรื่องเก่าในปีนั้นเพื่อข้า พ่อแม่ข้าก็อยู่รอดปลอดภัย ข้าไม่อยากให้พวกท่านทนทุกข์เพราะข้า”
พูดไปพูดมา นางก็ไม่ใช่กู้อ้าวเวยที่ไร้บ่วงกังวลที่เอาแต่หนีออกจากตำหนักอ๋องจิ้งคนนั้นแล้ว
แต่เป็นคนรักลึกลับของอ๋องจิ้งซ่านจินจื๋อ และยังเป็นองค์หญิงที่ตายไปของเอ่อตาน แถมเป็นหมอเทพแห่งชางหลาน นางมีญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งยังมีสิ่งผูกพันอีกด้วย
แต่ยามนี้ สิ่งผูกพันอย่างเดียวของนางก็คือสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
สูดหายใจเข้าลึกๆ กู้อ้าวเวยรวบรวมความกล้าตัดสินใจจะพูดทุกอย่างให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
“อีกอย่าง บางทีข้าอาจยังมีโอกาสรอดชีวิต แต่พอท่านรู้เรื่องนี้เข้า บางทีปีนั้นที่ข้าตายในอ้อมแขนท่านคงต้องมาถึงแบบยากทำใจยอมรับ ท่านอาจเฝ้าป้ายหลุมศพของข้าจนปางตาย แต่ท่านไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไรกันแน่”
ดวงตาของกู้อ้าวเวยพราวระยับขึ้นมาทันควัน เรียวแขนอ่อนแขนซูบผอมนั้นกลับยกขึ้นมาอย่างแน่วแน่ไม่ไหวติง
ปลายนิ้วเย็นเฉียบโปรยตกลงบนหน้าซ่านจินจื๋อ คล้ายจะค้นหาคำตอบ
แต่คำตอบนั้นเวียนวนอยู่รอบริมฝีปาก กลับพาให้ซ่านจินจื๋อส่งเสียงหัวเราะอย่างเลี่ยงไม่ได้ แนบประสานมือเย็นเยียบของนางด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ข้าไม่รู้”
“ท่านรู้”
กู้อ้าวเวยหัวเราะขมขื่นขึ้นมาเช่นกัน เหมือนรู้ทันอาการหลบเลี่ยงของซ่านจินจื๋อ “ท่านคือคนที่เต็มใจทอดทิ้งความรักในบ้านริมน้ำโล่เสียคนนั้น อ๋องจิ้งที่เต็มใจเล่นละครกับข้า และเป็นอ๋องจิ้งที่อุทิศแรงกายแรงใจช่วยชีวิตผู้คนในช่วงภัยพิบัติน้ำท่วมคนนั้น”
“คนที่ข้าชอบคืออ๋องจิ้งซ่านจินจื๋อ ไม่ใช่เพียงแค่ท่านเพียงลำพัง”
นางมองดวงตาคู่นั่นที่แพรวพราวใจกระจ่างของซ่านจินจื๋อด้วยสายตามาดมั่น สุดท้ายกลับกลายเป็นรอยยิ้มบางๆ วูบหนึ่ง “ข้าอยากให้ท่านเป็นตัวท่านเอง ไม่ใช่ซ่านจินจื๋อที่ทำความผิดเพื่อซูพ่านเอ๋อคนนั้น และไม่ใช่สามีที่เปลี่ยนไปตั้งมากมายเพียงเพื่อข้า”
ไม่เคยมีใครเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเขามาก่อน
ในเมืองเทียนเหยียน ทุกผู้คนล้วนลุ่มหลงสูญเสียตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง หลอกลวงตัวเองเพื่อเรื่องราวทุกอย่าง
ส่วนเขาหลังจากทำเรื่องโง่เขลามากมายเพื่อซูพ่านเอ๋อ ก็จดจำสาเหตุที่ตนร้องขอไม่ได้ตั้งนานแล้ว
“ข้า…”
“ยังจำตอนที่เราทอดมองโลหิตไหลเป็นสายน้ำบนภูเขาได้หรือไม่” กู้อ้าวเวยตัดบทเขา “ตอนนั้นพวกเราไร้สุขไร้เศร้า ก็ลิขิตให้พวกเขาหาใช่คนธรรมดาทั่วไป ตอนนี้เหตุใดท่านถึงเอาแต่เออออห่อหมกเพื่อข้าด้วย”
“ข้าชอบความเผด็จการของข้าเรื่อยมา”
โน้มกายไปเบื้องหน้า จุมพิตแมลงปอล้อสายชลที่มุมปากของชายหนุ่ม
ไม่นานนัก บรรยากาศเหล่านั้นล้วนถูกชายหนุ่มฉกฉวยเอาไปอย่างเผด็จการ