บทที่ 1067 มีความเป็นไปได้สองอย่าง
สีหน้ากู้อ้าวเวยเป็นปกติ กลับเพียงยกมือโบกเบาๆเพื่อให้นางกำนัลสองคนที่อยู่ด้านหลังออกไป
นางหันมามองดูท่าทีของซ่านจินจื๋อ แล้วก็พูดขึ้นว่า “มหันตภัยไฟจากฟ้าเกิดจากโหวเซ่อ งั้นแสดงว่าบรรพบุรุษตั้งแต่เริ่มแรกของตระกูลหยุนตระกูลยู่ คงต้องกระทำกันอย่างพากเพียร เพื่อให้ผู้คนทั้งห้าเมืองเสียชีวิต”
“เจ้าเชื่อ?” ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว
“เชื่ออยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยกลับพยักหัว มองดูทรงผมที่หลวมๆบนศีรษะ สุดท้ายแล้วก็ยกมือแกะออก หยิบปิ่นขึ้นมาปักไว้อย่างง่ายๆ และพูดขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนี้ ทำไมยู่จุนกับหยูนซีถึงทำเพื่อกู้ชาติ แต่เรื่องเก่าที่ผ่านมาในตอนนั้นมีอายุร้อยพันปี ต่อให้สามารถควบคุมซ่านต้วนโฉง พวกนางก็ไม่สามารถที่จะได้แผ่นดินนี้มาอย่างแท้จริงถึงจะถูก”
ตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ มีคนอยู่ไม่น้อยที่คิดที่จะกู้ชาติ
แต่การกู้ชาตินี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ตระกูลยู่กับตระกูลหยุนเหลือคนอยู่เพียงเล็กน้อย ยิ่งไม่มีผู้กล้าหาญหรือนักรบแม้แต่น้อย แทบจะไม่มีอำนาจอะไรภายในราชสำนัก หากยู่จุนกับหยูนซีอยากยืมมือซ่านต้วนโฉงเพื่อกู้ชาติ ช่างน่าขำยิ่งนัก
“เป็นไปไม่ได้จริง แต่แผ่นดินนี้ค่อยๆผ่านมาหลายร้อยปี การเปลี่ยนแปลงตระกูลนั้นกลับเป็นไปได้” ซ่านจินจื๋อเดินมาด้านข้างนาง มองดูกู้อ้าวเวยในกระจก แล้วก็พูดต่อว่า “หากไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนตระกูล บางทีพวกนางอาจจะให้คนในเมืองเทียนเหยียนมาชดใช้ชีวิต”
“มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่บางทีพวกนางก็อาจจะมีแผนการไว้สองอย่าง” กู้อ้าวเวยค่อยๆจับแขนซ่านจินจื๋อแล้วลุกขึ้น ข้อมือกับข้อเท้ายังคงปวดเมื่อย ฝ่ามือส่งแรงไปยังแขนเล็กน้อยเพื่อให้นางลุกขึ้นได้ง่ายขึ้น
“เรื่องนี้คุยกันพอประมาณแล้ว”
“หรือว่าเจ้าเจอความคืบหน้าอะไรแล้ว แต่ไม่ยอมบอกข้า” กู้อ้าวเวยเงยดวงตากลมโตหันไปมอง เห็นซ่านจินจื๋อมีท่าทีอมยิ้ม ในใจคิดเขาจะต้องหาอะไรเจอแล้วแน่
ในเมื่อซ่านจินจื๋อเจอความคืบหน้าอะไรบ้างแล้ว งั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
เพียงแค่ยื่นมือเข้าไปในหมัดของเขา ลูบนิ้วมือของเขาให้คลายลง แล้วก็เอานิ้วมือของตนเองเข้าไปในช่องว่างนั้น เกาหลังมือของเขาแล้วพูดว่า “ข้าจะไปเจอตงฟางซวนเอ๋อ”
“เจ้ายังสงสัยอย่างอื่นอะไรอีก?”
“ไม่ได้สงสัย และไม่ได้คิดที่จะไปพูดกล่อม เพียงแต่ก่อนที่จะจากไปจะเด็ดดอกท้อที่เน่าเสียนี้” กู้อ้าวเวยจับมือของเขาไว้แน่น เขย่งเท้า เอียงกายเงยหัวมองดูซ่านจินจื๋อ พร้อมพูดว่า “เทียบกับข้าแล้ว ตอนนี้นางไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
ยังไงซ่านจินจื๋อก็รู้อยู่แก่ใจ
แตะตรงปลายจมูกของนาง ซ่านจินจื๋อปล่อยมือของนาง โอบเอวของนางไว้หลอมๆแล้วก็พาเดินออกไปด้านนอก หงเซียวที่อยู่ด้านหน้าประตูได้สติกลับมา รีบทำความเคารพพร้อมพูดว่า “ค่ำมืดแล้ว คุณหนูใหญ่ยังไม่ได้ทานอาหารเลย”
“เดี๋ยวค่อยจัดเตรียม” ซ่านจินจื๋อยกมือสวมเสื้อคลุมกันลมสีดำให้กับกู้อ้าวเวย แล้วก็โอบกอดนางไว้แนบอกตน
หงเซียวยังไม่ทันรู้ตัว ก็เห็นซ่านจินจื๋อได้อุ้มผู้หญิงภายใต้เสื้อคลุมกันลมสีดำนั้นขึ้นมา แล้วก็เหยียบก้าวเดินจากไปทางฝั่งที่ตะวันเพิ่งตก
กู้อ้าวเวยกอดไหล่ของซ่านจินจื๋อไว้แน่น สิ่งที่น่าแปลกก็คือทุกอย่างเงียบไปหมด ขณะนี้ไม่มีแม้เสียงลมใดๆ นางจึงกระซิบถามเขาว่า “ข้ายังมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกเจ้าหรือเปล่า?”
“ยังมีอีกตั้งมากมายที่ไม่เคยพูดกับข้า” ซ่านจินจื๋อโอบกอดคนในอ้อมอกไว้ค่อนข้างแน่นขึ้น
เงียบอยู่เนิ่นนาน กู้อ้าวเวยเริ่มสงสัยตัวเอง ว่าเคยชินกับการเก็บเรื่องพวกนั้นไว้ในใจหรือเปล่า สุดท้ายแล้วจึงเพียงไอไม่กี่ครั้งแล้วพูดว่า “รอวันนี้ข้าถามแล้วค่อยพูด”
ซ่านจินจื๋อเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วก็โดดลองเหยียบพื้นภายในเรือนเล็กนั้นอย่างมั่นคง
เท้าทั้งคู่ของกู้อ้าวเวยเพิ่งเหยียบบนพื้น ซ่านจินจื๋อก็ลดปีกหมวกของนางให้ต่ำลง นางเองก็ดึงปีกหมวกลงอย่างระมัดระวังแล้วก็รีบเดินตามเขาไป
ส่วนเรือนที่อยู่ของตงฟางซวนเอ๋อ กลับยังมีการเปลี่ยนแปลงกลับตาลปัตร
เหมือนซ่านจินจื๋อได้จัดเตรียมไว้เพื่อเป็นจุดจบของตงฟางซวนเอ๋อแต่แรกแล้ว
เพียงแต่คุกใต้ดินนี้ ดูแล้วก็เหมือนไม่ได้เคยเปิดใช้มาเนิ่นนานมากแล้ว
กลิ่นอับชื้นโชยเข้าจมูก บันไดของคุกใต้ดินที่ไม่มีแสงสว่าง ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและสิ่งเหนียวๆที่มองไม่เห็น ซ่านจินจื๋อจับแขนของนางไว้อย่างมั่นคง ดึงนางไว้เมื่อนางกำลังจะลื่นล้ม หัวใจของกู้อ้าวเวยเต้นแรงจนเดินผ่านพ้นบันไดยาวนี้
ระเบียงทางเดินเพียงเส้นทางเดียว เพียงพอให้คนทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน แต่ไม่มีแสงสว่างใดๆเลย มีเพียงความเงียบสงบและมืดมน
ซ่านจินจื๋อถือตะเกียงไฟมาจูงนางไว้ กู้อ้าวเวยกลับหันมามองเขา พร้อมพูดว่า “เจ้าไปกับข้าจะทำให้ถูกเปิดเผยได้”
“ไม่หรอก” ซ่านจินจื๋อดึงนางมาในอ้อมอก ถือตะเกียงแล้วก็เดินไปพร้อมกับนาง
เดินผ่านระเบียงยาวที่มืดมิด ด้านข้างหูเหมือนได้ยินเสียงพวกแมลงคืบคลานกำลังเคลื่อนไหว กู้อ้าวเวยขนลุกอย่างไม่รู้ตัว ซ่านจินจื๋อกลับเพียงโอบไหล่นางไว้อย่างปลอบโยน ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเบื้องหลัง
ภายในคุกใต้ดินนี้ เป็นเพียงคุกเดียวที่มีทางเดินซ้ายขวาสองทางเดิน
กู้อ้าวเวยมองไปตามทางเดินด้านซ้ายมือ ยามสองคนกำลังยืนอยู่หน้ารั้วเหล็กสีดำ ภายใต้ในแสงสลัว ยังคงเห็นก้อนเลือดสีแดงและสีขาวหิมะคืบคลานอยู่ในนั้น
นางถือตะเกียงไฟแล้วค่อยๆเดินไป
เหยียบอยู่บนพื้นกระเบื้องที่เหนียว เสียงหอบในหูที่แทบจะไม่ได้ยินก็ค่อยๆดังขึ้น นางเดินไปที่หน้ารั้วเหล็กสีดำอย่างใจเย็น ชูป้ายจวนอ๋องจิ้งที่อยู่ในมือขึ้น แต่ไม่ให้มองเห็นใบหน้าของตนอย่างชัดเจน พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “หลีกไป”
ยามทั้งสองคนโค้งคำนับ แล้วก็เดินจากไป
แล้วก็ภายในคุกใต้ดินนี้ ก็เหลือเพียงพวกนางสองคน
ฤดูหนาวกำลังจะมา ภายในคุกใต้ดินหนาวเหน็บ
แต่ตงฟางซวนเอ๋อมีเพียงเสื้อผ้าเท่านั้นที่ยังเปื้อนไปด้วยเลือดไม่จางหายไป กู้อ้าวเวยไม่ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็รู้ดีว่าลูกน้องของซ่านจินจื๋อต่างก็ไม่ใช่คนดี ได้ยินเสียงหายใจของตงฟางซวนเอ๋ยิ่งอยู่ก็ยิ่งแรง สุดท้ายก็สามารถทำได้เพียงพลิกตัวอยู่บนหญ้าแห้งนั้น
ดวงตาคู่ที่เต็มไปด้วยรอยเลือดนั้นมองดูเงาร่างของกู้อ้าวเวย
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?” ตงฟางซวนเอ๋อยกมือชี้นางอย่างยากลำบาก แล้วก็ตะโกนขึ้น
กู้อ้าวเวยกลับไม่รู้ว่าคนที่นางชี้คือใครกันแน่ โน้มตัวลงวางตะเกียงไฟนั้นไว้บนพื้น นางรวบชายกระโปรงแล้วก้มลง ยกมือขึ้นแล้วปัดเหนือตัวล็อคนั่น มองดูนางอย่างเรียบเฉยพร้อมพูดว่า “ถูกขังไว้ที่นี่มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
แววตาตงฟางซวนเอ๋อฉายแววลังเลสงสัย หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เจ้าคือ…”
“ข้าก็คือกู้อ้าวเวย”
กู้อ้าวเวยพูดขัดจังหวะนาง แล้วยกมุมปากขึ้นอย่างจงใจ
“เป็นไปได้ยังไง กู้อ้าวเวยจะสนใจข้าทำไม” ตงฟางซวนเอ๋อตะโกนพูดขึ้นเสียงดังต่ออีกว่า “เจ้าเป็นคนของตระกูลตงฟางเหมือนข้า ทำไมถึงไม่เข้าใจความตั้งใจของตระกูลตงฟาง?”
กู้อ้าวเวยเพียงแค่ขมวดคิ้ว แล้วก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ทำไมข้าต้องเข้าใจ? ข้าไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรจากตระกูลตงฟางเลย พวกเจ้าถึงขั้นให้ข้าป้อนยาพิษให้กับหมิ่นเอ๋อด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเห็นพวกนางเป็นน้องสาวแท้ๆ”
เสียงของกู้อ้าวเวยดังก้องอยู่ในคุกใต้ดิน
แต่ตงฟางซวนเอ๋อนั้นกลับกำหมัดไว้แน่น พูดกับกู้อ้าวเวยด้วยเสียงต่ำว่า “แต่พวกนางทั้งคู่เป็นลูกสาวของหยูนซี ต่อไปยังไงก็ไม่มีทางได้อยู่พร้อมหน้าแม่ลูก”
กู้อ้าวเวยกับซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ทำไมถึงบอกว่าแม่ลูกไม่สามารถได้พบหน้ากัน ทั้งๆที่ทั้งสามคนยังมีชีวิตอยู่