บทที่ 1060 เข้าใจโดยปริยาย
กุ่ยเม่ยที่อยู่นอกประตูเรือนว้าวุ่นไม่วางใจ
โม่ซานก็ระส่ำระสายไม่สงบเช่นกัน อย่างไรเสียนางก็ไม่เคยเห็นอ๋องจิ้งพูดจาด้วยเหตุผลกับหญิงสาวมาก่อน
นับประสาอะไร ตอนนี้ร่างกายหญิงสาวนางนี้ยังมีพิษตกค้างไม่ปรากฏชัดอยู่ บางทีสมองอาจยังไม่ค่อยชัดเจน หากพูดแล้วดันพูดอะไรผิดขึ้นมาจนกระตุกต่อมโทสะอ๋องจิ้งเข้า อ๋องจิ้งอาจไม่เอาคืน แต่สุดท้ายทั้งสองก็ต้องจากกันไม่ดี
แต่รอจนจวนจะสองชั่วยาม กุ่ยเม่ยชักเริ่มจะยืนไม่สุขอยากเข้าไปดูเชิงเสียหน่อยแล้ว
“เจ้าอย่าใจร้อนสิ อ๋องจิ้งยังจะทำอะไรนางได้กระนั้นหรือ” โม่ซานรีบขวางเขาเอาไว้ทันควัน
“หากเขาไม่คิดทำอะไรจริงๆ เหตุใดถึงไม่ยอมให้ฉีหรัวกับรัชทายาทเข้ามาเยี่ยมกันเล่า” กุ่ยเม่ยเดินผ่านข้างกายโม่ซาน เดินอ้อมฝีก้าวของนางเข้าไปด้านใน
โม่ซานก็ตอบคำถามไม่ได้ไปชั่วขณะ ยิ่งไม่เคยรู้ความคิดในใจอ๋องจิ้งมาก่อนเลย
ขณะที่ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่หน้าประตู บานประตูก็ถูกผลักออกช้าๆ
ซ่านจินจื๋อที่ไอโหดเหี้ยมรอบกายมองพวกเขาปราดหนึ่ง กล่าวเสียงเข้ม “นางหลับไปแล้ว ตอนดึกค่อยให้คนอื่นมาดูนาง”
“อ๋องจิ้ง ตอนนี้ท่านจะไปไหน” โม่ซานยกมือขึ้นปิดปากกุ่ยเม่ยอย่างจนปัญญา แล้วบังเขาอยู่ข้างหลังตนอย่างแน่นหนาตอนที่เขากำลังจะกระโจนขึ้นไปข้างหน้า
“จำเป็นต้องซ่อนนางไว้ให้ดี นอกจากข้า ห้ามคนอื่นมาหานางอีก”
ทิ้งท้ายประโยคนี้อย่างรีบเร่ง ซ่านจินจื๋อจากไปราวกับสายฟ้าลมโบก
กุ่ยเม่ยไม่เข้าใจว่าระหว่างพวกเขาสองคนปรึกษาหารือเรื่องอะไรกันแน่ ได้แต่ปั้นหน้าขรึมเข้าไปในห้อง เห็นกู้อ้าวเวยเอนตัวพิงเตียงด้วยสีหน้าซึมเซา ดวงตาปิดสนิท กลับปลายตาแดงก่ำเพราะการร้องห่มร้องไห้เมื่อวาน ไม่มีจุดแปลกประหลาดอันใดอีก
สูดหายใจลึกหนึ่งครา กุ่ยเม่ยยังก้าวไปข้างหน้าเฝ้าอยู่ขอบเตียง เอ่ยปากพูดกับโม่ซานเสียงเข้ม “ข้าจะอยู่เฝ้านางที่นี่เอง หากนางเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ข้าคงไม่มีหน้าไปอธิบายต่อองค์รัชทายาทแล้ว”
“เจ้าอยู่เป็นเพื่อนนางเถิด อย่างไรเสียก็คงไม่มีเรื่องอะไรหรอก” โม่ซานก้าวไปข้างหน้า
ในเมื่อทั้งสองคนนี้ไม่ได้เอะอะเสียงดังขึ้นมา แล้วการสื่อสารกันก่อนหน้านี้ของกุ่ยเม่ยและซ่านจินจื๋อยังจะมีผลอะไรอยู่อีกเล่า
“วันนั้น เจ้าพูดอะไรกับอ๋องจิ้ง” โม่ซ่านสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก
“ข้าเพียงแต่บอกเขาว่าอี้จื๋ออยากพบท่านแม่ของเขาอย่างสมบูรณ์ไร้อันตราย” กุ่ยเม่ยยกมือขึ้นกดหน้าผากอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม้จะเป็นเด็ก บางครั้งก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกับพ่อแม่ของเขาได้
ตอนนั้นสีหน้าของซ่านจินจื๋อีเพียงแววแปลกประหลาดวูบผ่านไปเล็กน้อย ต่อมาดวงตาคู่นั้นก็ถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกละอายใจเอ่อล้น แขนอันแข็งแกร่งสั่นระริกอยู่ภายใต้แขนเสื้อกว้าง ดวงตาก่ำแดงปิดลงอย่างเจ็บปวดลุ่มลึก
“ข้าไม่รู้ว่าควรช่วยชีวิตนางอย่างไรดี”
“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
เขาพึมพำกับตัวเองหลายประโยค ไหล่กว้างก็พลอยลู่ลงมาด้วยเช่นกัน
อ๋องจิ้งที่เป็นวีรบุรุษผู้กล้าในอดีตกลับดูเหมือนเด็กน้อยไม่ประสีประสาคนหนึ่ง ส่วนกุ่ยเม่ยในตอนนั้นก็พูดอะไรไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ
บางทีพวกเขาอาจเข้าใจเรื่องราวโดยปริยาย ขอเพียงหนึ่งแววตาและหนึ่งคำก็สามารถล่วงรู้การกระทำต่อไปของอีกฝ่ายได้
แต่ในแง่ความรู้สึก ซ่านจินจื๋อจดจำได้เพียงความละอายใจในวันวาน ต้องการชดเชยกู้อ้าวเวยสุดกำลัง แต่กู้อ้าวเวยกลับดิ้นรนขัดขืนอยู่ระหว่างอดีตและอนาคต กอปรกับสูญเสียความทรงจำบางส่วนแทบจะซัดจู่โจมนางไม่น้อยทีเดียว พาให้สภาพอารมณ์นางไม่คงที่
กุ่ยเม่ยในฐานะผู้ชมข้างสนามก็ไม่มีวิธีใด
โม่ซานได้แต่ตบไหล่เขาเบาๆ เป็นเชิงปลอบประโลมอย่างจนปัญญา แล้วมองไปทางคนที่เพิ่งผล็อยหลับไปเมื่อครู่ กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “รอนางตื่นแล้วค่อยอยู่เป็นเพื่อนนางให้ดีก็พอ“
ทั้งสามต่างไม่รู้ว่าวิหารเฟิ่งหมิงในตำหนักอ๋องจิ้งเวลานี้เปลวไฟลุกไหม้คุโชน ลุกลามไปถึงยาที่กู้อ้าวเวยเคยใช้
เปลวเพลิงร้อนระอุหอบม้วนคฤหาสน์มากมายกลางเมืองเทียนเหยียน
คนในเทียนเหยียนจำได้เพียงเถ้าถ่านของเปลวเพลิงคลุ้งฟ้าในวันนี้
ส่วนเพลิงภูเขานอกเมืองเทียนเหยียนก็คละคลุ้งเปลวเพลิงระฟ้าพาให้ผู้คนแตกตื่นตกใจเช่นเดียวกับในเมืองเทียนเหยียน
ไม่ว่าด้านนอกจะบังเมฆซ่อนตะวันอย่างไร ขณะที่กู้อ้าวเวยค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากความฝัน สิ่งที่ส่องสะท้อนสู่ม่านตาก็คือดวงตาของโม่ซาน นางตกใจสะดุ้งโหยง ตื่นเต็มตาแล้วจึงเอนตัวกลับไปอย่างผ่อนคลาย “ข้าตกใจแทบแย่…”
“ท่านต่างหากที่ทำข้าตกใจ” โม่ซานดีดตัวผึงอย่างหวาดหวั่นพรั่นใจเช่นเดียวกัน
คราวนี้กู้อ้าวเวยเพิ่งรู้สึกถึงรสขมเฝื่อนทั้งแถบภายในปาก และในมือโม่ซานยังถือชามช้อนอยู่ ดูท่าเมื่อครู่คงถือโอกาสป้อนยาตอนที่นางหลับถึงได้กระเถิบตัวเข้ามาใกล้ขนาดนี้
บานประตูถูกคนผลักเปิด กุ่ยเม่ยที่เพิ่งพักผ่อนไปไม่นานเดินพรวดพราดเข้ามา
แทบทนไม่ไหวอยากตรวจสอบคนที่อยู่บนเตียงตั้งแต่หัวจรดเท้า จากภายในสู่ภายนอกสักรอบให้รู้แล้วรู้รอด กู้อ้าวเวยถูกเขาพลิกไปมาจนตกตะลึงพรึงเพริด รีบดึงผ้าห่มมองเขาทันควัน “ข้าก็แค่ถูกคนจับตัวไปเที่ยวเดียว เหตุใดพวกเจ้าแต่ละคนต้องระมัดระวังกับข้าขนาดนี้ด้วย”
ได้ยินนางพูดเรื่องที่ตนถูกลักพาตัวไปอย่างสบายใจเฉิบเช่นนี้ กุ่ยเม่ยรู้สึกเพียงว่าก้อนเลือดในลำคอกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงม้วนตัวคนไปพร้อมกับผ้าห่มแพรไหมเสียดื้อๆ
“เป็นถึงแม่คนแล้ว ถึงขนาดยังกล้าพูดคำเช่นนี้ออกมาอีกเชียว แต่พอรู้ว่าตัวเจ้าเองนอนหลับไปสองวันสองคืน ข้าจะต้องส่งเจ้าไปหาทางฝั่งจางเหยียนซานโดยตรงเลยดีหรือไม่!”
“สองวัน!” กู้อ้าวเวยแผดเสียงอุทานตอนที่ถูกแบกขึ้นไหล่กุ่ยเม่ย
โม่ซานรีบกุลีกุจอช่วยปรับท่าให้กู้อ้าวเวยอยู่ด้านหลังกุ่ยเม่ย กล่าวร้อนรนว่า “อ๋องจิ้งตรวจตราชานเมืองสองวันติดยังไม่กลับ วิหารเฟิ่งหมิงที่ท่านพักก่อนหน้านี้และร้านยาเหย้าต่างก็ถูกไฟเผาย่อยยับชั่วข้ามคืน สองวันสั้นๆ เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ท่านกลับมัวโอ้เอ้ไม่ตื่น กุ่ยเม่ยไม่ได้มาสองคืนเต็มแล้ว”
ปล่อยให้กุ่ยเม่ยและโม่ซานพาตนไปส่งทางฝั่งจางเหยียงซาน
เวลานี้สีรัตติกาลดึกสงัด ส่วนโม่ซานและกุ่ยเม่ยทั้งคู่สันทัดวิชาตัวเบา แม้แต่คนรับใช้ที่อยู่ในตำหนักยังมองไม่เห็นนาง
แต่บริเวณนี้หาใช่คฤหาสน์ทุกที่ที่นางคุ้นเคย
คฤหาสน์นี้เท่ากับร้านยาเหย้าสี่แห่ง รอบบริเวณเป็นสี่เหลี่ยม แต่อย่างไรก็เรียกไม่ได้ว่าใหญ่โต
ถนนสายเดียวกันกำแพงกั้นเพียงแห่งเดียว กลับสามารถมองเห็นคบเพลิงสว่างไสวนอกกำแพง แต่นางแหงนหน้าขึ้นมองจันทร์ยวงลอยเด่นนภา อย่างน้อยยามนี้เป็นช่วงเที่ยงคืน ด้านนอกมีคบเพลิงสว่างไสวได้อย่างไรกัน
จนกระทั่งถูกวางลงบนเตียงนอน ยื่นข้อมือไปให้จางเหยียงซาน นางจึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “เหตุใดด้านนอกมีแสงไฟสว่างไสว มีที่ไหนเกิดเพลิงไหม้อีกแล้วหรือ”
กลับถูกผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มกระแทกใส่หน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว บดบังทัศนียภาพไม่ว่า ซ้ำยังชวนให้ความคิดของนางถูกขจัดไปด้วย
“ตัวเองเป็นถึงหมอ ถึงกับไม่รู้ว่ายามนี้ชีพจรเต้นปั่นป่วนเชียวหรือ” จางเหยียงซานพูดลอดไรฟัน การเคลื่อนไหวของชีพจรนั้นเริ่มบีบรุนแรงขึ้นมา “ห้ามโมโหฉุนเฉียว วิตกกังวลให้น้อยลง ก็ยังพอมีทางรักษาได้ ข้าดูแล้วท่านคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง”
ถูกลูกศิษย์ของตนว่ากล่าวเช่นนี้ กู้อ้าวเวยฝืนข่มเพลิงโทสะให้สงบจนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในบัดดล “ข้าไม่เคยคิด…”
“แสงไฟพวกนั้นก็เป็นเพราะหมู่นี้ทหารลาดตระเวนมีเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น” โม่ซานนั่งอยู่ข้างเตียงซุกตัวนางให้หลบด้านหลัง ทำสัญญาณมือให้ผู้ชายสองคนออกไปอย่างรังเกียจ กล่าวเพียงว่า “นอกเมืองมีมหาทัพอ๋องจิ้งข่มสถานการณ์อยู่ ยามนี้ภายในเมืองมีกำลังทหารมากกว่าปกติสามเท่า นอกไปข้างนอกตอนกลางวัน ทหารบนท้องตลาดมีมากกว่าประชาชนทั่วไปเสียอีก”
“ควรจะส่งทหารไปมากกว่านี้…”
“เรื่องพวกนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลใจ”
เสียงนี้มาพร้อมกับกลิ่นไหม้ ปลายจมูกกู้อ้าวเวยขยับเล็กน้อย ลากผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มบนหน้าลงมา มองผู้ชายที่เนื้อตัวมีแต่เศษฝุ่น แล้วหัวเราะขึ้นมาทันควัน “ข้าไม่กังวลหรอก เจ้าอย่าโกรธเลยนะ”