บทที่ 1061 กลับมาอีกครั้ง
ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่ข้างเตียงเงียบๆไม่พูดอะไร
โม่ซานเห็นพี่ชายที่อยู่ด้านนอกประตูพยายามขยิบตา จึงรีบผลักกุ่ยเม่ยกับจางเหยียงซานแล้วก็พากันออกไป
ส่วนคนที่นอนอยู่บนเตียง กู้อ้าวเวยรู้สึกได้ถึงอะไรที่แตกต่าง ข้อมือของนางถูกจับไว้ด้วยนิ้วมือที่หนา จมูกเต็มไปด้วยกลิ่นขี้เถ้าจากชายคนหนึ่ง จนทนไม่ไหวต้องปิดจมูกปิดปากของตนเองแล้วก็หันไปมองดู
“ไฟป่ายังไม่ถูกดับหรือ? ทำไมกลิ่นขี้เถ้าถึงได้แรงจนสำลักขนาดนี้”
มือข้างนั้นค่อยๆออกห่าง ซ่านจินจื๋อถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่เปื้อนไปด้วยขี้เถ้าออก โยนไปตรงที่แขวนด้านข้าง แล้วก็ไปหยิบเสื้อคลุมในห้องมาคลุมไหล่ หลังจากนั้นก็กลับมานั่งเหมือนเดิม
กลับถูกกู้อ้าวเวยดึงแขนเข้ามาแนบกาย มืออีกข้างหนึ่งยันอยู่บนเตียง มองดูผู้หญิงบนเตียงอย่างยิ้มแย้ม
“คิดถึงข้าขนาดนี้เลยหรือ?” มือข้างหนึ่งของซ่านจินจื๋อบีบปลายจมูกของกู้อ้าวเวย แล้วพูดว่า “อีกไม่กี่วันจะหาที่อยู่ที่ดีให้กับเจ้า เอาเจ้าไปขังไว้ที่นั่น แล้วก็ไม่ให้ใครรู้สักคน”
หลังจากที่พูดเสร็จแล้ว ความครอบงำและความชั่วร้ายที่อยู่ในกระดูกซ่านจินจื๋อก็พรั่งพรูออกมาเช่นกัน
หากนางถูกกักขังจากคนรักที่มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุด ไว้ในสถานที่ที่มีแต่ตนเองที่รู้ ได้คุยเรื่องเรื่อยเปื่อยกับนางทุกวัน ต่อให้เป็นในคุกมืดมิดก็ไม่เป็นไร
“นี่ถึงเป็นความคิดภายในใจที่แท้จริงของเจ้าล่ะสิ” กู้อ้าวเวยเพียงอมยิ้ม เกาะแขนกับไหล่ของเขาแล้วก็พยายามลุกขึ้นมา ผ้าไหมสีเขียวโปร่งกองอยู่ด้านหลัง ลำคอขาวผ่องยืดขึ้นเผยให้เห็นเต็มตา มีเพียงเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงซุกอยู่ตรงลำคอของเขา มือทั้งสองข้างออกแรงดึงผู้ชายล้มลงมานอนด้วยกันบนเตียง
สาวงามอยู่ในอ้อมอก ซ่านจินจื๋อกลับแค่นอนอยู่ข้างกายนาง ยันกายไว้เพื่อไม่ทับตัวนาง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกอดเอวของนางไว้ แล้วก็พูดด้วยเสียงดังว่า “ร้านยาเหย้ากับวิหารเฟิ่งหมิงของเจ้าถูกไฟไหม้หมดแล้ว สองวันนี้ข้าปิดปากไม่พูดอะไร แต่ว่าเดินทางมาหลายวัน ช่วงนี้ขอพักร่างกายอยู่ข้างกายเจ้า ดีไหม?”
เมื่อฟังเขาพูดแล้ว กู้อ้าวเวยค่อยคิดขึ้นมาได้ในทันที
“นี่เจ้ากำลังให้พวกเขาไปเดาว่า ข้าอยู่ที่ไหนกันแน่?”
“ความหมายประมาณนั้น แต่ว่าข้าไม่ได้พูดอะไรมาก พวกเขาก็น่าจะสามารถเดาได้อยู่บ้าง?” ซ่านจินจื๋ออมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ นิ้วมือวางอยู่บนเอวบางของนาง แล้วก็พูดว่า “นอนไปหลายวัน ผอมลงอีกแล้ว”
“ข้ายังไม่รู้เลยว่าตนเองนอนไปกี่วัน เมื่อกี้ตื่นขึ้นมา ก็ถูกกุ่ยเม่ยกับจางเหยียงซานต่างก็ตำหนิ น่าน้อยใจมากเลย” กู้อ้าวเวยเบ้ปาก ในระหว่างที่พูดก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม นิ้วมือคว้าจับชายเสื้อของซ่านจินจื๋อ แล้วก็ยิ้มพูดขึ้นว่า “หากข้าไม่อยู่แล้ว แผนการของเจ้าพวกนี้ คงได้แค่พูดกับเฉิงซานเท่านั้น?”
“หากพูดจาแบบนี้อีก จะทำให้เจ้าลงจากเตียงไม่ได้จริงๆ แล้วก็ให้เจ้ามีลูกให้กับข้าอีก” ซ่านจินจื๋อทับตรงเอวของนางอย่างโมโห ทำให้คนที่อยู่ในอ้อมอกหวาดกลัวจนหดตัวไปอยู่ด้านข้าง สีหน้าค่อยอ่อนลงแล้วก็พูดว่า “ฝีมือการแพทย์ของเจ้าล้ำเลิศ หากไม่สามารถช่วยชีวิตตัวเองได้ ยังจะเป็นหมอไปทำไม?”
กู้อ้าวเวยกลับโกรธ มือตีตรงต้นคอของเขาแล้วพูดว่า “มีหมอที่ไหนที่รักษาตนเอง”
“งั้นก็เพราะฝีมือเจ้าไม่ล้ำเลิศ”
“ข้าจะโกรธแล้วนะ” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นคิดจะลงมือ
ซ่านจินจื๋อหัวเราะแล้วก็ให้นางทุบอยู่หลายที แต่แล้วก็เห็นใจที่กำปั้นของนางไม่มีแรง จึงหาช่องว่างรวบตัวนางไว้ แล้วใช้เสื้อคลุมห่อตัวนางแล้วกอดไว้
“ข้าเริ่มหิวแล้ว ทานอะไรด้วยกันหน่อยไหม?”
“ถ้าอยากทานหมาโผโต้วฝุ (เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน)” ขาทั้งสองข้างของกู้อ้าวเวยฟาดวางอยู่บนขาของเขาอย่างเอาแต่ใจ แล้วก็ทุบเขาเบาๆสองที
เหมือนกับโดนแมวข่วน จักจี้หัวใจ
สีหน้าซ่านจินจื๋อตอบตกลง กลับก็ไม่มีวี่แววที่จะออกไป เพียงสั่งคนที่อยู่ด้านนอกประตูไปจัดเตรียม แล้วก็สั่งคนอุ้มเสี่ยวฮัวกับเสี่ยวป๋ายมา ขาของแมวน้อยหายดีขึ้นมากแล้ว เมื่อมาถึงข้างกายกู้อ้าวเวย ก็ส่งเสียงร้อง พร้อมส่ายหางเบาๆ นอนหมอบอยู่ด้านข้างกู้อ้าวเวย อย่างร้องขอให้ลูบ
จับปลายคางแมวน้อยอย่างยิ้มแย้ม กู้อ้าวเวยพูดขึ้นอย่างจนใจว่า “เจ้าเตรียมที่จะซ่อนตัวข้าไว้จริงๆหรือ?”
“เวลาของพวกเรายังเหลืออีกยาวไกล ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันในเร็ววันนี้” ซ่านจินจื๋อพยักหัวอย่างมุ่งมั่น หิ้วตัวเสี่ยวป๋ายที่กำลังจะมุดเข้าไปหากู้อ้าวเวยออกมา แล้วอุ้มไว้ แต่เสียดายบนตัวของเขามีกลิ่นแรง เสี่ยวป๋ายข่วนหนึ่งที แล้วก็โดนกลับมาหมอบอยู่บนขาของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยหัวเราะเสี่ยวป๋าย แล้วก็ลูบขนบนหลังของมัน พูดขึ้นอย่างสุขใจว่า “ถึงตอนนี้ก็คิดได้แล้ว เมื่อก่อนคนที่ไม่ยอมให้ข้าไปคือใคร? ทั้งๆที่ตอนนั้นก็คิดว่าข้าตายแล้ว ยังสร้างศิลาไว้ ดื่มเหล้าอยู่คนเดียวตรงนั้น… เหงาอย่างมากมาย”
พูดเสร็จ ก็เห็นสีหน้าซ่านจินจื๋อเปลี่ยนไป
“เจ้าจำได้แล้ว?”
“จำได้ตั้งแต่ตอนที่กลับมาแล้ว” กู้อ้าวเวยก็อึ้งไป แล้วก็ค่อยๆคิดถึงความทรงจำในอดีตนางไม่ได้มีความรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ จากนั้นก็จำได้ว่านางไม่ได้พูด เห็นท่าทีซ่านจินจื๋อยิ่งอยู่ก็ยิ่งหดหู่สลดใจ นางยกมือขึ้นตบหน้าผากเขา แรงไม่มาก แต่ฝ่ามือกลับเจ็บ จึงพูดขึ้นว่า “เจ้าชอบข้าที่อ่อนแอ อารมณ์แปรปรวนขนาดนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่” ซ่านจินจื๋อรีบส่ายหัว ขยับตัวเข้าใกล้ กลับถูกมือของกู้อ้าวเวยชี้ให้อยู่กับที่ แล้วก็ขำกับท่าทีที่ถูกสั่งแล้วเชื่อฟังของตน พูดขึ้นอย่างจนใจว่า “ก็กลัวว่าเจ้าไม่พูดอะไรแล้วก็หนีไปอีกไง?”
“……”
ครั้งนี้กลับเป็นกู้อ้าวเวยวางมือ แล้วก็ลูบปลายจมูก
นางจะหนีไปจริง แต่ที่น่าขำที่สุดก็คือ นางหนีไปไกลแล้ว แต่ก็มักจะเปลี่ยนสถานะแล้วก็หวนกลับมา
“นี่ยังไม่ต้องพูดถึง เจ้าลองพูดมาว่าหลังจากที่ซ่อนข้าไว้แล้ว เจ้าจะทำอะไรบ้าง?”
รีบเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรู้สึกผิด ซ่านจินจื๋อเองก็ตอบคำถามนางว่า “ข้าก็ต้องจัดการเรื่องของเสด็จพี่ให้เรียบร้อย เจ้าเพียงแค่ต้องกังวลเกี่ยวกับการวางแผนสำหรับตัวเจ้าเอง เสียดายที่จางเหยียงซาน ปรากฏตัวอยู่ในเมืองหลวงหลายครั้งแล้ว หากหายสาบสูญไปจะทำให้คนอื่นสงสัย ถึงตอนนั้นก็จะมีเพียงกู้ซวงกับแมวสองตัวอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
ไม่ว่าจะเป็นกุ่ยเม่ยผู้ติดตามฉูห้าว หรือว่าโม่ซานผู้ติดตามใต้เท้าโม่อี
พวกเขาต่างก็เคยปรากฏตัว แต่แผนการของซ่านจินจื๋อเป็นการทำให้ทุกคนเข้าใจผิด มีคนลอบเข้าไปทำลายวิหารเฟิ่งหมิงกับร้านยาเหย้าในยามวิกาล อาจจะเพื่อพาตัวกู้อ้าวเวยไป
และวันนี้จะเอาตัวกู้อ้าวเวยไปซ่อนไว้ ก็จะต้องทำอย่างมิดชิด ไม่มีช่องโหว่ ส่วนกู้ซวงมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับนาง ก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว กลับกลายเป็นคนที่สามารถอยู่เป็นเพื่อนกับนางได้
เดิมซ่านจินจื๋อคิดว่านี่ถือเป็นการถูกคุมขังอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่านางจะอยู่แบบนี้ได้ไหม แล้วก็เห็นกู้อ้าวเวยขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “แล้วข้าต้องอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน?”
“รอเมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย คิดว่าต้นฤดูใบไม้ผลิน่าจะสามารถคลี่คลายได้แล้ว”
“งั้นก็ดี และก่อนหน้านี้ความทรงจำของข้าขาดหายมีเรื่องบางเรื่องที่คิดได้ไม่หมด ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นข้าพูดผิดไป” กู้อ้าวเวยยันกายลุกขึ้น มองดูซ่านจินจื๋อแล้วพูดว่า “เมล็ดพันธุ์ที่เอามาจากซ่านเซิ่งหานก่อนหน้านี้นั้น ไม่ได้เป็นการสร้างเพียงภาพหลวงตาง่ายๆขนาดนั้น ยังสามารถทำให้คนเจ็บปวดอย่างทรมาน เป็นหนึ่งในพิษไฟจากฟ้าในตอนนั้น”
“ทำไมถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน?”
“ฉางอีฉินเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในนั้น กลับไม่มีท่าทีถูกพิษเช่นนี้ น่าจะรู้อะไรอยู่บ้าง”
กู้อ้าวเวยยังจำได้ว่า โม่ซานกับกุ่ยเม่ยพูดว่าฉางอีฉินคนนั้นโหดเหี้ยมผิดปกติ เป็นอาการของคนสูญเสียจิตวิญญาณ