บทที่ 1070 ใช้เลือดรักษา
เล่นกันหัวเราะกัน ซ่านจินจื๋อจำไม่ได้แล้วว่าเคยมีชีวิตที่สบายอกสบายใจเช่นนี้
ไก่ขันตอนรุ่งอรุณที่ทำให้คนอยากที่จะใช้เวลาในการนอนอย่างมีความสุข เขาโยนเสี่ยวฮัวแมวสองตัวที่ตื่นขึ้นมาปลุกลงจากเตียงไปอย่างช่วยไม่ได้ ตัวแมวอ่อนโยน ตกลงพื้นอย่างไม่มีเสียง เพียงแค่หันกลับมาร้องใส่ซ่านจินจื๋ออย่างโกรธเคือง จากนั้นก็ตามเสียงไก่ไปข่วนประตู
หงเซียวที่อยู่ด้านนอกประตูได้ยิน จึงเปิดประตูออก อุ้มแมวสองตัวที่ไม่มีหัวคิดนั้นออกมา
ส่วนซ่านจินจื๋อก็เอามือสองข้างปิดหูทั้งคู่ของกู้อ้าวเวยไว้
เพื่อให้นางไม่ถูกปลุกให้ตื่น คงเพราะทั้งสองคนหยอกล้อกันจนถึงเที่ยงคืน กู้อ้าวเวยอยากที่จะนวดเขาไปทั้งตัว แต่เขากลับกังวลไม่กล้าทำ ในที่สุดเขาก็ถูกยัดลงใต้ผ้าห่มเพื่อนอนหลับอย่างเชื่อฟัง
ใบหน้างดงามนั้นไม่ได้เห็นร่องรอยแก่ตามอายุ เพียงแค่เบ้าตาที่จมลงนัยน์ตาสีฟ้าดำนั้นแลดูน่ารักมาก
“หากเป็นแบบนี้ไปได้ตลอดก็คงดี”
ซ่านจินจื๋ออดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำขึ้นมาเอง ดวงตาที่มักจะเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เขาไม่ค่อยได้ทำให้กู้อ้าวเวยมีความสุข และไม่เคยพานางไปเที่ยวท่องโลก
แต่นางกลับต่อสู้กับชีวิตและความตายมานานหลายปี อย่างเจ็บปวดทรมาน
จูบที่หน้าผากของนางเหมือนดั่งแมลงปอแตะน้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าขนตายาวนั้นจะสั่นไหว ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นอย่างสะลืมสะลือ สักพักก็มองไม่ออกว่าเป็นใบหน้าของซ่านจินจื๋อ แต่สองมือกลับโอบเบาๆ โอบมาแนบอก ยังเอาหัวของเขาซบตรงซอกคอของตน
“นอน” น้ำเสียงที่เพิ่งตื่นนั้นหม่นหมองและเต็มไปด้วยเสมหะ แฝงไปด้วยเสียงแหบ
ฟังน้ำเสียงคำสั่งของกู้อ้าวเวยนี้แล้ว ซ่านจินจื๋อไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วก็หาตำแหน่งที่ไม่นอนทับโดนงาน แล้วก็นอนหลับไปภายใต้การปกป้องของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยกลับเห็นว่าเป็นเซียวเซียวที่ซน หรือหยินซี่งอ่อนโยน
ถึงขั้นยกมือลูบท้ายทอยของซ่านจินจื๋อ กระซิบพูดขึ้นว่า “ข้าอยู่นี่ นอนเถอะ”
พูดเสร็จ แล้วก็แต่ตรงติ่งหัวของเขา เอนกายเล็กน้อยแล้วกอดเขาไว้ทั้งตัว ซ่านจินจื๋อสูดดมกลิ่นหอมยาสมุนไพรอันน้อยนิดนั้น แล้วก็นอนหลับไป
รอเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงเท่าเสาไม้ไผ่สามต้น ด้านนอกประตูก็วุ่นวายกันอย่างโกลาหล
หงเซียวขวางอยู่หน้าประตู พูดกับกุ่ยเม่ยกับโม่ซานที่มาอย่างฮึกเหิมว่า “ท่านอ๋องกับคุณนมใหญ่ยังไม่ตื่น ใต้เท้ากุ่ยเม่ยกับคุณหนูโม่ซาน เข้าไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์”
“พูดแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว แต่เมื่อคืนพวกเขายังหยอกหัวเราะกันไม่ดื่มไม่ทาน ตอนนี้ก็ผ่านไปแล้วเจ็ด แปดชั่วโมง ไม่ดื่มไม่ทานเพราะอยากเป็นเทวดาหรือ?”
ด้านหลังโม่ซานแบกดาบเล่มยาวไว้ ในมือกลับถือกล่องอาหารที่ประณีตงดงาม สีหน้าไม่เป็นมิตร
เขาก็แค่เล่าเรื่องที่ตนกับกู้อ้าวเวยกู้ซวงคุยกันให้ฟัง กลับท่านพี่ดุด่าแล้วสั่งให้มาส่งอาหาร ใครจะไปคิดว่าสองคนที่ไม่รู้จักหนักเบากลับนอนกอดมั่วกันอยู่บนเตียง
เสียแรงที่ก่อนหน้านี้นางยังอุตส่าห์เป็นห่วงกู้อ้าวเวย
แต่กุ่ยเม่ยกลับเป็นปกติหน่อย ไออยู่หลายทีพร้อมพูดว่า “กอดรัดกันตอนกลางวัน ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายกู้อ้าวเวย”
ไม่รอให้หงเซียวตอบ ก็ได้ยินเสียงกู้อ้าวเวยดังมาจากข้างใน
“ข้าไม่ได้กอดรัดกันตอนกลางวัน”
ด้านนอกประตูเงียบสงบทันที หลังจากนั้นสักพัก ค่อยเห็นกู้อ้าวเวยรีบสวมเสื้อคลุม เหยียบบนรองเท้าแล้วก็ก้าวเดินออกมา หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นแสงแดดต้นฤดูหนาว
ซ่านจินจื๋อที่รีบตามมาอยู่ด้านหลังยกมือช่วยนางปิดตาไว้ โอบกอดนางมาแนบกายแล้วก็พาเข้าไป
“เพิ่งตื่นเองจะลุกมาทำไม”
สามารถพูดได้ว่าซ่านจินจื๋อ ถูกทั้งสามคนที่อยู่ด้านนอกประตูปลุกให้ตื่น โอบกอดกู้อ้าวเวยไว้แนบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้แต่เสื้อคุมตัวนอกของตนเองก็อยู่บนกายของนาง
“กุ่ยเม่ยกล้าพูดว่าข้าทำเรื่องบัดสี คงเป็นเพราะปกติเจ้ามั่วกับผู้หญิงมากเกินไป เขาถึงได้คิดว่าพวกเราทำเรื่องบัดสี” กู้อ้าวเวยถูกปิดตาไว้ แต่ปากกลับไม่ยอมหยุด
คิดถึงเมื่อวานที่ถูกแกล้งด้วยปากนี้ มรสุมแห่งความโมโหจึงประทุขึ้นมา
ตอนนี้ผู้ชายที่ถูกปลุกตื่นขึ้นมารีบเอามือลง แล้วก็เอามือปิดปากของนางไว้
“กลางวันอะไร มั่วอะไร ยังไม่ทันหายป่วยก็โดดลงมาจากเตียง คิดว่ากักบริเวณเจ้าไม่ได้แล้วใช่ไหม” พูดอยู่เช่นนี้ ซ่านจินจื๋อกลับไม่ทันได้สังเกตว่าทั้งสามคนด้านหลังแอบเดินตามเข้ามาอยู่เงียบๆ ยังคงโอบนางไปยังด้านข้างเตียง แล้วก็เอานางยัดเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างคุ้นเคย
เมื่อแตะถูกผ้าห่ม กู้อ้าวเวยก็รีบเอาผ้าคลุมหัวแล้วก็นอนหลับไป
ซ่านจินจื๋อถอดเสื้อคลุมสองตัวออกมา แล้วก็เอาหัวของนางำออกมาด้วย
สวมเสื้อตัวนอกอย่างหลวมๆด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เดินออกมาจากตรงม่านบัง พูดขึ้นด้วยสีหน้าดำจนสามารถมองเห็นเป็นน้ำ “เรื่องอะไร?”
ท่าทีที่เคร่งขรึม ทำให้โม่ซานกัดฟันอย่างตื่นเต้น จนพูดอะไรไม่ออก
กุ่ยเม่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะกลับไปเป็นคนขี้หงุดหงิดเหมือนเดิม คงเพราะเมื่อคืนไม่ได้ทำอะไร จึงเกิดอารมณ์ค้าง ยกมือขึ้นจนกำลังภายในที่ออกมานั้นทำให้โม่ซานแทบกลั้นหายใจ
“ท่านอ๋อง โม่ซานแค่มาตามคำสั่งของใต้เท้าโม่อี เอาสำรับมาให้เพื่อไถ่โทษ เพราะเมื่อวานตอนที่พูดคุยกับกู้อ้าวเวยได้พูดล่วงเกินไป” กุ่ยเม่ยช่วยโม่ซานพูด แล้วก็วางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ
เมื่อมองเห็นกล่องอาการนั้นแล้ว ซ่านจินจื๋อค่อยระงับกำลังภายในที่ไม่อาจควบคุมได้นั้นไว้ได้บ้าง
หยอกล้อกันตั้งแต่เมื่อคืนมาจนถึงเช้านี้ เพิ่งได้นอนไปแค่สองสามชั่วโมงเอง บวกกับก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้นอนดีๆ ซ่านจินจื๋อจึงหงุดหงิดอย่างมาก
แต่ตอนนี้เมื่อหวนคิดอย่างมีเหตุผลเขาค่อยเพิ่งคิดได้ว่ากู้อ้าวเวยไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
“ขอบคุณ” พูดง่ายๆเพียงสองคำ
ซ่านจินจื๋อเดินไปเอากล่องอาหารนั้น แล้วหิ้วเดินไปทางด้านหลังม่าน
เอานางออกมาจากผ้าห่ม ล้างหน้าล้างตา แล้ววางอาหารในกล่องไว้บนเก้าอี้ยาวสองตัวที่อยู่ข้างเตียง ยื่นถ้วยตะเกียบให้นางพร้อมพูดว่า “ทานข้าวแล้วค่อยนอน ข้าก็กลับมาแล้ว”
กู้อ้าวเวยพยักหัว ทานอาหารอย่างง่วงนอน
ส่วนซ่านจินจื๋อหลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พาทั้งสามคนเดินออกไปจากในห้อง แล้วก็สั่งคนไปดูกู้ซวง หากนางล่ำลาหลิงเอ๋อร์หมิ่นเอ๋อแล้ว ก็ให้พานางมาอยู่เป็นเพื่อนกู้อ้าวเวย
พวกเขามาถึงห้องด้านข้าง กุ่ยเม่ยพูดขึ้นตรงๆว่า “สถานที่ซ่อนตัวได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สิ่งของก็ส่งไปแล้วทั้งคืน คืนนี้ก็สามารถพากู้อ้าวเวยไปซ่อนไว้ที่นั่นได้”
“พี่ชายก็ได้หาตำราแพทย์มาแล้วไม่น้อย บวกกับตำราแพทย์ที่ท่านหมอจางเหยียงซานอ่านก่อนหน้านี้ มีอยู่เต็มชั้นวางหนังสือใหญ่สองอัน คิดว่าน่าจะพอใช้” โม่ซานก็พูดขึ้น
มีเพียงหงเซียวมองดูทั้งสองคนอย่างสงสัย แล้วก็ถามขึ้นว่า “แต่โลงน้ำแข็งนั่นยังหาไม่เจอ?”
“โรงน้ำแข็งอะไร?” มือซ่านจินจื๋อที่กำลังไปรินชาแข็งอยู่กับที่
ตอนนี้ทั้งสามคนต่างก็หันมามอง สีหน้ากุ่ยเม่ยเปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนอีก คิดไม่ถึงว่ากู้อ้าวเวยเองยังไม่ได้บอกทุกอย่างให้กับซ่านจินจื๋อ
“กู้อ้าวเวยต้องการโลงน้ำแข็งมารักษาชีวิต นี่เป็นเพียงหนึ่งในวิธี ไม่เร่งรีบในตอนนี้” กุ่ยเม่ยพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วก็เล่าเรื่องที่คุยกันวันนั้นให้ซ่านจินจื๋อฟัง
เขาฟังอย่างตั้งใจ จนถึงสุดท้าย เขากลับเงยหัวถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โลงน้ำแข็งนี้ ข้าจะหาวิธีเอามาเอง”
กุ่ยเม่ยตกใจ หลังจากที่ท่านอ๋องฟังเรื่องที่ใช้เลือดเพื่อรักษาชีวิตแล้ว ก็ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อยหรือ?