บทที่ 1075 ด้ายแดงกับสุสานตนเองในอดีต
ฟ้าใกล้สว่าง ฝนตกพรำๆ
ซ่านจินจื๋อคิดดีแล้วว่าวันนี้จะส่งนางออกไป อาศัยจังหวะที่ประตูเมืองเปิดตอนเช้า กู้อ้าวเวยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ใส่ซ้อนกันหลายชั้น แต่กลับทำให้ท่านอ๋องจิ้งเห็นแล้วขัดสายตา แล้วก็มาบีบๆ แขนของนาง “คืนฤดูหนาวอากาศเย็น ใส่น้อยไปหรือเปล่า?”
“ใส่เยอะกว่านี้ ก็เหมือนถูกห่อไว้แล้ว” กู้อ้าวเวยมองบน แล้วก็ดึงเอาแขนเสื้อตนเองกลับมา แล้วก็หันมาจัดเสื้อให้กับเซียวเซียวและหยินซี่ง “จะพาพวกเขาไปทำไมกัน สถานที่ที่เจ้าจะซ่อนข้าไว้ จะต้องไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแน่ ถ้าพวกเขาไม่ได้ตากแดด แล้วไม่โตขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
“ไว้อยู่เป็นเพื่อนเจ้า” ซ่านจินจื๋อมองหยินซี่ง
หยินซี่งก็รีบจับเซียวเซียวมากอดกู้อ้าวเวยไม่ปล่อยมือ “จะมืดไม่เห็นแสงตะวันก็จะไป จะได้ปลอดภัย”
“เด็กดี” กู้อ้าวเวยถูกลูกสาวแกล้งให้ยิ้ม แล้วก็จะโน้มตัวอุ้มนางขึ้นมา แต่ซ่านจินจื๋อก็มารั้งมือไว้ แล้วก็อุ้มหยินซี่งขึ้นรถม้าเอง แล้วก็ช่วงพยุงเซียวเซียวอีกมือ แล้วก็มองขวางกู้อ้าวเวย “ห้ามขยับเกินเหตุ และคิดมากเกินไป”
แม้แต่ลูกก็ไม่ให้อุ้ม ก้าวเวยก็ผลักเขาไปเบาๆ แต่ก็ผลักไม่ไป แต่กลับถูกซ่านจินจื๋ออุ้มขึ้นรถม้า เซียวเซียวและหยินซี่งก็ยืนมือมารับนางขึ้นรถม้าไป
กู้ซวงก็ทนดูไม่ได้ ก็รีบขึ้นรถม้าไป
เพื่อที่จะได้แยกแยะสองคนออก กู้ซวงแต่งหน้าเข้มและเสื้อผ้าสีเข้ม กู้อ้าวเวยก็ใส่เสื้อผ้าสีอ่อนลงมาหน่อย
ตอนเช้าตรู่ ก็จะมีแต่พวกเราส่งผักส่งปลาที่จะเข้าเมืองมา
ครั้งนี้ซ่านจินจื๋ออาศัยจังหวะที่โม่ซานจะออกจากวัง ก็เลยออกไปด้วย พวกทหารเฝ้าประตูเมือง เห็นแค่คุณหนูโม่ซานที่มีท่าทางสง่างามเปิดม่านออกมา แล้วเผยป้ายประจำจวนแสดงตัว แล้วยิ้มพูดว่า “ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี ท่านพี่ให้ข้าหาคนไปตรวจสอบพื้นที่อื่นๆ”
ซ่านจินจื๋อจัดการซื้อตัวทหารพวกนี้ไว้แล้ว ดังนั้นก็เลยไม่ได้เข้ามาค้นรถ
นี่ไม่ใช่รถม้าคันแรกที่ตำหนักอ๋องจิ้งสั่งการโดนยตรงให้ปล่อยออกเมือง ต่อให้มีคนคิดจะตรวจสอบ รถม้าพวกนี้จะวิ่งแยกออกไปคนละทิศทาง คนที่ไม่รู้ ก็จะคิดว่าซ่านจินจื๋อกำลังกระจายข่าวการเดินทาง ให้คนพวกนี้ออกไปจากเมืองเทียนเหยียน เพื่อไปตามหาหมอเทพ
กู้อ้าวเวยซ่อนอยู่ในมุมของรถม้า แล้วก็หลับไป กู้ซวงเปิดม่านออกไปดูฟ้าที่จะสว่างจากด้านนอก แล้วก็พูดว่า “ข้ารู้วิชาการแพทย์เพียงผิวเผิน จางเหยียงซานก็ไม่อยู่ ท่านอ๋องไม่กลัวเกิดอะไรขึ้นกับนางหรือ?”
“คำว่า หมอจะไม่รักษาตนเอง นั้น ใช้ไม่ได้กับนาง” ดูเหมือนว่าโม่ซานก็จะเคยเห็นนางให้ยารักษาตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่เพียงไม่กลัว แต่ก็กล้าลองสิ่งใหม่ๆ ทั้งหมด
รถม้าค่อยๆ ขับเคลื่อนเข้าสู่ป่าไผ่ แล้วหยุดลง
หลังจากที่กู้อ้าวเวยถูกเรียกให้ตื่น ก็ยอมให้เซียวเซียวและหยินซี่งจูงมือนำทาง ส่วนนางก็ตามอยู่ด้านหลัง อีกมือก็ต้องมาจับหยินซี่งที่กำลังจะหกล้ม อีกมือก็ต้องมาเสื้อของเซียวเซียวที่กำลังซุกซน
เดินออกมาจากป่าไผ่ ผ่านไปยังป่าละเมาะ
ด้านหน้าสว่างโล่ง สวนดอกไม้พวกนั้นทำให้ก้าวเวยละสายตาไม่ได้
ฤดูหนาวมาถึงแล้ว ดอกไม้ก็เริ่มจะร่วงโรย
ส่วนสวนดอกไม้พวกนี้ เป็นสถานที่ที่ซ่านจินจื๋อสร้างสุสานให้นาง ตอนนั้นนางแกล้งตายแล้วฟื้นที่นี่ ตนเองยอมเดินทางมา ไม่คับอกคับใจเหมือนตอนอยู่ที่จวนอ๋องแล้ว แต่กลับได้เห็นซ่านจินจื๋อคุยกับป้ายสุสานของนางอย่างน่าสงสาร สายตามีแต่ความโศกเศร้า
แล้วก็จับมือเด็กสองคนนั้นแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ทำไมเขาถึงเลือกที่นี่นะ?”
โม่ซานและกู้ซวงก็ไม่รู้ ก้าวเวยก็หัวเราะตัวเอง แล้วตามด้วยที่โม่ซานกำลังเปิดกลไกของที่นี่ ด้านล่างมีบันไดเล็กๆ เพื่อนเดินลงไปด้านล่าง ส่วนบ้านไม้รอบๆ สุสานก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรผิดสังเกต
เดินลงบันไดลงไปด้านล่าง กู้อ้าวเวยก็สงสัย “ในนี้มีลม ไม่ใช่ทางตัน”
“ด้านล่างเป็นทางลับ ในเหวบริเวณนี้ มีเพียงเส้นทางนี้ที่ไปถึง นอกจากเส้นทางนี้แล้ว ก็ต้องเดินลงจากหุบเขานั้นหลายร้อยลี้ รอบด้านมีแต่หน้าผาสูงชัน” โม่ซานอธิบาย ทุกคนก็เดินลงไปพักใหญ่ กว่าจะถึงตีนหน้าผา
รอบข้างหน้าผา ก็จะมีพวกเถาวัลย์และมอสส์ราขึ้นเต็มผนังหิน ลงมายาก และขึ้นไปยากกว่า ใต้หน้าผามีความชื้นสูง และหมอกปกคลุม แต่บ้านไม้ที่นี่กลับสะอาดดีมาก โม่ซานก็หัวเราะ “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องส่งคนที่เชื่อใจได้มาก่อไฟอยู่ทุกวัน กลัวที่นี่จะชื้นเกินไป”
และเห็นห้องเก็บฟืน มีฟืนมากมาย จุดทั้งวันทั้งคืนตลอดปีก็คงไม่หมด
จัดแจงเก็บของ โม่ซานก็บอกว่าตนเองจะรีบกลับไปหาคน อย่าให้คนอื่นมองเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ จากนั้นนางก็เดินขึ้นบันไดกลับมายังสวนดอกไม้ กลไกค่อยๆ ปิดลง ถูกพวกดอกไม้บดบังมิดชิด แต่กลับมองซ่านจินจื๋อที่อยู่บนม้านิ่งๆ
“ตอนที่นางมาที่นี่ ได้พูดอะไรบ้างไหม?” ซ่านจินจื๋อดึงบังเหียนม้า แต่สายตากลับจ้องมองไปยังที่ที่วางป้ายสุสานของกู้อ้าวเวย
“นางถามแค่คำเดียว ว่าทำไมเขาเลือกที่นี่”
“ซ่านจินจื๋อเม้มปาก หางตาก็เผยรอยยิ้มเล็กๆ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ตามที่สายสืบบอกมา ว่าที่นี่มีหมู่ตึกแห่งใหม่ ส่วนหมู่บ้านประมงก็กำลังก่อสร้างใหม่ แล้วยังตั้งชื่อว่า เซ่นไหว้เทพแม่น้ำ”
“เดี๋ยวข้าจะไปเสียหน่อย”
โม่ซานพยักหน้า แล้วก็ผิวปากส่งสัญญาณ พวกม้าที่ซ่อนในป่าก็พากันวิ่งออกมา
กระโดดขึ้นม้า ดาบที่โม่ซานพกก็หายไปในป่า ส่วนคนที่ติดตามซ่านจินจื๋อมาด้านหลังก็สลายตัวไป ไปแสร้งว่าตามหาตัวหมอเทพต่อไป
ซ่านจินจื๋อก็วกวนอยู่ในสวนดอกไม้อยู่นาน แล้วก็ค่อยๆ หันกลับออกไป
ให้นางกลับมาที่นี่อีกครั้ง ขอเพียงให้นางจดจำสภาพที่นางเคยเป็น
ส่วนด้านล่างหน้าผา กู้อ้าวเวยก็มองด้ายแดงในกล่องไม้ แล้วปิดมันลงไป
นางยังจดจำได้ ตอนที่นางผ่านป่าลึกมา มองลงมายังสวนดอกไม้พวกนั้น ซ่านจินจื๋อก็กำลังพูดกับป้ายสุสานอย่างตั้งใจ
เหมือนกับโลกนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว
ถ้านางจะทิ้งลูกไปเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อก็จะมานั่งเฝ้าอยู่หน้าสุสานเช่นนี้หรือไม่นะ
นางไม่รู้ว่า ที่ซ่านจินจื๋อเลือกที่แห่งนี้เพราะตั้งใจหรือไม่
แต่นางรู้มาตลอด ซ่านจินจื๋อสามารถไปสละชีพในสนามรบ แต่ไม่อาจละเลยผู้หญิงคนนี้ได้
“พ่อบุญธรรมบอกว่า ด้ายแดงแปลว่าวาสนา ที่นี่มีด้ายแดงมากมาย เช่นนั้นก็แสดงว่าพ่อบุญธรรมและแม่บุญธรรมก็จะมีวาสนาต่อกันทุกภพทุกชาติใช่หรือไม่” หยินซี่งวิ่งยิ้มตาหยีเข้ามาในอกกู้อ้าวเวย อีกด้านก็เป็นกู้ซวงที่กำลังห้ามไม่ให้เซียวเซียวไปวิ่งเล่นไกล
กู้อ้าวเวยลูบหัวของหยินซี่ง แล้วพูดหัวเราะเบาๆ ว่า “ไม่ต้องทุกภพชาติหรอก ชาตินี้ชาติเดียวก็เพียงพอแล้ว”
หยินซี่งก็ยิ้ม แล้วเอาด้ายแดงมาใส่ในมือของกู้อ้าวเวย แล้วเอาอีกเส้นมามัดในมือตนเอง แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ดีเลย ข้าอยากไปดูลูกคนแม่บุญธรรม น้องชายของข้าสองคน ข้าไม่ชอบเซียวเซียว เขาชอบซน”
“เจ้าแหละซน!” เซียวเซียวพุ่งเข้ามาดึงผมเปียของนาง
กู้อ้าวเวยเห็นเด็กสองคนเล่นกันซุกซน แล้วก็เอาด้ายแดงมาม้วนเล่นไปมา
ก็จริง นางยังมีลูกอีกสองคน จะตายไปง่ายๆ ได้อย่างไร