บทที่ 1109 หมุนเวียนจดหมาย
โน้มตัวไปข้างหน้า ส่งลมหายใจเย็นผ่านไปให้กู้อ้าวเวย
สูดลมหายใจเย็นๆเข้าไป ทำให้ไอเล็กน้อย ซ่านจินจื๋อจึงถอยออกไปเหมือนงูแมงป่อง วางช้อนชามซุปในมือลง พร้อมสั่งให้คนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้ด้วยสีหน้าที่เย็นชา มีเพียงสายตาคู่เดียวที่มองดูกู้อ้าวเวยอยู่อย่างระมัดระวัง
กู้อ้าวเวยแสดงสีหน้าตกตะลึง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ข้าก็แค่ไอนิดเดียว เจ้าหนีทำไม?”
“ความเย็นนี้สัมผัสตัวเจ้า จะไม่เป็นผลดี”
ซ่านจินจื๋อปล่อยให้สาวใช้ด้านข้างเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมทั้งโน้มตัวลงเอามือทั้งสองข้างอังบนเตาถ่าน เพื่อให้มืออบอุ่น
กู้อ้าวเวยนั่งพิงเอนมองดูเขา พร้อมพูดว่า “ข้าไม่ใช่กระดาษเสียหน่อย”
เมื่อถูกปลอบเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อกลับไม่พูดอะไร
เมื่อร่างกายอบอุ่นแล้วค่อยสั่งให้ทุกคนออกไป ค่อยๆปีนขึ้นไปบนเตียงกู้อ้าวเวย แล้วนั่งพิงอยู่ด้านข้างกายนาง โอบกอดเอวของนางไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ตอนนี้เชียนหยวน ยังไม่เชื่อว่าข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ช่างน่าเสียใจจริงๆ”
“ข้าไปช่วยเจ้าพูดอธิบายดีไหม?”
กู้อ้าวเวยเสยผมที่กระจัดกระจายอยู่รอบหูของเขา พร้อมมองดูใบหน้าใบนี้ที่อายุสามสิบแล้ว
ใบหน้าที่เฉียบคมตอนนี้แลดูดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ คิ้วสูงสง่าไร้ซึ่งความโกรธแต่น่าเกรงขาม แม้แต่ดวงตาคู่นี้ก็ยังดูถากถาง สาวๆที่หลงใหลเขาในตอนนั้นคงจะประทับใจในคุณงามความดีของเขา สถานะสูงส่ง ไม่อย่างนั้นจะมีใครทนได้กับผู้ชายที่ไร้ซึ่งความโรแมนติกเช่นนี้
ตอนนี้ซ่านจินจื๋อกลับนอนอยู่ในอ้อมแขนของนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้นางคิดถึงชิงจือที่ชอบกระทำเช่นนี้เหมือนกัน
อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดอยู่ว่าเจ้ากำลังคิดที่จะทำอะไร แต่เมื่ออี้จื๋อกลับมาอยู่ข้างกายข้า ข้าก็ไม่คิดอะไรอีกแล้ว”
“เจ้าทำไปก็เพื่อพวกเรา หวางกงกงคนนั้น ก็แค่แสดงละครเท่านั้น”
มีการหยุดเว้นระหว่างสองประโยคนี้ นิ้วมือกู้อ้าวเวยก็ค่อยๆล่วงลงไป บีบนวดหางตาของซ่านจินจื๋อ
ในเมื่ออี้จื๋อยังอยู่ข้างกาย ก็แสดงว่าซ่านจินจื๋อไม่ได้ส่งอี้จื๋อไปเป็นตัวประกันให้กับยู่จุน
และนางก็ยังอยู่ในจวนอ๋องจิ้ง แม้การถูกขังอยู่ที่นี่ก็ยังทำให้นางเป็นกังวล แต่เมื่อคิดถึงตอนนั้นที่ซ่านจินจื๋อก็มุ่งมั่นที่จะขังนางไว้ระหว่างด้านนอกชายแดนของสองประเทศอย่างดื้อรั้น เพียงเพื่อให้นางได้พักผ่อนสักพัก
ตอนนั้นนางเดือดร้อนไม่ยอมที่จะถูกขัง ตอนนี้กลับค่อยโล่งอก ไม่อวดดีเหมือนเมื่อก่อน
รู้สึกได้ถึงคนในอ้อมแขนผ่อนคลายลง ซ่านจินจื๋อค่อยพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ถูกเชียนหยวนต่อว่า ข้ารู้สึกน้อยใจมาก”
“ใครใช้ให้เจ้าขังข้าไว้ที่นี่ แม้แต่จางเหยียงซานก็ไม่ได้เจอ”
กู้อ้าวเวยมองเมินใส่เขา
“แบบนั้นไม่ได้ เจ้าเป็นคนขี้สงสัย แค่ได้ยินเรื่องอะไรบ้างก็จะหาถือโทษโกรธข้า ไม่แน่ ผ่านไปไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนสถานะแล้วก็หายสาบสูญไปจากที่นี่ ทำให้ข้าทำอะไรไม่ถูก”
ซ่านจินจื๋อกอดบีบเอวของนางไว้แน่น พร้อมกัดฟันพูดขึ้น ล้วนเป็นประโยคที่ไม่ยอมให้นางจากไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว
“อย่างกับเป็นเด็ก” กู้อ้าวเวยทำเป็นผลักเขาอย่างเบามือหนึ่งที แล้วก็นอนลงพร้อมพูดว่า “เจ้าไปจัดการงานราชการเถอะ ให้ข้าได้เล่นกับอี้จื๋อ”
ซ่านจินจื๋อก็ไม่โกรธ รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในใจกู้อ้าวเวยยังสู้อี้จื๋อไม่ได้ จึงทำได้เพียงตอบตกลง
เข้าไปจัดการเรื่องงานในพระราชสำนักในห้องหนังสือ แล้วก็ได้ยินว่าเมิ่งซู่ขอลาราชการกับฮ่องเต้อีกแล้ว บอกว่ายังต้องไปสำรวจพื้นที่ที่อื่นอีกอย่างละเอียด อาหารบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนี้ก็เดินทางน้ำ ระหว่างทางกลับไม่รู้ว่าโจรที่ไหนมาปล้นไป สูญเสียคนไปกว่าครึ่ง ตอนนี้กำลังยื่นขอกำลังทหารจากเขาเพื่อไปจัดการจับโจร
เมื่อกี้เขาเพิ่งจัดการงานไปเพียงไม่กี่เรื่อง ทางด้านสาวใช้ที่ดูแลข้างกายกู้อ้าวเวยก็เข้ามารายงานว่า
“ท่านอ๋อง ฮูหยินให้บ่าวมาแจ้งว่า ให้นัดเสด็จอ๋องจงผิงมาหาเพคะ”
ยังไงเรื่องนี้ก็ยังไม่จบ สีหน้าซ่านจินจื๋อเคร่งขรึม พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ไปบอกนาง ตอนนี้เชียนหยวนไม่เชื่อใจข้า หากข้าไปเชิญ ฉีหรัวคงไม่ปล่อยให้เขามาคนเดียว ดีที่สุดนางควรจะเขียนจดหมายขึ้นมาสักฉบับ ให้ข้าใช้คนนำไปส่ง เชิญให้เขามาที่จวน”
ในใจสาวใช้เข้าใจ ตอบรับแล้วก็จากไป
เมื่อกู้อ้าวเวยได้รับรู้เรื่องแล้ว คิดถึงปกติซ่านจินจื๋อมักวางท่าทีเป็นผู้อาวุโสต่อหน้าซ่านเชียนหยวนตอนนี้จึงไม่อาจลดศักดิ์ศรีไปตามเขามาด้วยตัวเอง และเป็นห่วงว่าเขาจะไม่ปิดบังฉีหรัว จึงอยากให้ตนเขียนจดหมาย เรียกให้เขามาตามลำพัง
ไม่ใช่เรื่องยากอะไร กู้อ้าวเวยเขียนเพียงไม่กี่ประโยคก็เขียนเสร็จแล้ว
ส่วนอี้จื๋อที่อยู่ด้านข้างเปื้อนไปด้วยน้ำหมึก รอยนิ้วมือสองนิ้วประทับเป็นลายนิ้วมืออยู่ตรงมุมกระดาษจดหมาย
“ซนจริงๆ”กู้อ้าวเวยรีบอุ้มเขามาเช็ดน้ำหมึกที่เปื้อนบนมือออก
มองเห็นตรงมุมมีรอยมือเล็กๆประทับไว้อย่างน่ารัก กู้อ้าวเวยจึงพับกระดาษจดหมายแล้วยื่นให้กับสาวใช้
สาวใช้คนนั้นเข้ามารับไว้ แล้วก็เอาจดหมายฉบับนี้ไปให้ซ่านจินจื๋อดู
มองดูรอยนิ้วมือเล็กๆบนจดหมาย ซ่านจินจื๋อก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ส่งไปให้เลย ต่อให้เชียนหยวนรู้เรื่องอะไรก็ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรไม่ได้ หากข้าทำอะไรไป เขาจะคิดว่าข้าทำอะไรอ้าวเวย”
องครักษ์ไม่คุ้นหน้าที่ไม่พูดอะไรคนนั้น กลับเดินมาพูดขึ้นว่า “ขอท่านอ๋องไตร่ตรองให้รอบคอบ”
“เมื่อทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว ความรอบคอบกลับจะยิ่งทำให้คนระแวง”
เมื่อพูดเสร็จ องครักษ์คนนั้นก็รู้ตัวว่าตนเองพูดมากไป จึงรีบคุกเข่าลงเพื่อขอรับโทษ
เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ซ่านจินจื๋อสนใจดูเพียงเอกสารราชการลับในมือ ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
แต่จดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนเพียงไม่กี่ประโยค กลับทำให้สีหน้าซ่านเชียนหยวนเต็มไปด้วยความงงงวย
ในจดหมายนี้ไม่เพียงเชื้อเชิญเขาไปที่จวน ยังตั้งใจบ่งบอกไม่ให้เขาพาฉีหรัวไปด้วย อีกอย่างตรงมุมจดหมายนี้มีรอยนิ้วมือเล็กๆ ยิ่งทำให้เขาคิดไม่ออก
ฉีหรัวลูบคางครุ่นคิดอยู่สุกพัก ค่อยพูดขึ้นว่า “นางรับเด็กชายหรือเด็กหญิงมาเลี้ยงอีกหรือเปล่า?”
“หากหยินซี่งกับเซียวเซียวไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นางไม่มีทางรับพวกเขามาเลี้ยงง่ายๆแน่”
ซ่านเชียนหยวนส่ายหัวไปมา คิดถึงพวกเด็กๆตัวเล็กตัวโตในห้องเรียนจวนฉู กู้อ้าวเวยไม่สามารถรับทุกคนมาเป็นลูกได้
“งั้นรอยนิ้วมือนี้ มาจากไหนกันแน่….”
และก็ไม่เหมือนกู้อ้าวเวยคิดอยากที่จะสื่อความหมายอะไร
ทั้งสองคนพลิกจดหมายไปมาพิจารณาดูอย่างละเอียด สุดท้ายจางเหยียงซานทนไม่ไหว แย่งจดหมายมา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าจดหมายฉบับนี้นางเป็นคนเขียน?”
“ข้าจำลายมือของนางได้” ฉีหรัวพูดขึ้นทันทีว่า “นางเขียนสูตรยาให้ข้าไม่น้อย เอามาเทียบกันดูก็รู้แล้ว และกระดาษแผ่นนี้ก็ไม่มีร่องรอยการแก้ไขใดใด ยังไงก็ไม่ผิดแน่”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อี้จื๋ออยู่ที่ไหนกันแน่ เป็นสิ่งที่น่าสงสัยที่สุด”
ซ่านเชียนหยวนตัดบทสรุป
ไมรอให้ทั้งสองคนครุ่นคิดกันต่อ ซ่านเชียนหยวนรีบสั่งคนไปรายงานในพระราชวังอย่างเร่งรีบ เพื่อขอเข้าเฝ้า ทางนี้ก็รับปากจะไปที่จวนอ๋องจิ้งตามคำเชิญ ไม่ว่าทางไหน อย่างน้อยเขาก็ควรไปดูว่าอี้จื๋ออยู่ที่ไหนด้วยตนเอง