บทที่ 1122 เชือกแดงด้ายทอง
สายเชือกข้อมือสีแดง ถักทออย่างหยาบเหมือนสาวน้อยที่เพิ่งเข้ามาในห้องเย็บปักถักร้อย มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่เหมือนกับสายเชือกสีแดง ก็คือเส้นสีทองนี้ที่ละเอียดเหมือนดั่งเส้นผม เป็นงานฝีมือที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนในทั้งสองภพนี้ เพียงแค่ผ่านมือองครักษ์ลับ แล้วค่อยมาถึงในมือของนาง
แต่ความจริงใจที่แฝงอยู่ในนี้มีเท่าไหร่ นางกลับไม่รู้
“หากแม่นางกู้ไม่ชอบ บ่าวสามารถช่วยได้”มามาในวังเดินมาหาอย่างสุภาพ และก็มาทันสัมผัสปลายเส้นเชือกสีแดงนี้ ปลายนิ้วเรียวยาวนั้นรวบเก็บได้ ซ่อนไว้อย่างมิดชิด เหลือเพียงมุมสีแดงบางมุม
“ยังไงเขาก็ทำเพื่อข้า จนเดินมาถึงอย่างทุกวันนี้”
พึมพำขึ้นด้วยเสียงเบา กลับยิ่งเหมือนพูดปลอบให้ตนเองเชื่อมากกว่า
มามามองดูนางอย่างสงสัยแว๊บหนึ่ง จากนั้นก็พูดดุขึ้นอย่างรุนแรงให้พวกองครักษ์ลับกับนางกำนัลวางตัวให้เหมาะสม
มามาคนนี้เหมือนเป็นคนของซ่านต้วนโฉง พูดจาเข้มงวด
เมื่อให้ทุกคนออกไปหมดแล้ว กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้รีบรับเอาอี้จื๋อมาอยู่ข้างกาย กลับนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วก็มองดูสายเชือกสีแดงในเมืองอย่างละเอียด พร้อมกับครุ่นคิด
ภายใต้ลมพายุหิมะ ซ่านจินจื๋อปกป้องอี้จื๋อไว้เป็นอย่างดี อุ้มไว้ภายใต้เสื้อคลุม แล้วก็ไม่กล้าคุกเข่าตากลม กลัวว่าอาการป่วยของอี้จื๋อจะยิ่งหนัก จึงลุกขึ้นมาแล้วก็ไปพักผ่อนอยู่ตรงห้องด้านข้าง
นางกำนัลยกชาน้ำขิงมายื่นให้กับเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ร่างกายเสด็จอ๋องจิ้งมีค่ามาก เดิมก็ไม่ควรที่จะคุกเข่าอยู่ที่นี่”
ซ่านจินจื๋อให้เอาถ้วยน้ำขิงนั่นออกไปห่างๆอย่างไม่พูดไม่จา
นางกำนัลคนนั้นเห็นซ่านจินจื๋อไม่โกรธหรือลงโทษนาน จึงพูดขึ้นอย่างกล้าหาญอีกว่า “เสด็จองค์ชายสาม กำลังจะมาหาคุณหนูกู้คนนั้น เสด็จอ๋องจิ้งรออยู่ที่นี่จะดีกว่า”
แขนซ่านจินจื๋อที่อุ้มอี้จื๋อไว้กอดรัดแน่นขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “เมื่อไหร่?”
“สักพักก็จะเข้าวังมาแล้ว คิดว่าน่าจะประมาณธูปสองดอกก็น่าจะกลับ” สาวใช้คิดเพียงว่าข่าวของตนนี้จะสามารถทำให้ตนเองได้มีโอกาสดีๆในอนาคต จึงพูดเพิ่มขึ้นอีกว่า “เมื่อกี้ฮ่องเต้ยังมีรับสั่งมาว่า เป็นลูกหลานของราชวงศ์ การคุกเข่าอยู่ในวังเพื่อผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ให้แม่นางยู่มาช่วยพูดโน้มน้าวท่าน”
แล้วยู่จุนจะมาพูดโน้มน้าวเขาได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงความผิดนี้ เดิมก็เป็นตัวเขาเองที่ยินยอม
แล้วก็ได้ยินเสียงอี้จื๋อที่อยู่ในอ้อมกอดไอหลายที ซ่านจินจื๋อรีบสั่งให้คนในตำหนักเพิ่มถ่านไฟ พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ยังไม่รีบส่งคุณชายกลับไปอีก?”
ขันทีที่อยู่ด้านนอกประตูรีบวิ่งกลิ้งคลานเข้ามา แทบจะล้มจนหัวทิ่มพื้น
“คุณหนูกู้บอกว่า ร่างกายนางอ่อนแอ ดูแลคุณชายไม่ไหว จึงยกให้เสด็จท่านเป็นคนดูแล”
เท่ากับเป็นการไม่ให้เข้าคุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูหรือ?
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว ในใจกลับยิ้มหัวเราะ
ตอนนั้นเขามองดูกู้อ้าวเวยคุกเข่าตากหิมะอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน เดิมก็รู้ถึงความรู้สึกของนางอยู่แล้ว กลับเลือกที่จะไม่สนใจ ต้องการเพียงสูตรยาอายุวัฒนะเพื่อรักษาซูพ่านเอ๋อ
ตอนนี้เขาเพียงเพิ่งได้ชดเชยความผิดเพียงเล็กน้อย กลับถูกนางเรียกเข้ามาแล้ว
ถ่านไฟร้อนรุ่ม ก้อนน้ำแข็งบนหลังคาด้านนอกประตูก็ถูกทุบลงมาไม่น้อยแล้ว
ซ่านจินจื๋อทำได้เพียงกล่อมอี้จื๋อในอ้อมกอดให้นอนหลับไป พร้อมทั้งกอดเขาเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องด้วยจิตใจกระสับกระส่าย จนประตูใหญ่ตำหนักคอยๆถูกเปิดออก ซ่านเซิ่งหานพาคนเข้ามาภายใน
เขายังคงสวมด้วยชุดผืนบาง ขันทีนางกำนัลด้านหลังยังสวมชุดอบอุ่นมากกว่าเขา
มองดูเขาก้าวเดินเข้าไปในตำหนักของกู้อ้าวเวยอย่างเต็มตา
เดิมกู้อ้าวเวยเพียงงีบหลับอยู่บนโต๊ะ การเดินเข้ามาของซ่านเซิ่งหาน ทำให้นางตื่น ค่อยๆลืมตาทั้งคู่ขึ้น แล้วก็บอกสบกับสายตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของซ่านเซิ่งหาน เพียงแต่ดวงตาคู่นี้ไม่บริสุทธิ์เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดูไม่ออก
“ออกไปให้หมด”
ทั้งสองคนแทบจะพูดออกมาพร้อมกัน จากนั้นทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะออกมา
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว เหลือไว้เพียงองครักษ์ลับไม่กี่คน
เมื่อซ่านเซิ่งหานนั่งลง กู้อ้าวเวยก็ยกมือรินน้ำชาร้อนให้กับเขา ตอนที่ขยับไปวางข้างมือเขา จมูกก็สูดดมกลิ่น แล้วก็หัวเราะพูดขึ้นว่า “ลูกเอ่อตันแดงเน่า แฝงไปด้วยรสชาติหวานเลี่ยน กลิ่นลูกเอ่อตันแดงบนกายของเจ้ายังอยู่ แต่พิษนี้ก็ส่งผลกระทบต่อเจ้าไม่น้อย”
“หลายปีมานี้ ข้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาคนที่มีความสามารถพิเศษ สามารถปลูกลูกเอ่อตันแดงไว้ตรงนี้ สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่พิษเล็กน้อย ไม่เป็นไร”
นิ้วมือเย็นสัมผัสฝาแก้วที่ร้อน ใบหน้ายิ้มแย้มของซ่านเซิ่งหานยิ่งยิ้มมากขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนที่มาได้ยินว่าเสด็จอาคุกเข่าอยู่ในตำหนักเพื่อขออภัย ทำไมเมื่อกี้ข้าถึงไม่เห็นเขา เห็นเพียงบนหิมะนั่นเป็น…หลุม”
พูดถึงตรงนี้ ซ่านเซิ่งหานยิ่งหัวเราะยิ้มอย่างดีใจขึ้นมา
แต่รอยยิ้มนั่น ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป
กู้อ้าวเวยเพียงแค่มองดูเขา เป็นถึงผู้ชายคนหนึ่งหัวเราะไปด้วยน้ำตาไหลไปด้วย ตกหล่นระหว่างฝาถ้วยแล้วก็หายไป น้ำตาร่วงไหลลงมาติดต่อกัน กลับไม่ได้ยินคำพูดปลอบใจจากกู้อ้าวเวยสักประโยค
กู้อ้าวเวยเงียบไม่พูดไม่จา ปลายนิ้วมือก็ค่อยๆบีบแน่น
ความน่าสงสารของซ่านเซิ่งหานในหลายปีมานี้ ในที่สุดก็ระบายออกมา กลายเป็นความเกลียดแค้น พร้อมพูดขึ้นว่า “หากข้าไม่เป็นฮ่องเต้ ก็จะมีสักวันที่เจ้าจะเลือกข้า? เป็นเพราะข้ายึดมั่นอยากที่จะเป็นฮ่องเต้ ไม่สามารถรับปากที่จะเป็นคู่ครองของเจ้าเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต เจ้าถึงได้ปักใจรักเสด็จมาถึงขนาดนี้? จนถึงตอนนี้เพื่อนลูกแล้วก็ไม่ยอมปล่อยมือหรือ?”
“ข้าไม่เคยสนใจว่าต้องเป็นคู่ครองเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต” กู้อ้าวเวยเงยหน้ามองดูเขา แล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้กับเขา พร้อมพูดว่า “ต่อให้เขาไม่ดีกับข้า กระทำความอัปยศต่อข้ายังไง ก็เพียงเพราะข้ารักเขา ทำให้ยิ่งไม่อยากที่จะปล่อยมือ”
“แต่…..”
“ค่ายังจำภาพที่ไปล่าสัตว์แล้วพบกับเจ้าในตอนนั้น แต่ข้าจำภาพตอนที่เขาจับข้าไปจากในหุบเขานั่นได้ดีกว่า” กู้อ้าวเวยพูดตัดคำพูดของเขา และพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “พวกเจ้ามักจะสงสัยว่าทำไมข้าต้องยึดมั่นกระทำสิ่งต่างๆ ความจริงแล้ว ข้าทำทุกอย่างลงไปล้วนเพราะหัวใจดวงนี้”
“มันบอกว่าหลงรักผู้ชายเลือดเย็นคนนั้น ข้าก็รัก”
“มันบอกว่าคนคนนี้เป็นคนดี ข้าก็เชื่อ”
“มันสงสัยสูตรยาอายุวัฒนะ ข้าก็ไปไขปริศนา”
“มันเชื่อว่าเจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี ข้าก็ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเจ้า”
น้ำเสียงกู้อ้าวเวยเรียบเฉย เหมือนกำลังพูดว่าข้าต้องการดื่มน้ำทานข้าวอย่างปกติ
ซ่านเซิ่งหานก็เหมือนไม่เคยมองคนตรงหน้าอย่างชัดเจน จนมือข้างนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าชอบ และเชื่อในความตั้งใจที่จะเป็นฮ่องเต้ของเจ้า”
คำตอบชัดเจน
นางเชื่อว่าหัวใจตนเองชอบซ่านจินจื๋อ และเชื่อหัวใจของตนเอง สุดท้ายแล้วเขาจะได้เป็นฮ่องเต้ที่ดี
“เจ้าจะเลือกข้าต่อหน้ายู่จุนไหม?”
ซ่านเซิ่งหานจับมือของนางไว้อย่างบังอาจ แต่ก็จับผ่านผ้ากดบนใบหน้าของเขาไว้
“คนบ้าเลือกฮ่องเต้ไม่ได้ มีเพียงฮ่องเต้ที่สามารถเลือกฮ่องเต้ได้”
ปล่อยให้เขาจับมือของตนเองไว้อยู่แบบนี้ กู้อ้าวเวยมองดูเขาอย่างรู้สึกผิดพร้อมพูดว่า “แต่ความรักของเจ้า ข้าพูดได้เพียงว่าขอโทษ”
ซ่านเซิ่งหานไปจากตำหนัก มองดูหิมะโปรยปราย
แล้วก็คิดถึงตอนนั้นที่เขากับกู้อ้าวเวยอยู่ในสนามรบด้วยกัน…. ฆ่าคนอย่างไร้เงา