เมื่อถึงยามค่ำคืน ด้านนอกห้องแขวนเต็มไปด้วยตะเกียงโคมไฟ ส่องสว่างถนนตรอกซอย ปิดเมืองเทียนเหยียน พวกทหารทั้งหมดเดินอยู่บนถนน เฝ้าอยู่ด้านนอกทุกบ้าน ไม่ให้ใครทานอาหารหรือดื่มน้ำเข้าไป เมื่อนับจำนวนคนที่ถูกพิษแล้ว ก็สืบตรวจจำตัวคนที่วางพิษในตอนกลางคืน แล้วนำตัวไปที่จวนอ๋องจิ้ง
และก็ในเวลานี้ ประตูหน้าต่างทั้งสองฝั่งถนนก็ถูกเปิดออก กลับไม่มีใครเดินออกมาสักคน เพียงแค่มองดูเหตุการณ์บนถนน
ฉางอีฉินสวมเสื้อคลุมที่เปื้อนไปด้วยเลือดของญาติพี่น้อง เขียนความอยุติธรรมของตระกูลฉางตลอดหลายปีมานี้ลงบนถนน
โคมไฟสีแดงแขวนไว้บนที่สูง แต่ก็ใหญ่ไม่เท่าคำว่าอยุติธรรมตัวโตที่นางเขียนไว้
พวกทหารเห็นแล้วต่างก็ไม่แสดงสีหน้าใดใด มองดูนางสั่นอยู่บนพื้นอย่าเงียบๆ น้ำตานองเลือด
แสงรุ่งอรุณบนฟ้า ผู้หญิงที่ร่างกายเปื้อนไปด้วยเลือดคุกเข่าอยู่บนพื้น ถนนยาวสิบลี้ เต็มไปด้วยอักษรเลือด
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ องค์ชายสามก็ได้ส่งคนมาล้างอักษรเลือดที่ยาวกว่าสิบลี้นี้ กลับถูกคนของซ่านจินจื๋อขวางไว้ มองไปที่กำแพงพระราชวังสูงตรงปลายถนนยาว เงยหน้ามองเห็นฝูงนกบินออกไปไกล พร้อมพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า
“น่าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงความยุติธรรมบนโลกนี้ เริ่มต้นจากถนนยาวสิบลี้ในวันนี้ เพื่อเป็นการฟื้นฟู”
กลับเล่มยาวในมือซ่านจินจื๋อร่วงหล่นจากมือ อักษรเลือดทางด้านหลังถนนยาวเต็มไปจนถึงสุดปลาย แสงสว่างสาดส่องบนคมดาบนั่น ทุกคนโผล่หัวออกมาดู แล้วก็ได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “ประชาชนเลี้ยงดูข้า ปกป้องผืนแผ่นดินตั้งแต่วัยเยาว์ ตอนนี้ป่วยเหมือนกับประชาชน หากไม่ได้ยาถอนพิษ ข้าก็จะยอมรับความทุกข์จากภัยพิบัตินี้ ยืนหยัดอยู่ตรงนี้ เฝ้าปกป้องผืนแผ่นดินนี้”
เงียบสงบไปทั่วทั้งเมือง พวกเหล่าทหารต่างก็หันมามอง
มองดูเขาสั่งคนเอาน้ำกับอาหารต่างๆนานามา ทานลงไปทั้งหมด อย่างไม่พูดอะไรสักคำ
ทานเข้าไปจนแทบอ้วก ค่อยยอมหยุด
ซ่านเชียนหยวนตื่นตกใจมาแต่ไกล รู้ดีว่าต่อให้เข้าไปห้ามก็ไม่ทันแล้ว จึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วก็เดินไปหาฉางอีฉิน ประคองนางลุกขึ้นมาจากพื้น กลับได้ยินนางพูดปฏิเสธว่า “สิ่งที่เก็บกดมานับร้อยปี วันนี้ได้ถูกปลดปล่อยแล้ว”
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้….. คนในครอบครัวของเจ้ายังไม่ถูกนำไปฝัง…..”
“ไม่รีบร้อนในตอนนี้ ความอยุติธรรมที่ได้รับเป็นเวลานานจะได้รับความยุติธรรม มีคนยอมช่วย ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากและมีค่ามาก” ฉางอีฉินลืมตาขึ้น ดวงตาแดงก่ำ มองดูซ่านเชียนหยวนพร้อมพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “ความเป็นสามีภรรยาของข้ากับท่านอ๋องจบสิ้นแล้ว มีเพียงเรื่องนี้ หากไม่ได้รับความยุติธรรมจะยอมถอยไม่ได้เด็ดขาด ขอบคุณในน้ำใจไมตรีของอ๋องจงผิง”
นางโค้งคำนับแรงๆหนึ่งที จนซ่านเชียนหยวนรู้สึกหายใจติดขัด แล้วก็พูดอะไรไม่ออก
เวลานี้มีทหารคนหนึ่งเดินมาหาซ่านจินจื๋ออย่างเร่งรีบ พูดกระซิบขึ้นว่า “ฮ่องเต้ยังอยู่นอกเมืองเข้ามาไม่ได้ จะ….”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงระฆังภายในพระราชวังดังขึ้น
ประตูเมืองถูกเปิดออก พวกทหารรักษาพระองค์ขี่ม้าออกมา มีจำนวนหนึ่งมาหยุดตรงหน้าซ่านจินจื๋อ พูดขึ้นด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า “ฮ่องเต้เสียพระทัยอย่างสุดซึ้ง อาการป่วยทรุดหนักเช้าวันนี้….สวรรคตแล้ว…..”
พูดเสร็จ แล้วน้ำตาก็ร่วงไหล
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ซ่านจินจื๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เข้าใจความหมายของซ่านเซิ่งหานแล้ว จึงกระซิบถามขึ้นว่า “ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงกำลังเตรียมพิธีพระศพให้กับฮ่องเต้”คนคนนั้นเช็ดน้ำตา แล้วก็สั่งคนประกาศข่าวการสวรรคตของฮ่องเต้ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ภัยพิบัติเช่นนี้ ไม่มีใครต้องแขวนผ้าสีขาวตรงหน้าประตูเพื่อไว้อาลัย
มีคนตะโกนพูดขึ้นว่า “โอรสมังกรสวรรค์สวรรคตแล้ว ภัยพิบัติจากสวรรค์นี้ เมื่อโอรสมังกรสวรรค์กลับไปแล้ว ทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ไข”
บางทีอาจจะเป็นคนที่ซ่านเซิ่งหานเตรียมไว้แล้วแต่แรก หรืออาจจะเป็นคนในยุทธภพที่ทำเพื่อให้ได้เงินมาเพียงไม่กี่ตังเท่านั้น ซ่านจินจื๋อยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองดูแสงสว่างตรงขอบฟ้าที่สาดส่องตา จนทำให้เขาน้ำตาไหล พูดกับทหารที่อยู่ด้านข้างด้วยเสียงต่ำว่า “ฮ่องเต้สวรรคตแล้ว เจ้าเข้าใจไหม?”
คนคนนั้นอึ้ง แล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “กระหม่อมเข้าใจ จะรีบแอบส่งคนเข้าไปในพระราชวัง ถามองค์ชายสามว่าควรจะทำอย่างไร”
ต้วนโฉงใช้เวลากว่าสิบปีเพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีของซ่านจินจื๋อกับซ่านเซิ่งหาน
ส่วนซ่านเซิ่งหานฉวยโอกาสนี้ชิงบัลลังก์ฮ่องเต้ หักหลังเสด็จพ่อ เพียงชั่วข้ามคืน
ประตูเมืองยังไม่ได้ถูกเปิด นอกประตูเมืองกลับมีสองกองกำลังทหารเจอตัวต้วนโฉง แล้วก็พาตัวเข้าไปไว้ในหมู่ตึก พร้อมทั้งเอาศพของยู่จุนกับหยูนซีไปด้วย
ภายในพระราชวัง ตงฟางฮองเฮามองดูศพที่อยู่ในโลงศพ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อปิดฝาโลง ก็ไม่มีใครรู้อีกว่าคนที่อยู่ในนั้นเป็นต้วนโฉงจริงหรือไม่ ส่วนซ่านเซิ่งหานกลับยืนอยู่ข้างตงฟางฮองเฮา ฟังเสียงร้องไห้ของพวกนางสนมด้านนอก และเสียงร้องไห้น้องชายน้องสาวที่ยังเด็กร้องเรียกหาเสด็จพ่อ จึงพูดขึ้นว่า “ตงฟางฮองเฮา ต่อไปก็จะเป็นเสด็จแม่ของข้า”
ปลายนิ้วตงฟางฮองเฮากำไว้แน่น ร้องไห้พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ขอเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมหาศาล แต่ขอให้แผ่นดินเกิดรุ่งเรือง ขอฮ่องเต้คิดถึงความดีความชอบของตระกูลตงฟางที่มีมานานหลายปี….”
ซ่านเซิ่งหานอึ้งเล็กน้อย แล้วค่อยหันกลับมาพูดกับนางว่า “ข้า ยินดีรับใช้เสด็จแม่”
ตงฟางฮองเฮายังคงร้องไห้ไม่หยุด มีเพียงรับปากซ่านเซิ่งหานเช่นนี้ นางถึงจะสามารถรักษาชีวิตของคนตระกูลตงฟางพวกนั้นไว้ได้ และเพราะเหตุนี้ นางไม่สามารถเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดท่านอ๋องได้อีกต่อไป ชั่วชีวิตนี้จะต้องอยู่ในที่โศกเศร้านี้ไปตลอด มองดูโลงศพนั่นถูกคนนำออกไปจากพระราชวัง นางพูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า “ตลอดชีวิตนี้ ข้าไม่เคยได้ความจริงใจจากเขาเลย กลับต้องเสียน้ำตาให้เขามาทั้งชีวิต เห็นความเหงามาครึ่งชีวิต ท้ายที่สุด….ไม่ยุติธรรม”
ซ่านเซิ่งหานลุกขึ้นยืน เพียงแค่มองดูโลงศพนั่นร่วงหล่นอย่างไม่พูดไม่จา
เริ่มตั้งแต่เสด็จพ่อส่งตระกูลฉางมาให้กับเขา ได้เขียนชื่อของเขาไว้ในกล่องไม้ เขาก็รู้แล้วว่าตนเองไม่จำเป็นต้องดิ้นรน ไม่จำเป็นต้องถ่อมตนเฉียบขาดอีก
มีเพียงเวลานี้ เขาไม่กล้าให้เสด็จพ่อกลับมาอีก….เมื่อกลับมา เขาจะต้องฆ่าคนอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่เป็นความอัปยศของราชวงศ์
ถึงแม้ซ่านจินจื๋อจะมีแผนที่ดีกว่า เอาเรื่องยาอายุวัฒนะอาศัยมือของฉางอีฉินเขียนลงไป เขาจึงต้องฉวยโอกาสก่อน ยึดบัลลังก์นี้ไว้ในมือให้แน่น แม้จะต้องถูกด่าประณาม ก็จะยังแก้ไขบาปกรรมที่หลงเหลือจากรุ่นสู่รุ่นนี้ให้หมด
ต่อให้ไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด ก็จะต้องลองให้ถึงที่สุด
เป็นความตั้งใจที่อยากจะได้เป็นฮ่องเต้ตั้งแต่แรก
เรื่องต่างๆภายในพระราชวังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เมื่อซ่านจินจื๋อมาหาในตอนค่ำคืนก็เป็นอย่างที่คิดไว้แต่แรกแล้ว
คนในเมืองส่วนใหญ่ต่างก็หิวแต่ก็กลัวต่างก็ไม่กล้ากิน ของกินที่เหลือจางเหยียงซานกับจี้ซื่อถางต่างก็ตรวจสอบดู แล้วค่อยแจกจ่ายประชาชน ฉางอีฉินก็ถูกซ่านเซิ่งหานเรียกให้เข้าวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิง ซ่านเชียนหยวนจึงขอไปจากเมืองเทียนเหยียน ไปช่วยเมิ่งซู่จัดการเรื่องอย่างอื่น และเอาสูตรยาของจางเหยียงซานส่งไปทุกที่
มีองค์ชายสองคนช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง พวกประชาชนจึงไม่มีคนถูกพิษเพิ่มขึ้นอีก ต่างก็ค่อยสบายใจขึ้น
ซ่านจินจื๋อจึงฉวยโอกาสกลับจวนไปหากู้อ้าวเวย
เมื่อกลับมาถึงห้อง กลับเห็นฝาโลงน้ำแข็งเปิดอยู่ ร่างกายครึ่งตัวของกู้อ้าวเวย ถูกยู่จือกอดไว้แนบกาย พร้อมหลับตาไว้
“เจ้าทำอะไร”ซ่านจินจื๋อเดินมาผลักยู่จือ
ยู่จือล้มนั่งกับพื้น ซ่านจินจื๋อกลับร้องเรียกชื่อของจางเหยียงซานอย่างทำอะไรไม่ถูก แล้วก็เอาตัวกู้อ้าวเวยค่อยวางในโลงน้ำแข็ง นวดท้ายทอยให้กับนางเบาๆ ให้นางนอนราบอยู่บนยาสมุนไพรเป็นชั้นๆ แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน
จางเหยียงซานได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งมา สะดุดธรณีประตูแล้วถึงค่อยมองเห็นยู่จือที่อยู่ด้านข้าง และเห็นท่าทีบ้าคลั่งของซ่านจินจื๋อ จึงรีบพูดขึ้นว่า “เป็นข้าเองที่ให้ยู่จือวางยาให้นางฟื้นขึ้นมา เมื่อกี้นางฟื้นขึ้นมาบอกชนิดยาสมุนไพรหลายตัวที่สามารถใช้ได้ สามารถถอนพิษนี้ได้”
“นางเป็นถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้ายังกล้า”ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง
ยู่จือที่อยู่ด้านหลังตกใจอย่างมาก รีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังจางเหยียงซาน และจางเหยียงซานเอก็โกรธอย่างมาก เดินหน้าไปกระชากซ่านจินจื๋ออย่างโมโห พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ามีสติหน่อย ข้าเป็นศิษย์ของนาง ข้าเข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นหมอคนหนึ่งดี หากพิษนี้ไม่มียาถอนพิษ เมื่อนางฟื้นขึ้นมารู้ว่ามีคนตายเป็นพันหมื่นคน ในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง ข่าวนี้จะทำให้นางทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น”
“เจ้าพูดว่า นางจะมีวันฟื้นขึ้นมา…..”ซ่านจินจื๋ออึ้ง
จางเหยียงซานหายใจเข้าลึกๆ ผลักเข้าไปด้านข้าง แล้วค่อยๆปิดฝาโลงน้ำแข็งพร้อมกับยู่จืออย่างระมัดระวัง และพูดพึมพำว่า “จะต้องได้แน่นอน”