บทที่ 62 เป็นวิญญาณติดตามไม่ห่างจริงๆ
พึ่งจะออกมาจากบ้านตระกูลฉินได้ไม่นาน ฉินอีหลินพ่นลมหายใจออกมา
ห้าปีก่อน เธอเลือกที่จะเก็บกระเป๋าของเธอเดินหนีออกมาจากตรงนั้น
ถึงตอนนี้เธอยังจำใบหน้าลำพองใจของคุณนายฉินและฉินหลันซูได้
แต่ต่อมา ในตอนที่เธอก้าวเหยียบบ้านตระกูลฉินอีกครั้ง เธอก็ได้เห็นคุณนายฉินที่แทบจะเป็นประสาท และยังเห็นฉินหลันซูผู้ได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อน
เพียงแต่เธอในตอนนั้น อาศัยแต่ลี่โม่อวี่ คนคนนั้นสามีที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันเพียงข้อตกลงแต่งงานระหว่างกันเท่านั้น
ทว่าตอนนี้ เธอกลับมาเข้มแข็งและแข็งแกร่งจนฉินหลันซูกลัวจนตัวสั่นได้สำเร็จ ถึงขั้นล้มไม่เป็นท่า
ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ สวรรค์รู้ว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมา เพราะการปรับเปลี่ยนนั้น เธอต้องทุกข์ทรมานมากแค่ไหน
แต่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ ตอนนี้ฉินอีหลินมีทุนและความสามารถเป็นของตัวเอง คนพวกนั้นที่เคยเหยียบย่ำหรือกระทั่งคนที่เคยคิดจะเหยียบย่ำเธอนั้น จะต้องได้ชดใช้
“ไปบริษัท”
หันไปมองบ้านตระกูลฉินที่เล็กลงเรื่อยๆ เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ
เดิมทีฉินอีหลินไม่ได้คิดจะจัดการกับฉินหลันซู ไม่ว่ายังไง ฉินตงไห่ก็ดีกับเธอด้วยใจจริงๆ และเขามีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง
แต่เธอไม่คิดว่า ฉินหลันซูจะกล้าถึงขั้นลักพาตัวเธอไป
ปิดตาลงเบาๆ ฉินอีหลินตั้งใจจะสงบสติอารมณ์สักหน่อย บนโต๊ะทำงานยังมีเอกสารมากมายรอให้เธอจัดการ
แต่ยังไม่ทันได้กี่นาที เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกเธอให้ลืมตาขึ้นมา “เสี่ยวเซวียน มีอะไรหรือเปล่า?”
“พี่ พี่อยู่ที่ไหน?”
หลงอี้เซวียนได้ยินเสียงพี่สาวของตัวเองจึงได้พ่นลมหายใจออกมา แต่เขาก็ยังต้องรีบถามตำแหน่งที่อยู่ของพี่สาว
“ตอนนี้ฉันถึงห้างสรรพสินค้าวิคแล้ว มีอะไรหรือเปล่า?”
ได้ยินน้ำเสียงรีบร้อนของน้องชายตัวเองแล้ว ฉินอีหลินยังคงมึนงง
“ไม่มีอะไร ตอนนี้พี่อย่าขยับ ผมกำลังจะไปรับพี่ อย่าขยับเด็ดขาด!”
“ไม่ ทำไม……”
ฉินอีหลินยังพูดไม่ทันจบ โทรศัพท์ได้ยินเพียงเสียงสัญญาณ ตู๊ด..ตู๊ด ตอบกลับมา
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน เธอเอ่ยปากบอก “หยุดรถ”
หลงอี้เซวียนที่รีบร้อนมาถึงเห็นรถพี่สาวของตัวเองหยุดอยู่ตรงนั้น พลันพ่นลมหายใจยาวๆออกมาอย่างโล่งใจ รีบบีบแตรส่งสัญญาณ
ฉินอีหลินได้ยินเสียงแตรรถจึงยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา เธอลงรถแล้วก้าวเดินไปหารถคันนั้น
“พี่ ขึ้นรถ”
ฉินอีหลินปิดประตูรถ มองดูใบหน้าเคร่งเครียดของน้องชายตัวเอง เอ่ยถามอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “บอกพี่มา เป็นอะไร?”
“พี่ดูสิ กระดุมเม็ดนี้มีอะไรแปลกไป”
หลงอี้เซวียนไม่ได้ตอบคำถามของฉินอีหลิน เขาเพียงหยิบกระดุมหนึ่งเม็ดออกมาจากกระเป๋าให้พี่สาวของเขาดู
ฉินอีหลินรับกระดุมเม็ดนั้นที่ดูจะสำคัญมากไปดู มองดูให้ละเอียดอีกครั้ง มองดูด้านหน้าจุดนั้นบอกเธอว่ามันไม่เหมือนกับเม็ดอื่นๆ มองดูลักษณะของมันให้ละเอียดอีกรอบ เธอจึงถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ “ทำไมถึงมีตัว K?”
ท่าทางหลงอี้เซวียนเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขากัดริมฝีปากแน่น ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยออกมา
“ผมเคยได้ยินพ่อบอกว่า ยี่สิบปีก่อน ตอนที่พี่โดนลักพาตัวไป แม่ก็เคยเห็นสัญลักษณ์แบบนี้ ผมโทรไปบอกพ่อกับแม่แล้ว พวกเขาน่าจะใกล้ถึงแล้ว”
“พ่อแม่กำลังจะถึงแล้ว?”
ฉินอีหลินไม่คิดว่าแค่กระดุมเม็ดเล็กๆเม็ดเดียว ถึงขั้นทำให้พ่อกับแม่ทิ้งงานที่อังกฤษกลับมาเมืองกั่งซื่อ
เธอหัวเราะร่า พิงประตูรถพร้อมเอ่ย “พวกนายอาจจะกลัวเกินไปหรือเปล่า โลกใบนี้ไหนจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้?”
“พี่อ่ะ!”
หลงอี้เซวียนท่าทางร้อนรน กัดฟันมองพี่สาวที่ไม่ได้มีท่าทีทุกร้อนอะไร “ไม่ใช่ พี่คิดดูนะ มีใครจะว่างจนมาเขียนตัวอักษรบนกระดุมเล่นแบบนี้?”
มองดูใบหน้านิ่งเรียบไม่ทุกร้อนของพี่สาว หลงอี้เซวียนจึงเอ่ยต่อ “คำสั่ง”
“ตามคำสั่งของแม่ ช่วงนี้พี่ต้องอยู่กับผม ไม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียว จำไว้ว่าห้ามออกจากระยะสายตาของผม มีเรื่องอะไรต้องรีบบอก โทรศัพท์ต้องติดต่อได้ตลอดเวลา…….”
“หยุด!”
ฉินอีหลินนวดหน้าผากตัวเองอย่างปวดหัว ทำไมอยู่ดีๆถึงได้กลายเป็นนักโทษไปแล้วล่ะ “คืนนี้พี่มีงานเลี้ยงที่ต้องไปร่วม”
“ยกเลิกซะ”
“ไม่ได้”
ฉินอีหลินพยายามอธิบายให้น้องชายตัวเองฟัง “งานนี้เป็นงานที่ตั้งแต่พี่กลับเมืองกั่งซื่อมา เป็นสัญญาที่มีความสำคัญที่สุด จะยกเลิกง่ายๆได้ยังไง”
“อะไรก็ไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของพี่หรอก”
หลงอี้เซวียนที่นานๆจะจริงจังกับอะไรสักอย่างนั้นไม่มีทางยอมง่ายๆแน่ เขาเสียพี่สาวที่น่ารักแบบนี้ไปตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว จะไม่ยอมเสียไปอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพ่อกับแม่ก็คงยอมรับไม่ได้ที่ต้องเสียลูกสาวที่รักไปเป็นครั้งที่สอง
“โอเคโอเค พี่รู้แล้ว”
ฉินอีหลินยกมือขึ้นสองข้าง ยอมแพ้ให้แก่น้องชายของตัวเอง จริงๆเธอรู้ดีไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือหลงอี้เซวียน พวกเขาต่างเป็นห่วงเธอจริงๆ
หัวใจอุ่นวาบ ใบหน้าของเธอบอกไม่ถูกถึงความอ่อนโยน
แต่ก่อนเธอยังคิดว่าเป็นคุณนายฉินและฉินหลันซูทำ แต่ดูเหมือนเธอจะเดาผิดไปแล้ว
มือซ้ายจับยึดข้อมือขวาเอาไว้แน่น เธอนึกถึงโรงงานร้างนั่นและคำพูดหยาบคายพวกนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดยังคงดังก้องชัดเจนอยู่ข้างหู มีเพียงคนตระกูลหลงเท่านั้นที่รู้ว่ากว่าเธอจะสลัดเงาดำพวกนั้นที่กอบกุมจิตใจเธอทิ้งไปได้ เธอต้องทุกข์ระทมขนาดไหน
ตอนแรก เธอแทบไม่สามารถเจอผู้ชายคนไหนได้เลย กระทั่งดูโทรทัศน์หรือได้ยินเสียง แค่เพียงเป็นเสียงของผู้ชายหรือแม้แต่เงาก็ทำให้เธอประสาทได้
ราวกับมีมือใหญ่ที่สัมผัสแตะต้องไปทั่วทั้งตัว เธอจิกทึ้งผิวตัวเองราวบ้าไปแล้ว เพื่อลบรอยพวกนี้
เธอเมื่อห้าปีก่อนนั้นราวกับคนบ้า ร่างกายเต็มไปด้วยแผลที่แตะต้องแทบไม่ได้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีครอบครัวคอยให้กำลังใจและสนับสนุน เกรงว่าเธอคงไม่มีทางเดินออกมาจากความทรงจำที่มืดมิดนั้นได้แน่
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนเป็นเพราะคนพวกนั้นสร้างขึ้นมา เธอจะต้องให้พวกเขาได้รับผลที่ควรจะเป็น
หลงอี้เซวียนมองเห็นสีหน้าของพี่สาว ก็รู้ว่าเธอกำลังนึกถึงเรื่องพวกนั้น จึงขับรถต่อไปเงียบๆ
เขาก็ไม่มีทางที่จะลืมมันได้ ตอนนั้นที่พี่สาวอ่อนแอจนกระทั่งเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้
หลายปีมานี้เขายอมปล่อยพวกมันให้มีชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ ก็เพื่อให้พี่สาวของเขาได้ลงมือแก้แค้นด้วยตนเอง
มาถึงบริษัท หลงอี้เซวียนพึ่งจะจอดรถ ฉินอีหลินมองเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าบริษัท
ความจริงหลงอี้เซวียนมีความรู้สึกต่อผู้ชายคนนี้ยังสับสน ด้านหนึ่งเขาชื่นชมในการจัดการเรื่องต่างๆของลี่โม่อวี่
แต่อีกด้าน เขาก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พี่สาวของเขาโดนทำร้าย สองข้อนี้ทำให้ทุกครั้งที่เจอกันกับลี่โม่อวี่นั้นเขารู้สึกไม่เป็นสุข
คิ้วคมขมวดเข้าหากัน หลงอี้เซวียนเสียง หึ เบาๆในลำคอ “เป็นเงาติดตามไม่ห่างเลยจริงๆ”