บทที่ 93 ใช้เสร็จก็ทิ้ง
ฉินอีหลินมองชิวหันเยียนไปตลอดจนกระทั่งเธอลับสายตาไป ในหัวของเธอตอนนี้คิดแต่คำพูดของชิวหันเยียนที่พูดทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะจากไปพร้อมด้วยใบหน้าที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด จึงทำให้เธออดที่จะขมวดคิ้วขึ้นแน่นไม่ได้
เธอไม่รู้แม้แต่นิดเลยว่าชิวหันเยียนพึ่งใบบุญใครกันอยู่แน่ ถึงได้กล้าลักพาตัวเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนั้น แถมเธอยังไม่กลัวที่เธอจะเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ลี่โม่อวี่ฟังเลย หรือถึงเธอจะพูดไปชิวหันเยียนก็ไม่แคร์เลยงั้นหรือ?
ฉินหันเยียนคิดไปคิดมาก็รู้สึกสับสนมึนงง เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดแล้วล่ะ
ดูเหมือนว่าการลักพาตัวครั้งก่อนนั้น ก็บอกไม่ได้ว่ามันดูง่ายเลยแม้แต่นิด
เพียงแต่เธอไม่ได้กลัวเลยนี้เลยสักนิด ฉินอีหลินกำหมัดแน่น สายตาจ้องเขม็งไปที่หน้าประตูพลางคิดว่า เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่
ขณะนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออก ลี่โม่อวี่เดินพุ่งเข้ามาในห้องอย่างไม่หยุดฝีเท้า พอเห็นว่าในห้องเหลือเพียงแค่ฉินอีหลินคนเดียว เขาก็ยื่นโค้กในมือไปให้ ก่อนจะขมวดคิ้วถามขึ้น : “แล้วเธอคนนั้นล่ะ?”
“ไปแล้วล่ะ” ฉินอีหลินเก็บสายตาของเธอลง ก่อนจะหยิบโค้กมาแล้วตอบกลับไปอย่างเรียบเฉย
ลี่โม่อวี่เดินมาอยู่ข้างๆ ฉินอีหลิน พอเห็นท่าทีสีหน้าที่เรียบเฉยของเธอ เขาก็ไม่ได้ระแคะระคายอะไรขึ้น : “แล้วเธอมาหาคุณทำไมล่ะ?”
“จะถามเยอะทำไมล่ะ? มันไม่ได้เกี่ยวกับคุณสักหน่อย?” ฉินอีหลินตอบกลับไป โดยไม่แม้แต่จะมองลี่โม่อวี่เลย
ลี่โม่อวี่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ ตอนแรกเขาคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนน่าจะดีขึ้น หลังจากจูบเมื่อสักครู่นี้แล้ว แต่เธอกลับเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วเหลือเกิน “เป็นอะไรไปล่ะ? พอใช้ประโยชน์จากผมเสร็จ ก็คิดจะทิ้งผมเลยงั้นหรือ?”
“ใครใช้ประโยชน์จากคุณกัน?” ฉินอีหลินรีบพูดให้เข้าใจ พอเห็นหน้าที่กึ่งยิ้มของลี่โม่อวี่ ฉินอีหลินก็รู้สึกกังวลใจก่อนจะบ่นพึมพำขึ้น : “ทำไม คุณคิดว่าคุณได้เปรียบหรือไง?”
พอคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ฉินอีหลินก็หน้าร้อนผ่าวทันที ถ้าหากไม่ใช่เพราะชิวหันเยียนมาล่ะก็ เธอคงจะไม่มีทางจูบกับลี่โม่อวี่แน่ๆ
เพียงแต่เดิมทีตัวเธอเองนั้นคิดจะใช้ประโยชน์จากลี่โม่อวี่ เพื่อทำให้ชิวหันเยียนอิจฉาอยู่แล้ว แต่พอมาดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวังไว้
นี่เธอให้ลี่โม่อวี่ได้เปรียบอย่างเปล่าประโยชน์เลยด้วยซ้ำ!
ลี่โม่อวี่ที่รู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบ ก็พูดอวดฉลาดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง : “แน่นอนสิ!”
ฉินอีหลินเลือดขึ้นหน้า ลี่โม่อวี่คนนี้ช่างมีความสามารถในการหาเรื่องเธอจริงๆ เธอจึงปล่อยให้ลี่โม่อวี่พูดอยู่คนเดียวแบบนั้นไป
ลี่โม่อวี่เองก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร ตรงกันข้ามยังดูท่าทีพึงพอใจอีกด้วย เขาเดินเข้ามาโอบไหล่ของฉินอีหลินไว้ ฉินอีหลินเองก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของเขาตามแรงที่เขาดึงไป ก่อนที่เขาจะถามหยอกๆ ขึ้น : “ทำไมล่ะ? ใช้ประโยชน์ผมเสร็จแล้ว ไม่คิดที่จะชดเชยให้ผมหน่อยหรือไง?”
“ประตูอยู่ด้านขวาของคุณ ฉันไม่ไปส่งนะ” ฉินอีหลินไม่อยากจะพูดอะไรไร้สาระกับลี่โม่อวี่อีก จึงรีบพลิกตัวหนีไปทันที
“อีหลิน นี่คุณทำกับผมแบบนี้เป็นปรกติใช่ไหมเนี่ย?” ตอนนี้ลี่โม่อวี่รู้สึกเหมือนหมดซึ่งเรี่ยวแรง เขาสาบานเลยว่าถึงแม้ในธุรกิจ จะมีอุปสรรคและความยุ่งยากมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย อีกอย่างฉินอีหลินก็เป็นคนที่เขารักที่สุด อีกทั้งเป็นผู้หญิงที่เขาไม่อยากจะทำร้ายมากที่สุด
ฉินอีหลินนิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อนอะไร เธอไม่ได้พูดเรื่องที่ชิวหันเยียนลักพาตัวเลยด้วย เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นความขัดแย้งกันระหว่างเธอกับชิวหันเยียนเท่านั้น
ส่วนระหว่างเธอกับลี่โม่อวี่ไม่มีทางที่จะคบค้าสมาคมกันไปมากกว่านี้ได้แน่นอน ฉินอีหลินเงยหน้ามองสบตากับลี่โม่อวี่ คนข้างหน้าเธอมีทั้งความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยรักและอดรนทนไม่ได้ ส่วนเธอเองกลับทำหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกเลยว่าสุขหรือเศร้า
“ลี่โม่อวี่ พวกเราต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเองนะ คุณเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดใช่ไหม?”
พอได้ยินคำพูดแบบนั้น ลี่โม่อวี่ก็รู้ว่าฉินอีหลินกำลังจะพูดอะไรต่อ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะพูดอย่างไม่เต็มใจ : “ก็ได้ๆ ผมออกไปก็ได้ คุณเองก็พักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะมาเยี่ยมคุณอีกทีตอนดึกๆ นะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ หากลี่โม่อวี่ได้ยินฉินอีหลินพูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนของพวกเขาแบบนี้ เขาคงจะโมโหโกรธา แล้วบังคับให้เธออย่าพูดอะไรแบบนี้อีกไปแล้ว
แต่ตอนนี้ลี่โม่อวี่ไม่ได้อยากจะไปบีบบังคับอะไรเธอ เพราะเขาเชื่อว่าฉินอีหลินมีความรู้สึกดีให้เขา เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางเปลี่ยนไปหรือหายไปตามกาลเวลาแน่นอน เขาจึงรอได้
ฉินอีหลินมองดูภาพแผ่นหลังของลี่โม่อวี่อย่างตกตะลึง พูดอะไรไม่ออก
แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าและร้อนแรงก็พุ่งผ่านทะลุเข้ามาในห้อง ซึ่งดูสงบและทำให้ใจเย็นลงได้
ฉินอีหลินออกกำลังกายจนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เธอก็นอนกลับไปที่เตียงอีกครั้ง พลางคิดว่าอีกไม่กี่วันก็น่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
วิวทิวทัศน์ที่เห็นเป็นเทือกเขาสูงใหญ่สลับซ้อนกันไปมา เป็นป่าไม้ที่ดูเขียวขจี มีเสียงนกต่างๆ ดังอื้ออึง อีกทั้งเส้นทางตีนเขาที่คดเคี้ยวไปด้านหน้า แทบไม่มีคนเดินอยู่เลย ที่สุดทางของถนนเส้นนั้นมีบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ตกแต่งด้วยกำแพงสีขาวและกระเบื้องสีแดง หลบซ่อนอยู่ในหุบเขา รอบๆ นอกจากเสียงนกเสียงไม้แล้ว ก็แทบไม่เห็นร่องรอยของคนอยู่เลย
พอมองจากระยะไกลแล้ว ที่นั่นเหมือนกับสถานที่สำหรับคนรวยมาพักผ่อน ที่ปีหนึ่งมาพักผ่อนแค่ไม่กี่รอบเท่านั้น บรรยากาศดูเงียบสงบอย่างมาก
การตกแต่งภายในบ้านตากอากาศหลังนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว ส่วนที่ห้องใต้ดินของบ้านหลังนั้นบรรยากาศก็ดูคึกคัก แสงไฟต่างๆ ก็ส่งสว่างจ้าไปทั่วโลกใต้ดินที่มืดมิดนั้นทันที
ที่แห่งนั้นต่างก็มีเหล่าหญิงชายชุดขาวกำลังรับส่งไปมาอยู่ในห้องทดลองตัวอย่างขนาดใหญ่นั้น ซึ่งมีนักทดลองที่ยังวัยรุ่นอยู่หนึ่งในนั้นกำลังดูเซลล์เม็ดเลือดแดงแยกไปมาในกล้องจุลทรรศน์อยู่ จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือรายงานตัวอย่างเลือดของฉินอีหลินมาดู แล้วก็มองไปทางเซลล์เม็ดเลือดแดงที่กล้องจุลทรรศน์ไปด้วย
สิ่งที่พวกเขาพูดไว้ไม่มีผิดจริงๆ เซลล์เม็ดเลือดของฉินอีหลินไม่เพียงแต่ฟื้นฟูได้สำเร็จเท่านั้น แต่ยังวิวัฒนาการได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย
พอนักทดลองคนนั้นพูดออกมา คนในห้องทดลองทั้งหมดต่างก็อึกทึกครึกโครมกันทันที พวกเขาอยู่ในห้องทดลองใต้ดินนี้มาไม่เห็นตะวันเห็นเดือนมานานแล้ว พอได้ยินรายงานแบบนี้ มันช่างเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขาเหลือเกิน!
จากห้องใต้ดินที่กำลังทำงานกันอย่างเงียบๆ แต่เดิม พอได้ยินข้อมูลเซลล์เม็ดเลือดของฉินอีหลินเท่านั้น ต่างก็ลิงโลดกันด้วยความดีใจ จนพวกเขาอดไม่ได้อยากที่จะไปจับตัวของฉินอีหลินมาตรวจดูให้เห็นด้วยตาตัวเอง
พวกเขารีบส่งคนออกไปบอกข่าวนี้อย่างรวดเร็ว ให้กับคนที่กำลังรอผลวินิจฉัยเป็นคนสุดท้าย
ที่ด้านหน้าโต๊ะสำนักงานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง มีผู้ชายลักษณะเป็นคนต่างประเทศวัยกลางคนๆ หนึ่ง เขาเพิ่งจะวางเอกสารตัวอย่างเลือดของฉินอีหลินลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบขึ้นมาดูใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ใบหน้าที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวประกอบกับรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็นโดยเฉพาะของเขา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตัวอย่างทดลองกลุ่มหมายเลข H1 จะยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังสมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการค้นพบครั้งใหญ่
ชายวัยกลางคนหันไปสั่งกับ Abner ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาว่า : “ตอนนี้อย่าเพิ่งทำลายตัวอย่างหมายเลขนี้เด็ดขาด ให้ส่งคนไปสืบดูชีวิตประจำวันก่อนว่ามีอะไรที่เหมือนคนปรกติทั่วไปบ้าง”
Abner ยืดหลังตรง สายตาจ้องไปด้านหน้า พอเขาได้ยินคำสั่งเขาก็รีบตอบรับขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วก็อย่าลืมจัดการเรื่องให้เรียบร้อยด้วย อย่าให้คนอื่นรู้ถึงเรื่องห้องทดลองเด็ดขาด”
Abner พยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไปอย่างรวดเร็ว
ชายวัยกลางคนที่เหลืออยู่คนเดียวในห้องตอนนี้ยังไม่รู้สึกผ่อนคลายลงแม้แต่นิด เพราะการปรากฏตัวของฉินอีหลินนั้นมีผลกระทบขนาดใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากกลุ่มทดลองหมายเลข H1 สามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบล่ะก็ กำลังทหารของประเทศชาติต้องพิชิตคู่ต่อสู้ประเทศอื่นๆ ได้แน่ๆ