บทที่ 102 ฆ่าฉินอีหลิน
“พี่เยียนข้างนอกมีคนมาหาครับ”
บอดี้การ์ดของคลับเดินเข้ามาเคาะประตูห้องพักของชิวหันเยียน เอ่ยบอกอย่างนอบน้อม
ชิวหันเยียนไขว่ห้าง สูบบุหรี่ เอ่ยอย่างโมโห “ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ห้ามรบกวน”
ช่วงนี้เธอยุ่งมาก ฉินอีหลินรู้ว่าเธอเป็นคนจับตัวหล่อนมา แต่ว่าสัญญาณใดๆก็ไม่ปรากฏ แต่ประสบการณ์ห้าปีได้บอกเธอแล้ว ก่อนที่พายุจะมาลมก็จะนิ่งสงบ
“เธอบอกว่าเธอชื่อมู่หลิง ยังไงพวกเราก็ต้องมารายงานครับ”
บอดี้การ์ดคนนั้นตอนนี้แม่แต่ความตายก็ต้องเตรียมแล้ว เขาบอกแล้วว่าเขาจะไม่มา แต่ก็บังคับให้เขามา ถ้าพี่เยียนโกรธขึ้นมา…….ชายคนนั้นสั่นระริกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“มู่หลิง…….”
ชิวหันเยียนเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาคู่นั้นหรี่แคบ นิ้วมือเคาะต้นขาเป็นจังหวะ ยิ้มเย็น “ให้เธอเข้ามา ครั้งนี้ก็แล้วไป ครั้งต่อไปอย่าให้หมาให้แมว มาขอพบก็ให้พบแบบนี้”
“ครับ…..”
ชายหนุ่มรับคำสั่งแล้วจากไป จริงๆเลย ไม่น่ามาบอก โดนพี่ใหญ่ด่าเลยไหมล่ะ
“ชิวหันเยียน”
มู่หลิงลากกระเป๋าเปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเกรี้ยวกราดเดินเข้ามา
“โยว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ถูกไล่ออกมาหรอ”
ชิวหันเยียนเห็นท่าทางของมู่หลิง จึงขมวดคิ้วขึ้น นำเสียงเย้ยหยัน “ทำไม ถูกไล่ออกมาแล้วมาลงอารมณ์กับฉันหรอ เธอก็ดูหน่อยว่าที่นี่คือที่ไหน”
“ฆ่าฉินอีหลินซะ”
“ห๊ะ มู่หลิง เธอกำลังสั่งฉันหรอ”
ชิวหันเยียนอึ้งไปเล็กน้อย ต่อมาจึงหัวเราะเสียงดัง เธอทิ้งมวนบุหรี่ในมือลงแล้วใช้เท้าเหยียบให้ดับ
นานแล้วที่ไม่มีใครกล้าข่มขู่เธอ ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ
“ฉันสั่งให้เธอฆ่าฉินอีหลินซะ”
มู่หลิงคล้ายกับตะโกนออกมา เธอใช้เท้าถีบกระเป๋าเดินทางล้ม เพราะความโกรธ ใบหน้าของเธอจึงแดงก่ำ”
“ชิวหันเยียน ถ้าคุณไม่ฆ่าฉินอีหลิน ฉินก็จะบอกเรื่องลักพาตัวเมื่อห้าปีก่อนบอกกับลี่โม่อวี่ ตอนนี้ฉันมันเท้าเปล่าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น อย่างมากก็แพ้ไปด้วยกัน”
ชิวหันเยียนมองผู้หญิงประสาทตรงหน้า ดวงตาฉายแววมาดร้าย ดูเหมือนมู่หลิงจะตั้งใจเอาไว้แล้ว กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับมู่เนี่ยนเจ๋ก็ไม่สามารถทำให้เธอเชื่อฟังได้
หัวเราะเบาๆ ชิวหันเยียนยื่นมือออกไปเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงที่นั่งข้างๆ “คุณจะรีบไปไหน นั่งลงคุยกันก่อน หูจี่ไปเอาไวน์เข้ามา ฉันอยากดื่มกับพี่หลิงของพวกเธอหน่อย”
เธอพูดกับเด็กที่เฝ้าตรงหน้าประตู พบว่ามู่หลิงนิ่งสงบลงบ้างแล้ว ค่อยเอ่ยบอก “เราสองคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว เรื่องของคุณก็เหมือนเรื่องของฉัน ฉินอีหลินฉันจัดการให้คุณแน่ เรื่องนี้คุณวางใจ ใจเย็นลงหน่อย อย่าโกรธจนทำร้ายตัวเอง”
“คุณอย่าหลอกฉันนะ”
มู่หลิงยกไวน์ที่พึ่งยกเข้ามา เม้มปากเบาๆ ในมือของเธอกุมความลับของชิวหันเยียน ไม่กลัวว่าเธอจะไม่เห็นด้วย
แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน เธอยังกังวลเล็กน้อย หล่อนจะเล่นลิ้นอะไรอีก”
แต่ชิวหันเยียนเห็นท่าทางมันแข็งมากแค่ไหน ในใจนั้นขำขัน
ยังคิดว่าตัวเองสำคัญ ไม่ดูฐานะตัวเอง
คนนี้จะเก็บเอาไว้ไม่ได้ สุนัขที่ไม่เชื่อฟังไม่จำเป็นต้องเลี้ยงอีกต่อไป
แต่เธอไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ให้ฉินอีหลินฆ่ามู่หลิง เธอนั่งมองการต่อสู้อยู่บนเขาก็เพียงพอ
“ไม่หรอก ฉันเคยโกหกคุณที่ไหน คุณดูแลลูกให้ดีก่อนเถอะ”
……
รอมู่หลิงจากไป ชิวหันเยียนจ้องมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างขบขัน แววตาสดใสเมื่อสักครู่กลายเป็นเยือกเย็น จนสุดท้าย อุณหภูมิก็ติดลบ
“เหล่าหู(หูจี่) เอารถฉันออกมา”
ชิวหันเยียนมองคฤหาสน์ตระกูลหลงหลังใหญ่หรูหราตรงหน้าด้วยความริษยา
เป็นตระกูลที่ถูกหล่อหลอมมาด้วยความสง่างาม พอชิวหันเยียนเข้าไปในประตูใหญ่ก็พบว่า บ้านทั้งหลังถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของยุคกลาง บ้านหลังเล็กสวยงามและเงียบสงบ สาวใช้กิริยาเหมาะสม พอเข้ามาถึงห้องรับแขก ชุดโต๊ะเก้าอี้และภาพวาดเก่าแก่ให้กลิ่นอายของศิลปะยิ่งทำให้ความริษยามีมากยิ่งขึ้น
ถ้าหากว่าบ้านของเธอเต็มไปด้วยของหรูหราฟุ่มเฟือย งั้นที่แห่งนี้ก็คงเป็นขุมทรัพย์ของตระกูล
“ทำไมคุณต้องการพบเธอ”
อานหน้าเห็นคนที่มาขอพบลูกสาวตัวเอง คิ้วสวยขมวดขึ้น เดิมเธอได้ยินสาวใช้บอกว่ามีคนมาขอพบคุณหนู ยังคิดให้คนกันเอาไว้ แต่ฉินอีหลินยืนยันจะเชิญเข้ามาให้ได้
ถ้าหากไม่แปลกใจว่าชิวหันเยียนมีธุระอะไร เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็ไม่มีทางปล่อยให้เข้ามาแน่ “พวกคุณไม่บอกว่าเป็นศัตรู แต่แน่นอนว่ามิใช่เพื่อน ไม่มีอะไรเธอจะมาทำไม”
ฉินอีหลินลูบๆคลำๆปลอบโยนอานหน้า “ไม่ว่าจะมาแบบไหน เราก็มีวิธีรับมือนะคะ”
“เฮ้ อีหลิน ดูเหมือนว่าคุณจะดูดีกว่าหลายวันก่อนนะ …….คุณน้าสวัสดีค่ะ”
“หลายวันมานี้รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ดีขึ้นมากแล้ว”
ฉินอีหลินพึ่งมาถึงห้องรับแขก บังเอิญเด็กทั้งสองกำลังกลับจากด้านนอกพอดี เธอจึงกวักมือเรียกเด็กทั้งสองมาทักทายชิวหันเยียน
“หมิงเจ๋อ จิ่นเซวียน สวัสดีคุณน้าสิ”
หลงหมิงเจ๋อและหลงจิ่นเซวียนวิ่งมาหยุดตรงหน้าแม่ของตัวเอง มองไปยังชิวหันเยียน เอ่ยอย่างว่าง่าย “คุณน้า”
ชิวหันเยียนมองเด็กที่น่ารักทั้งสอง ในใจร้อนระอุ เด็กสองคนนี้เป็นลูกของลี่โม่อวี่……..
“เด็กทั้งสองช่างรู้ความจริงๆ คุณโชคดีแล้ว”
“แค่แกล้งทำไปงั้นแหละ รู้ความอะไรกัน แม่คะ พาเด็กๆขึ้นข้างบนเถอะ”
ฉินอีหลินไม่อยากให้ชิวหันเยียนได้ใกล้ชิดเด็กๆมากเกินไป ตบลงที่แก้มของหมิงเจ๋อและจิ่นเซวียนเบาๆ จึงเรียกอานหน้าพาเด็กขึ้นไปอยู่ด้านบน
“คุณมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า อย่าบอกว่ามาชื่นชมลูกทั้งสองของฉัน”
ฉินอีหลินผายมือเชิญชิวหันเยียนนั่งลง “ป้าหวางคะ ขอกาแฟหนึ่งแก้วค่ะ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
ชิวหันเยียนนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่เกรงใจ ค่อยหยิบซองน้ำตาลออกมาจากกระเป๋า
“ฉินอีหลิน ระหว่างเราไม่พูดอ้อมค้อม เราต่างมีผลประโยชน์ส่วนตนที่ต้องรักษา ฉันก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าอยากช่วยเหลือคุณ คุณดูเอกสารนี่ อย่างอื่นฉันก็ไม่พูดมากแล้ว”
คิ้วเรียวของฉินอีหลินเลิกสูงขึ้น เธอชอบคุณกับคนพูดรู้เรื่อง แต่เธอยังไม่รู้ เธอจะมีอะไรต้องร่วมมืออะไรกับผู้หญิงคนนี้ได้
รับซองเอกสารนั้นมา ฉินอีหลินเอนหลังพิงโซฟา เปิดซองเอกสาร
เธอยิ่งอ่านใบหน้าก็ยิ่งไม่น่าดู จนสุดท้าย ใบหน้าก็รักษารอยยิ้มมารยาทเอาไว้ไม่ได้
ฉินอีหลินกำมุมเอกสารแน่น เพราะใช้แรงมากเกินไป นิ้วมือของเธอจึงซีดไร้สีเลือด
พยายามรักษาความนิ่งสงบ แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นเล็กน้อย เธอจ้องมองดวงตาของชิวหันเยียนอยู่แบบนั้น ไม่ยอมพลาดอากัปกิริยาการเปลี่ยนแปลงใดๆของเธอ
“สิ่งนี้……คุณมีมันได้ยังไง”