บทที่ 124 ไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเอง
ฉินอีหลินรู้ตั้งนานแล้วว่า อ้ายหลุนเองไม่ใช่ดารานักแสดงทั่วไป ครอบครัวของเขามีอำนาจและชื่อเสียง เป็นตระกูลขุนนาง เป็นชนชั้นสูงของอังกฤษ มีเขาคอยช่วยเหลือ มีความหวังเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เวลานี้ มีกำลังเพิ่มขึ้นก็มีความหวังมากขึ้น เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความหวังที่จะเจอเด็กๆ รู้สึกซาบซึ้งและเอ่ยขอบคุณ
อ้ายหลุนเห็นว่าเธอไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของตนเอง จึงแอบถอนหายใจอยู่ในใจ ต่อมาบรรยากาศจึงมีชีวิตชีวามากขึ้น อ้ายหลุนเองก็บอกยิ้มๆ “คุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมก็เป็นพ่อของหมิงเจ๋อและจิ่นเซวียนเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ผมควรทำ”
พูดจบ อ้ายหลุนก็เหลือบมองลี่โม่อวี่อย่างไม่ใส่ใจ สายตามีแววยั่วยุ คล้ายกับกำลังบอกลี่โม่อวี่ เขาก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน
ลี่โม่อวี่ใบหน้าเหม็นเบื่อ แม้ว่าจะไม่พอใจที่อ้ายหลุนเรียกตัวเองว่าพ่อ แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบ ยังไงตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือตามหาเด็กๆให้เจอ
แม้ว่าอำนาจเขาจะยิ่งใหญ่ แต่ล้วนอยู่ในเมืองกั่งซื่อ ตามหาทั่วประเทศถือว่ายังยากอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือต่างประเทศ ตอนนี้ความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่อ้ายหลุน
เพียงแต่ความรู้สึกนี้ ทำให้ลี่โม่อวี่ไม่คุ้นชิน และไม่สบายใจมาก
จากนั้น อ้ายหลุนยังพูดปลอบโยน หัวใจของฉินอีหลินก็ดีขึ้นมาบ้าง ฝืนยิ้มเจื่อนออกมา “อ้ายหลุน ครั้งนี้ต้องขอโทษคุณจริงๆ”
“นี่ก็เป็นความรับผิดชอบของผมด้วยเหมือนกัน จะต้องหาเจอแน่ คุณไม่ต้องคอยกังวล”
ในใจของอ้ายหลุนนั้นเป็นทุกข์มากจริงๆ ในเวลานี้ เขาอยากดึงฉินอีหลินเข้ามากอดเอาไว้ แต่กลัวถูกปฏิเสธ ให้คนหัวเราะเยาะ
ลี่โม่อวี่ใบหน้าเหม็นเบื่ออยู่ข้างๆตลอด แน่นอนเขาหวังว่าเด็กทั้งสองจะไม่เป็นไร แต่หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น เขาไม่ปล่อยอ้ายหลุนเอาไว้แน่
อ้ายหลุนคล้ายกับสัมผัสได้ถึงความอันตรายจากสายตาของลี่โม่อวี่ ชั่วครู่จึงเงยหน้าขึ้นไปมองลี่โม่อวี่ ชายหนุ่มทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทว่ามองเห็นรอยยิ้มแปลกประหลาดจากสายตาของอีกฝ่าย
ตอนนี้ฉินอีหลินไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจว่าทั้งสองมีท่าทียังไง นวดขมับเบาๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวเต็มไปหมด อานหน้าเรียกทุกคนมาทานข้าว “ไม่ว่ายังไง ก็ต้องทานข้าว”
เดิมหลายคนอยากปฏิเสธ เกิดเรื่องแบบนี้ ใครยังมีความอยากอาหาร แต่ฟังอานหน้าบอก ทุกคนจึงได้แต่ฝืนกินเข้าไปไม่กี่คำ สุดท้ายก็ต้องวางถ้วยตะเกียบลง
เสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหารที่เคยมี ความอบอุ่น ตอนนี้กลับกลายเป็นเย็นชืด น่าอึดอัด ฉินอีหลินรู้สึกว่าจมูกของเธอเริ่มปิด อาหารที่เคี้ยวอยู่ในปากก็ไร้รสชาติ
อานหน้าเห็นว่าเธอคล้ายอ่อนแรงมาทั้งวัน ในใจเป็นทุกข์ทวี ตักน้ำซุปให้ฉินอีหลินหนึ่งถ้วยด้วยตนเอง เอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก เธอดื่มน้ำซุปก่อน แล้วขึ้นไปพักผ่อนสักหน่อย”
ฉินอีหลินส่ายหน้า เธอทานไม่ลงจริงๆ
อานหน้าเห็นแบบนั้น น้ำตาเกือบจะหลั่งออกมา เธอวางถ้วยไว้ตรงหน้าฉินอีหลิน บังคับ “เธอต้องกิน เด็กๆยังหาไม่เจอ เธอจะข้ามมันไปได้ยังไง เพียงแค่เธอพักผ่อน ถึงจะมีกำลังตามหาเด็กๆต่อไป”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ อานหน้าก็หันหน้าหนี น้ำตาทะลักออกมาราวกับสายน้ำ
คำพูดของอานหน้าทำให้ฉินอีหลินรู้ว่า เธอจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เธอมองซุปไก่ในถ้วย แม้กระเพาะจะต่อต้าน แต่เธอก็ต้องกินมันลงไป
ฉินอีหลินค่อยๆหยิบช้อนขึ้นมา ตักกินทีละคำทีละคำ บนโต๊ะเงียบสงัด ทุกคนต่างพากันนั่งมองฉินอีหลิน แล้วค่อยเริ่มรับประทานอาหาร
ใช่ ถึงจะอดอาหารก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องดีขึ้น ทางที่ดีดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีจะดีกว่า เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิด
หลังมื้ออาหาร ฉินอีหลินยืนยันไม่ขึ้นไปพักด้านบน อานหน้าก็เปลี่ยนใจเธอไม่ได้ ทุกคนพากันนั่งอยู่บนโซฟา ฉินอีหลินไม่กล้าปิดตาลง รอยยิ้มอ่อนวัยของหมิงเจ๋อ จิ่นเซวียนราวกับลูกตุ้มหนักๆ ถ่วงลงในหัวใจของฉินอีหลินครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่นาน ฉินอีหลินร้องไห้อย่างเงียบๆ เธอไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเอง พยายามห้ามเก็บกักไว้ในใจ ขดตัวอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เธอจึงหลับลงไปช้าๆ
ลี่โม่อวี่เห็นเธอเป็นแบบนี้ ในใจนั้นเจ็บปวด แต่ไม่ได้เข้าไปห้าม เธอเก็บความรู้สึกไว้ตลอดก็ไม่ได้ หากการร้องไห้มันทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ก็ให้เธอร้องไปเถอะ
เพียงแต่เขาอยากจะเข้าไปกอดเธอเอาไว้จริงๆ บอกกับเธอ เธอยังมีเขา แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ชิวหันเยียนและมู่หลิงทำร้ายเธอ เท้าของลี่โม่อวี่ก็หยุดชะงัก
อ้ายหลุนก็ร้อนใจเหมือนกัน เขาปัดเลื่อนโทรศัพท์ดูครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่มีสายเข้ามา แต่แม้ว่าอ้ายหลุนจะร้อนใจ ทว่าไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมาแบบฉินอีหลิน ทำเพียงพาตัวเองออกมาขดตัวอยู่โซฟาตัวที่ไกลที่สุด
ห่างจากคฤหาสน์ของชิวหันเยียนไม่ไกล มีคฤหาสน์เดี่ยวแยกออกมาหนึ่งหลัง
บนทางที่เดิมนั้นเงียบสงบไร้ผู้คน พลันปรากฏรถตู้สีดำสองคัน รถพึ่งจะจอดสนิท ไม่นานก็มีคนสองสามคนลงมาจากบนรถ ไม่มีความลังเลเลยสักนิด เดินเข้าไปในบ้าน มองสำรวจไปรอบๆ
เมื่อมั่นใจว่าในคฤหาสน์ไม่มีคนแล้ว ชายที่เป็นหัวหน้าจึงทำมือออกคำสั่ง มองชายสองคนที่อยู่บนรถเปิดกระโปรงหลังรถ ต่อมานำร่างเด็กทั้งสองที่หลับสนิทออกมา ก็คือหลงหมิงเจ๋อและหลงจิ่นเซวียนนั่นเอง
ระหว่างนั้น ทุกคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แต่ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบ มองออกว่า นี่เป็นทีมที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และมีการวางแผนอย่างรอบคอบ
ด้านในคฤหาสน์มีคนของตัวเองมาคอยสนับสนุน หมิงเจ๋อและจิ่นเซวียนสลบไสลไปนานแล้ว ไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ภายนอก
เมื่อเด็กๆปรากฏ Abnerจึงพุ่งเข้ามาโบกมือ ออกคำสั่งอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ “เอาตัวไป เจาะเลือดตรวจ”
ไม่นานก็มีชายสวมชุดคลุมสีขาว พร้อมทั้งผ้าปิดปากเดินเข้าไม่ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ท่าทางคล่องแคล่วและรวดเร็ว Abnerไม่ได้จากไปไหน แต่ยืนรอฟังข่าวอยู่ตรงหน้าต่าง
หากเด็กทั้งสองนี้เป็นเหมือนแม่ เซลล์เม็ดเลือดมีประสิทธิภาพในการซ่อมแซม งั้นก็ห่างจากเป้าหมายใกล้เข้ามาอีกหนึ่งก้าว
เวลาเร่งด่วน แต่ก็ไม่สามารถ ทว่าไม่ถึงกลับลนลาน
Abnerไม่ได้เร่งรัด เดินอยู่ในห้องเบาๆ คิ้วที่ผูกเข้าหากันราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ รอจนหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็ไปผลออกมา
Abnerสาวเท้าก้าวเข้าไป อ่านผลตรวจ ใบหน้าเย็นชาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา เขามองจิ่นเซวียนที่สลบไสล ดวงตามองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ มุมปากยกยิ้ม เสียงเย็นออกคำสั่ง “เก็บเด็กผู้หญิงเอาไว้ อีกคน เอาไปทิ้งที่ชิวหันเยียน”
“ครับ” ชายหนุ่มไม่มีความลังเล มือเดียวก็สามารถยกหลงหมิงเจ๋อขึ้นได้ จับพาดไว้บนบ่า ก้าวเดินออกไป
Abnerเก็บผลตรวจเอาไว้แล้ว มองนาฬิกา ท่าทางผ่อนคลายออกคำสั่ง “นำเฮลิคอปเตอร์มา ฝั่งนี้แกจัดการให้เรียบร้อย จำไว้ว่าห้ามทิ้งร่องรอยแม้แต่น้อย”
“ครับ”
เสียงตอบรับชัดเจนอีกครั้ง Abnerกำผลตรวจเอาไว้แน่น ดวงตาที่มองไปยังหลงจิ่นเซวียนแวววาวขึ้น