บทที่ 147 อยู่เคียงข้างคุณเสมอ
บนรถ ฉินอีหลินมองลี่โม่อวี่ที่ตีหน้าเข้มไม่พูดไม่จา รู้สึกว่าเขามีนิสัยเป็นเด็ก นี่มันถึงไหนแล้ว ยังจะมาคิดเล็กคิดน้อย เธอไปเป็นเหยื่อ ไม่ได้คบหากับผู้ชายคนนั้นสักหน่อย
หรือว่า ต่อไปเธอจะคุยกับผู้ชายคนไหนไม่ได้เลยหรือไง ขี้หึงเกินไปหรือเปล่า
แต่บางอย่างฉินอีหลินก็ไม่อยากพูดต่อหน้าคนอื่น จึงเลือกที่จะไม่สนใจ หันไปถามลี่อานโก๋ที่อยู่ด้านข้าง “ผู้อำนวยการลี่ เมื่อก่อนคุณไม่เคยบอกเลยว่าฉันจะมีคู่หู คุณจะช่วยบอกรายละเอียดคร่าวๆกับฉันได้ไหมคะ”
ใบหน้านิ่งขรึมของลี่อานโก๋ไม่มีรอยยิ้ม เมื่อก่อนไม่ได้บอก เพราะเขาคิดว่าไม่จำเป็น ตอนนี้ฉินอีหลินและลี่โม่อวี่ทั้งสองไม่เข้าใจ จึงพูดซ้ำคำเดิมเมื่อสักครู่ “แม้เราจะให้คุณไปเป็นสายอยู่ด้านใน แต่ก็คงต้องห่วงความปลอดภัยของทุกคน ดังนั้นเบื้องบนจึงส่งหู่โถวลงมาช่วยเหลือคุณ หู่โถวเป็นทหารผ่านศึกกองกำลังพลทหารปืนใหญ่ มีฝีมือ หากมีเขาอยู่ เราจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของคุณได้”
ได้ฟังคำอธิบายของลี่อานโก๋ ฉินอีหลินก็เข้าใจ เป็นความจริง เธอคนเดียวบุกเข้าถ้ำเสือ ถ้าหากถูกตัดไป ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่หู่โถวจะปะปนเข้าไปไปกับเธอด้วยหรือเปล่า
ฉินอีหลินเหลือบมองหู่โถวด้วยความกังวล สุดท้ายจึงถามตามความสงสัยออกมา “งั้นหู่โถวจะเข้าไปยังไง ถูกจับไปพร้อมกับฉันหรอ”
ลี่อานโก๋ไม่ได้ตอบคำถามของฉินอีหลิน แต่กลับบอก “คุณไม่ต้องคิดอะไรมาก ถึงเวลาหู่โถวเข้าไปแล้วเขาจะติดต่อคุณไปเอง คุณแค่ทำตามที่ผมสั่งให้ดีก็พอ”
ฉินอีหลินคิด ตัวเองเป็นกังวลจนเกินไป พวกเขาคงวางแผนไว้รอบคอบหมดแล้ว จึงยิ้มบางๆ บอกกับลี่อานโก๋ “ขอบคุณคุณมากค่ะ ผู้อำนวยการลี่”
ลี่อานโก๋พยักหน้าเบาๆ กวาดตามองลี่โม่อวี่ผ่านๆ จากนั้นนั่งลงข้างๆ หลับตาลง
ลี่โม่อวี่ที่นิ่งเงียบเสียงดังอยู่ในลำคอ ใบหน้าเย็นชา พูดอย่างไม่พอใจ “ทางที่ดีพวกคุณต้องดูแลความปลอดภัยของเธอให้ดี ถามมีความสามารถ ก็ส่งคนตามไปสักสองสามคน แน่นอนว่าผู้หญิงยังไงก็ไม่ควรปกป้องเพียงส่วนตัวลำพังไหม”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ยังไม่ยอมให้มีผู้ชายต้องไปอยู่กับฉินอีหลิน มีอ้ายหลุนคนเดียวก็พอแล้ว วันนี้ยังเพิ่มมาอีกคน แถมยังต้องฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอด
ยิ่งคิด ลี่โม่อวี่ยิ่งรู้สึกทรมาน เขาคว้ามือฉินอีหลินเอาไว้ แล้วบอกกับลี่อานโก๋ “ยังไงพวกคุณก็ต้องส่งคนมีฝีมือเข้าไป ฝีมือผมก็ไม่เลว ผมก็จะไปด้วย”
ตอนนั้นเองลี่อานโก๋ก็เปิดเปลือกตาขึ้นมองลี่โม่อวี่ ความรีบเร่งในแววตานั้นจริงจัง ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะรักฉินอีหลินมากจริงๆ เพียงแต่ว่า เขาคิดว่านี่เป็นเกมหรือไง บอกจะไปก็ไปหรอ
ฉินอีหลินเห็นว่าลี่อานโก๋ไม่พูดอะไร ไม่สบายใจ เธอใช้สายตาสั่งให้ลี่โม่อวี่หยุดพูด ลี่โม่อวี่ก็ไม่ฟัง พูดต่อ “ไปคนเดียว ไปสองคนก็ไปเหมือนกัน เขาไปได้ ทำไมผมจะไปไม่ได้”
“ผู้อำนวยการลี่ อย่าไปฟังคำพูดของเขาเลยค่ะ ฉันจะทำตามแผนของคุณ” ฉินอีหลินหยิกเข้าที่เอวของลี่โม่อวี่ อาศัยจังหวะที่เขาเจ็บแล้วจ้องมาที่เธอ ฉินอีหลินรีบบอกกับลี่อานโก๋ยิ้มๆ
ลี่อานโก๋ยังคงไม่พูดอะไร ปิดตาลงอีกครั้ง ครั้งนี้ลี่โม่อวี่โกรธขึ้นมาจริงๆ ได้ไม่ได้ก็ควรบอกสักหน่อย จะแสดงความเก่งกาจให้ใครดูที่นี่
ฉินอีหลินดึงลี่โม่อวี่อยู่ข้างๆ แววตาอ้อนวอน เธอขึงตาและส่ายหัวไม่หยุด บอกให้เขาไม่ต้องพูดต่อแล้ว
“เอาล่ะ ฉันรู้ว่าคุณกังวล ผู้อำนวยการลี่ทำแบบนี้ ก็คงมีเหตุผลของเขา คุณก็อย่าโวยวายอีกเลย” ฉินอีหลินหมดคำจะพูด ลี่โม่อวี่คนนี้จะโกรธก็ไม่ดูเวล่ำเวลา โชคดีที่ลี่อานโก๋ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อมาถึงฐานทัพ ลี่โม่อวี่คอยอยู่เคียงข้างฉินอีหลินเมื่อเธอตรวจร่างกายต่างๆ ระหว่างนั้นฉินอีหลินยังแอบกลัว สองเท้าก้าวเดินแทบไม่นิ่ง
ลี่โม่อวี่รู้ว่าตอนนี้สิ่งที่ฉินอีหลินต้องการไม่ใช่คำพูดเกลี้ยกล่อมของตน แต่เป็นการให้กำลังใจ เขากุมมือฉินอีหลินเอาไว้แน่น เอ่ยปลอบ “อย่ากลัว มันจะไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ฉินอีหลินมองลี่โม่อวี่ครั้งสุดท้าย เม้มปากแน่นพลางพยักหน้า จากนั้นถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด มือของลี่โม่อวี่พลัดจากมือของฉินอีหลินอยู่ตรงหน้าประตูห้องผ่าตัด หัวใจของลี่โม่อวี่กังวลขึ้นมา เขาแอบรู้สึกเสียใจ ทำไมเขาถึงปล่อยฉินอีหลินเข้าไปแบบนั้นล่ะ
ด้านนอกห้องผ่าตัด ลี่โม่อวี่เดินกลับไปกลับมาไม่สงบ นี่ก็ผ่านไปตั้งสองชั่วโมงแล้ว ทำไมยังไม่มีความเคลื่อนไหว ยังไม่มีใครออกมาสักคน มาบอกสถานการณ์กับเขา
“แกวางใจเถอะ ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร” ลี่อานโก๋ที่นั่งอยู่เงียบๆ เห็นท่าทางไม่สงบของเขา จึงเอ่ยปลอบเบาๆ
ถ้าเขายังคงเดินต่อไป เกรงว่าถ้าไม่เวียนหัว ตัวเองที่นั่งดูก็เริ่มเวียนหัวแล้ว
ลี่โม่อวี่ได้ยิน ก็เหลือบตามองลี่อานโก๋ เห็นเขานั่งนิ่งเป็นก้อนหิน ใจจึงสงบลงบ้าง นั่งลงบนเก้าอี้
ก้นพึ่งถึงเก้าอี้ ก็เห็นว่าไฟในห้องผ่าตัดนั้นดับลง ลี่โม่อวี่พุ่งเข้าไปราวกับธนู มองเห็นฉินอีหลินที่ถูกเข็นออกมา แต่ดวงตาถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาว มองไม่ออกถึงสถานการณ์
“อีหลิน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” ลี่โม่อวี่กังวลอยู่ในใจ
แม้ฉินอีหลินจะมองไม่เห็น แต่สติยังคงรับรู้ มุมปากเธอยกยิ้ม ส่ายหัว บอกให้ลี่โม่อวี่วางใจ
จากนั้นได้ยินหมอที่ผ่าตัดแจ้งสถานการณ์ให้ฟัง “ช่วงนี้อย่าพึ่งแตะต้องดวงตา รอหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปค่อยเปิดผ้าพันแผล ช่วงนี้ต้องระวัง…….”
หมอยังพูดไม่ทันจบ ฉินอีหลินก็พูดด้วยความตกใจ “ทำไมถึงนานขนาดนั้น”
หมออีกคนที่เข้าร่วมการผ่าตัดให้ฉินอีหลินเองก็เปิดผ้าปิดจมูกออกแล้วบอก “นี่เป็นสิ่งจำเป็น กระจกตาไม่ใช่ที่อื่น ผ่าตัดเสร็จแล้วก็ต้องรักษาไปก่อนหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะไม่มีผลกระทบต่อสายตาในวันข้างหน้า พวกคุณอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”
ลี่โม่อวี่ได้ยิน ก็จ้องลี่อานโก๋เขม็ง ตอนนั้นผู้ชายคนนี้พูดอย่างชำนาญ ที่แท้ก็ยังต้องเสี่ยงอันตราย
แต่ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ฉินอีหลินวางใจ เขารีบเอ่ยปลอบฉินอีหลิน คว้ามือของเธอเอาไว้ “อีหลิน ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะอยู่เคียงข้างคุณ”
หลังจากฉินอีหลินได้ฟังที่หมอพูดจบ ก็งงงันอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อคิดตาม การผ่าตัด ก็ต้องมีความเสี่ยงเป็นธรรมดา
เพียงได้ช่วยลูกสาวตัวเอง ให้เธอต้องด้วยดวงตาคู่นี้แล้วยังไง เมื่อคิดดังนั้น ฉินอีหลินก็ปล่อยวาง ตบเบาๆลงบนมือลี่โม่อวี่ ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันไม่เป็นไร คุณอย่าคิดมาก ฉันว่าคุณเครียดกว่าฉันอีกนะ”
ลี่โม่อวี่เจ็บอยู่ในใจ ใบหน้าก็ทะมึนขึ้น โชคดีที่ดวงตาของฉินอีหลินมองไม่เห็น เขาพยักหน้าหนักๆ จากนั้นนึกได้ว่าฉินอีหลินมองไม่เห็น เขาจึงเปลี่ยนวิธีบอก “ไม่เป็นไร”