บทที่ 142 ลิ้มรสความคิดถึง
ตอนนี้ลี่อานโก๋ได้ทำข้อตกลงร่วมกับฉินอีหลินแล้ว เขาเปลี่ยนใจ ไม่พาทั้งสองกลับไปที่ฐานแล้ว เมื่อฉินอีหลินได้สติกลับมา ก็มาถึงหน้าบ้านตระกูลหลงแล้ว
“คุณกลับไปเก็บของเถอะ ค่ำๆผมจะส่งคนมารับ”
ลี่อานโก๋หันกลับไปพูดกับฉินอีหลิน
ฉินอีหลินได้ยินดังนั้นก็ลังเล เธอยังไม่ลืมเป้าหมายที่ออกไปกับลี่โม่อวี่ ตอนนี้หลงซานคงไปถึงสนามบินแล้ว ถ้าหากปล่อยพวกเขาออกจากเขตอิทธิพลของลี่โม่อวี่ เมื่อถึงตอนนั้นอยากจับพวกเขา คงจะเป็นเรื่องยากแล้ว
“เดิมฉันกับลี่โม่อวี่อยากไปสนามบินจับตัวหลงซาน ฉันกลัวว่าจะเสียโอกาสนี้ไป ครั้งต่อไปคงยากแล้ว”
ลี่อานโก๋ได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ บอกด้วยท่าทีสบายๆ “ที่แท้คุณฉินกำลังกังวลกับเรื่องนี้ คุณวางใจเถอะ หลงซานอยู่ภายใต้การควบคุมของเราแล้ว แก๊งนั้นไม่ประสา ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ จะไม่มีอะไรผิดพลาด”
“ค่ะ งั้นต้องรบกวนคุณแล้ว”
ฉินอีหลินเอ่ยขอบคุณอย่างนุ่มนวล จากนั้นเปิดประตูลงจากรถ
ลี่โม่อวี่เห็นว่าฉินอีหลินลงจากรถ จึงขมวดคิ้ว เตรียมจะตามลงไป
“โม่อวี่ เดี๋ยวก่อน”
ลี่อานโก๋เห็นว่าลี่โม่อวี่ไม่แม้จะเอ่ยบอกเขา ก็จะลงจากรถไป จึงขมวดคิ้วขึ้น
“อย่ามัวทำท่าทางแบบนั้น มีอะไรก็รีบพูด”
ลี่โม่อวี่ทำราวกับไม่อยากอยู่ลำพังกับผู้ชายคนนี้นาน เขาได้ยินเสียงเรียก แม้จะหยุด แต่ดวงตายังเต็มไปด้วยความรำคาญ
“ไปเมืองหลวงครั้งนี้ ก็กลับไปที่บ้านหน่อย แม่เธอป่วยแล้ว บ่นทุกวันว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับไป”
ลี่อานโก๋นึกถึงท่าทางไร้เรี่ยวแรงของภรรยา จึงถอนหายใจอยู่ในใจ บอกว่าเลี้ยงลูกเอาไว้ดูแลตนยามชรา ใครจะคิดว่าลูกชายของเขาจะกลายเป็นศัตรู
“กลับบ้านตระกูลลี่หรอ”
ลี่โม่อวี่ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มเย็น เขาใช้เวลานานหรี่ตาแคบ พูดเน้นย้ำกับคนตรงหน้า “ตอนที่พวกคุณทอดทิ้งผม ทำไมไม่บอกให้ผมกลับบ้านตระกูลลี่ ตอนนี้ ผมไม่ใช่คนตระกูลลี่แล้ว”
ลี่โม่อวี่พูดจบก็ไม่หันไปมองลี่อานโก๋อีก จากนั้นจึงลงรถไป
ฉินอีหลิน ความจริงคุณโชคดีกว่าผมเยอะ แม่ว่าตระกูลฉินจะไม่ได้ดีกับคุณ แต่ตระกูลหลงก็ยังรักทะนุถนอมคุณ ปกป้องคุณ
ไม่เหมือนผม มีแค่ครอบครัวเดียว แถมยังเลือกที่จะทอดทิ้งผมด้วย
เดิมผมเคยคิดว่าจะอยู่คนเดียวจนแก่เฒ่า แต่สวรรค์ยังเมตตา ให้ผมได้มาเจอกับคุณ
ฉินอีหลิน คุณเป็นแสงสว่างในชีวิตของผม
ผมไม่มีวันปล่อยมือ
ฉินอีหลินลงจากรถด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยยังไง เมื่อเปิดประตูบ้าน ใบหน้าของเธอก็ต้องมีรอยยิ้ม เธอจะทำให้คนที่เป็นห่วงเธอกังวลไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความกังวลนั้นนอกจากจะทำให้พวกเขาลำบากแล้ว ก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
อานหน้าพึ่งจะเกลี้ยกล่อมให้หลงหมิงเจ๋อล้างหน้าล้างตาเสร็จ พวกเขาสองคนนั่งทานมื้อเช้าอยู่บนโต๊ะอาหาร
ในตอนนั้นเอง อานหน้าได้ยินเสียงป้าหวางดังมาจากห้องรับแขก “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว เมื่อเช้าคุณดื่มนมไปแค่แก้วเดียว จะทานอะไรหน่อยไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แม่กับหมิงเจ๋ออยู่ไหนคะ”
ฉินอีหลินยื่นกระเป๋าให้ป้าหวาง แล้วนั่งลงบนโซฟา ความคิดของเธอสับสนวุ่นวาย หลายเรื่องจนเธอปวดหัว
“อยู่ในห้องครัวค่ะ”
ป้าหวางกำลังจะพูดอะไรอีก หมิงเจ๋อได้ยินเสียงแม่ของตนก็รีบวิ่งเขามาหาพร้อมตะโกนเรียก “แม่ครับ แม่”
“หมิงเจ๋อเด็กดี”
ฉินอีหลินยื่นมือออกไปกอดเด็กน้อยเอาไว้ ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มบางๆ
“ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ ลี่โม่อวี่กลับไปแล้วหรอ”
อานหน้าเห็นหลงหมิงเจ๋อวิ่งออกไป เธอจึงลุกตามออกมาที่ห้องรับแขก
เธอมองสองแม่ลูกบนโซฟา ใบหน้าสงสัย จึงเอ่ยถามออกมา
สิ้นคำพูดนั้น เธอราวกับนึกอะไรขึ้นได้ รีบเอ่ยออกมา “จริงสิ เมื่อสักครู่มีข่าวด่วน บอกว่ามีการปล้นกันบนถนนทางหลวง กล้ายิงกันกลางวันแสกๆ คล้ายกับว่าเกิดขึ้นบนเส้นทางที่พวกเธอจะไป พวกเธอสองคนไม่เป็นไรใช่ไหม”
ฉินอีหลินฟังดังนั้นคิ้วสวยจึงขมวดเข้าเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าสถานีโทรทัศน์ของเมืองกั่งซื่อจะรวดเร็วขนาดนี้ ถึงได้เสนอข่าวนี้ได้เร็วแบบนี้
เธอรู้ว่าอยากปิดก็คงปิดไม่มิด คิดอยู่ชั่วครู่ ฉินอีหลินจึงเอ่ยบอก “เป็นแก๊ง K ยิงปืนระเบิดล้อรถของลี่โม่อวี่ แต่เราถูกคนของเขาช่วยเอาไว้”
ฉินอีหลินคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจปิดบังเรื่องที่ประเทศต้องการเลือดของเธอ ต่อมาจึงบอกถึงเรื่องที่จะไปเมืองหลวงกับอานหน้า
แม้ว่าอานหน้าจะเป็นห่วงความปลอดภัยของฉินอีหลิน แต่เธอก็ไม่สามารถห้ามการตัดสินใจของฉินอีหลินได้ นิสัยของลูกสาวเธอ เธอรู้ดียิ่งกว่าใคร
หากเป็นเรื่องที่ฉินอีหลินตัดสินใจแล้ว ใครพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็ไม่มีทางที่จะเกลี้ยกล่อมให้เธอทอดทิ้งลูกของตัวเอง ยังไงซะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉินอีหลิน เธอก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกสาวของตัวเอง
“แม่ครับ แม่จะไปรับน้องหรอ”
หลงหมิงเจ๋อไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่เขาสามารถเดาเรื่องคร่าวๆได้ รอฉินอีหลินพูดจบ หลงหมิงเจ๋อจึงถามขึ้น
“ใช่ แม่จะไปรับน้อง หมิงเจ๋ออยู่บ้านต้องเชื่อฟังคุณยาย เข้าใจไหมครับ”
ฉินอีหลินหอมแก้มหลงหมิงเจ๋อ ครั้งนี้ไปอังกฤษไม่รู้ต้องเจอกับอะไรบ้าง เธอกลัวมากจริงๆว่าจะไม่ได้เจอหลงหมิงเจ๋อและหลงจิ่นเซวียนอีก ขอเพียงมีความหวัง
สักเล็กน้อย เธอก็ไม่มีทางปล่อยมันไป
“ครับ หมิงเจ๋อจะเป็นเด็กดี จิ่นเซวียนอยากได้นาฬิกาปลุกอันนั้นของผมตลอด รอเธอกลับมาผมจะเอาให้เธอ ต่อไปผมจะไม่แย่งของกับเธอแล้ว ยังมีของกินด้วย”
“หมิงเจ๋อฉลาดที่สุด”
อานหน้ามองใบหน้าเล็กของหลงหมิงเจ๋อ อดไม่ได้หัวเราะออกมา สองวันมานี้เธอได้ยินคำพูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ
เมื่อมองดูดีๆ เด็กทั้งสองตั้งแต่ที่คลอดออกมาก็ไม่เคยแยกห่างกันนานขนาดนี้ การลักพาตัวหลายวันมานี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เด็กทั้งสองพบเจอกับความทุกข์ยากลำบาก แถมยังทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสของความคิดถึงด้วย
เพียงแต่หลงหมิงเจ๋อเป็นเด็กผู้ชาย นอกจากพร่ำพูดตลอดเวลาแล้วก็แสดงออกอย่างอื่นไม่เป็น
“เธอระวังตัวด้วย อย่าให้เป็นอะไรเด็ดขาด เด็กทั้งสองยังต้องการให้เธอดูแล”
อานหน้านั่งลงข้างๆทั้งสองคน เธอยื่นมือไปบีบแก้มหลงหมิงเจ๋อ จากนั้นจึงบอกอย่างไม่วางใจ
“ค่ะ หนูรู้ แม่คะ หนูโตขนาดนี้แล้ว ยังจะดูแลตัวเองไม่ได้อีกหรอ”
ฉินอีหลินยื่นมือไปโอบกอดทั้งสองคนเอาไว้ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงเป็นใยและเป็นที่พึ่งของพวกคุณ ขอบคุณค่ะ”
อานหน้าได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะออกมา ยื่นมือไปด้านหลังของฉินอีหลิน น้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่”
หลงหมิงเจ๋อไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของตนต้องพูดแบบนั้น แต่เขาได้ฟังคำตอบของอานหน้า จึงเขย่งเท้าขึ้นไปทางด้านหลังของฉินอีหลินแล้วลอกเลียนแบบ พร้อมเอ่ยประโยคแบบผู้ใหญ่
“แม่โง่”