บทที่ 149 ไม่เด็ดเดี่ยวเท่าผู้หญิงคนหนึ่ง
“เขาพูดอะไร คุณก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย” ลี่โม่อวี่ค่อยๆเสียงดังขึ้น ราวกับโกรธนิดๆ ตอนนั้นเองฉินอีหลินจึงปิดปากเงียบอย่างที่ควรทำ
และอีกด้าน ลี่อานโก๋ที่เดิมจะกลับไปแล้วทว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องทดลอง มองหมอผู้ทำการผ่าตัดฉินอีหลินให้ฉินอีหลิน พลางสอบถาม “ท่านหลิว ในเลือดของฉินอีหลินมีอะไรซ่อนอยู่”
ท่านหลิวที่ถูกสอบถามเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ เห็นว่าเป็นลี่อานโก๋ จึงลุกขี้น กวาดตามองผลรายงานบนโต๊ะ แล้วบอกกับลี่อานโก๋ “ตอนนี้ยังดูไม่ออก ต้องรอให้เครื่องมือวิเคราะห์ผลออกมา เราถึงจะให้คำตอบที่แน่นอนได้”
เมื่อลี่อานโก๋ได้ฟัง ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร พยักหน้าและถามต่อ “งั้นก็ไม่พบอะไรหรอ”
ท่านหลิวขยับกรอบแว่น ดวงตามีแววตระหนกเอ่ยบอก “การผ่าตัดครั้งนี้เราพบว่า การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดดีมาก ดีกว่าทหารที่มีการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดดีที่สุดที่ผมเคยเห็นด้วย เราสงสัยว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของ H1”
ลี่อานโก๋พยักหน้า นี่ก็เป็นข้อมูลที่พวกเขาเคยได้มา ดังนั้นลี่อานโก๋จึงถามอีก “พวกคุณสามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบของ H1 จากเลือดของฉินอีหลินไหม”
ครั้งนี้คุณหมอกลับส่ายหัว บอกด้วยสีหน้าลำบากใจ “ไม่ใช่ปัญหาของเวลา แต่เป็นเพราะฉินอีหลินเคยมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์มาหนึ่งครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอะไรเหลืออยู่”
ลี่อานโก๋ได้ฟังแล้ว ใบหน้าขรึมก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง พูดคุยอีกไม่กี่ประโยค แล้วจึงจากไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ผ่านไปครบเจ็ดวันแล้ว
ฉินอีหลินเปิดผ้าพันแผล ค่อยๆลืมตา รู้สึกว่าดวงตาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป อดไม่ได้ที่จะมองหมอด้วยความสงสัย
หมอเห็นท่าทางเธอแบบนั้น อดไม่ได้หัวเราะออกมา เขาเปิดเปลือกตาฉินอีหลินดูอีกรอบ จากนั้นพยักหน้าให้หมอไม่กี่คนที่อยู่ด้านหลัง พร้อมบอก “การผ่านตัดครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดี คงจะไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อฉินอีหลินได้ยินดังนั้น หัวใจที่กังวลก็เริ่มสงบลง จากนั้นหมอเริ่มสอบวิธีใช้กระจกตาสังเกตการณ์ ก่อนอื่นท่านหลิวได้หยิบต่างหูหนึ่งอันออกมาส่งให้ฉินอีหลิน พร้อมบอก “คุณสวมอันนี้ไว้ก่อน มีปุ่มกดหนึ่งปุ่ม เดี๋ยวอีกสักครู่จะสอนคุณว่ามันใช้ยังไง”
ฉินอีหลินสังเกตต่างหูประณีตในมือ ถ้าท่านหลิวไม่บอกว่านี่เป็นปุ่ม เธอก็ยังดูไม่ออกจริงๆ เหมือนกับต่างหูที่ขายตามร้านทั่วไปไม่มีผิด ไม่มีข้อแตกต่างเลยสักนิด อย่างน้อยเธอก็ดูไม่ออก
หลังจากเธอสวมมันแล้ว ท่านหลิวจึงทดสอบอีกรอบ ค่อยพยักหน้าให้ฉินอีหลินแล้วบอก “เมื่อเข้าไปในแก๊งKแล้ว คุณใช้นิ้วหัวแม่มือกดสักหน่อยก็จะเข้าสู่โหมดบันทึกวิดีโอแล้ว อย่างอื่น คุณก็ไม่ต้องสนใจ”
เมื่อฉินอีหลินได้ฟัง จึงพยักหน้า อยู่ภายใต้ข้อตกลงของลี่อานโก๋ ทดลองด้วยตัวเองหนึ่งครั้ง สิ่งที่เธอต้องทำง่ายนิดเดียว ดังนั้นเธอจึงเข้าใจอย่างรวดเร็ว
ลี่อานโก๋มองฉินอีหลิน สองมือกอดอก ใบหน้าเคร่งขรึมถาม “คุณเตรียมตัวพร้อมหรือยัง เราต้องออกเดินทางตอนนี้”
ฉินอีหลินพยักหน้า กระโดดลงจากเก้าอี้ มือคลำต่างหู คงจะไม่หลุด เดินตามลี่อานโก๋ได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ถูกลี่โม่อวี่คว้าเอาไว้
ลี่โม่อวี่เห็นการมองเห็นของฉินอีหลินไม่มีปัญหา จึงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ถ้าฉินอีหลินเกิดปัญหาแม้แต่น้อย เขาสาบานว่าจะไม่ปล่อยลี่อานโก๋ไว้แน่
“ลี่โม่อวี่ ฉันต้องไปแล้ว” มองหน้าลี่โม่อวี่ที่อาลัยอาวรณ์ ฉินอีหลินก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงตัวเอง ตลอดหลายวันมานี้เขาคอยดูแลเธอทั้งวันทั้งคืน ถ้าบอกว่าไม่ซาบซึ้งก็คงโกหก
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาบอกขอบคุณ ดังนั้นเธอจึงมองลี่โม่อวี่เงียบๆ พูดอย่างจริงจัง “คุณวางใจ ฉันจะไม่เป็นไร”
ลี่โม่อวี่ยังคงยื้อเอาไว้ ไม่อยากปล่อยไป เขาพูดด้วยสายตาที่จริงใจและกังวล “หลายวันมานี้ผมคิดมาตลอด ผมไม่วางใจให้คุณเข้าถ้ำเสือคนเดียว ให้ผมไปกับคุณนะ”
พูดจบ ไม่รอให้ฉินอีหลินได้พูดอะไร เขาก็หันไปบอกกับลี่อานโก๋ “ผู้อำนวยการลี่ คุณสามารถส่งหู่โถวเข้าไปได้ ทำไมถึงไม่สามารถส่งผมเข้าไปด้วย ฝีมือผมก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นตัวถ่วงของพวกคุณ เวลาจำเป็นก็สามารถช่วยได้”
ลี่อานโก๋มองลี่โม่อวี่ด้วยแววตาเยือกเย็น ดวงตาเย็นชาไม่มีอะไรเทียบได้ “แกคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันตัดสินใจได้หรอ อยากทำอะไรก็ทำ ยังมีระเบียบวินัยบ้างหรือเปล่า”
“งั้นคุณก็ไม่ต้องให้ผู้ชายคนนั้นไป ผมไปแทน” ลี่โม่อวี่ไม่ยอม วันนี้ยังไงเขาก็ต้องไปให้ได้
แค่คิดว่าฉินอีหลินต้องไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น เขาก็นอนไม่หลับ ถึงยังไงก็ต้องส่งสายลับเข้าไป เขาไปไม่ดีกว่าหรอ
ถ้าเกิดเจ้าคนนั้นถือโอกาสทำลายจุดประสงค์ของฉินอีหลิน เขาไม่ได้อยู่กับเธอ ฉินอีหลินเสียเปรียบจะทำยังไง
ลี่อานโก๋ชายตามองลี่โม่อวี่ คำถามโง่ๆแบบนี้ เขาคร้านจะตอบ รีบสาวเท้าเดินออกไป
ลี่โม่อวี่ที่ถูกปฏิเสธมีสีหน้าไม่ดี สองมือกำหมัดแน่น ถ้าเขาไม่เห็นด้วย เขาก็จะคิดหาวิธีตามเข้าไป
ฉินอีหลินเห็นเขาดื้อรั้นแบบนี้ ในใจไม่รู้จะดีใจหรือลำบากใจกันแน่ เธอเดินเข้าไปดึงแขนเสื้อของลี่โม่อวี่ เกลี้ยกล่อม “ลี่โม่อวี่ ฉันรู้ว่าคุณอยากช่วยฉัน แต่ไม่จำเป็นต้องตามฉันเข้าไป คุณสามารถสนับสนุนอยู่ข้างนอก หรือไม่ก็ไปหาอ้ายหลุน หากฉันล้มเหลวมันก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกทำลาย”
ลี่โม่อวี่ได้ฟังคำพูดของเธอ อดไม่ได้ที่จะมองฉินอีหลิน คิดอยู่เงียบๆ คำพูดของฉินอีหลินใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ถึงแม้ว่าลี่อานโก๋จะรู้เยอะแค่ไหน จัดคนมีฝีมือเข้าไปซ่อนเร้น แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ครั้งก่อนเรื่องการผ่าตัดกระจกตาของฉินอีหลิน ลี่โม่อวี่ก็ไม่เชื่อใจลี่อานโก๋เท่าไหร่แล้ว
เทียบกับผลประโยชน์ของเขา ฉินอีหลินก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง กำจัดทิ้งก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมาก
คิดได้ดังนั้น ดวงตาของลี่โม่อวี่ก็ทะมึนขึ้น เขาไม่ควรยินยอมให้ฉินอีหลินร่วมมือกับลี่อานโก๋
ฉินอีหลินเห็นว่าลี่โม่อวี่ไม่พูด ก็รู้ว่าคำพูดของตัวเองมีประโยชน์ จึงพูดต่อ “คุณลองคิดดู ถ้าเราสองคนเข้าไปด้วยกัน นั่นคงเป็นเรื่องยุ่ง แม้ความหวังเล็กน้อยก็จะไม่มีเลย”
ลี่โม่อวี่พยักหน้า เปลวไฟในดวงตาค่อยๆมอดดับลง จ้องตาฉินอีหลิน บอกให้เธอพูดต่อ
“คุณอยู่ข้างนอกยังสามารถทำให้อีกฝ่ายหลงกล ร่วมมือกับอ้ายหลุน ทำเรื่องให้แก๊งKเสียสมาธิ แต่ไม่ให้พวกเขามีกำลังมากมาย จับจ้องจิ่นเซวียน” หลายวันมานี้ฉินอีหลินนอนอยู่บนเตียงตลอด คิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด
แม้ลี่อานโก๋จะสามารถส่งเธอเข้าไปอยู่กับแก๊งKได้ แต่จะช่วยลูกได้ยังไงเธอยังต้องพึ่งตัวเอง
และหน้าที่ของลี่โม่อวี่ เธอก็คิดเอาไว้แล้ว มาพูดตอนนี้ ก็คงน้ำไหลไฟดับ ไม่หยุดชะงัก จนลี่โม่อวี่รู้สึกละอายใจ หลายวันมานี้เขาเป็นห่วงฉินอีหลิน แต่ก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด
ตอนนี้ถูกฉินอีหลินพูดออกมา ลี่โม่อวี่รู้สึกว่าสีหน้านั้นร้อนผ่าว เขาทำอะไรไม่เด็ดเดี่ยวเท่าผู้หญิงคนหนึ่งด้วยซ้ำ