บทที่ 161 พวกเขารู้จักกันเหรอ
หลังจากที่ลี่อานโก๋พูดจบ บุคลากรทุกคนก็มีการตอบสนองทันที
จริงด้วย ก่อนหน้านี้ฉินอีหลินได้เก็บตัวอยู่ในห้องลับตลอด ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ แม้จะพูดถึงความสมบูรณ์แบบของH1 แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ การเคลื่อนไหวของเธอในตอนนี้ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ บุคลากรทั้งหลายก็วางใจ ดูเหมือนว่าการทำลายห้องทดลองไม่กี่วันก่อน ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องนี้เท่านั้น
คนเหล่านั้นเพียงแค่อยากใช้เด็กมาหลอกลวงฉินอีหลินเท่านั้น จะรู้ได้อย่างไรว่ากลับถูกฉินอีหลินใช้ เธอประสบความสําเร็จแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นของตนเอง
ดวงตาของท่านลี่ไม่เคยละจากวิดีโอ และในไม่ช้าสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ทารกเพศหญิงบนร่างของฉินอีหลิน ดวงตาอันแหลมคมของเขาจมลงแล้วหันกลับมาถามลี่อานโก๋ว่า”ลูกหลานของตระกูลลี่ ยังคงอยู่ และผมจะไม่ยอมให้ลูกหลานของตระกูลลี่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป”
พูดเสร็จ ก็ไม่รอให้ลี่อานโก๋เอ่ยปาก ท่านลี่ก็ยกมือเท้าเอวแล้วเดินออกไปก่อนแล้ว
เมื่อลี่อานโก๋ได้ฟังคำพูดของท่านลี่แล้ว ก็ยืนอยู่หน้าจอด้วยหน้านิ้วคิ้วขมวด มองไปที่เด็กคนนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ พวกเขาตกใจกลัวมากจนไม่กล้าพูดอะไรออกไป แต่เขาก็ตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ท่านลี่กำลังพูดกดดันพวกเขาหรือ
อีกด้านหนึ่ง ลี่โม่อวี่ก็ได้มาถึงสนามบินนานาชาติของประเทศY แล้วก็ได้โทรหาอ้ายหลุนทันที
อ้ายหลุนมองเบอร์โทรของลี่โม่อวี่ หนึ่งครั้งด้วยความไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ได้พูดกับผู้จัดการส่วนตัวที่อยู่ข้างกายว่า “ไปเถอะ คุณไปรับเขามา”
อ้ายหลุนได้หลบอยู่ในรถตลอด นักแสดงดาวรุ่งอย่างเขาจะออกไปรับคนที่สนามบินได้หรือ อีกอย่างลี่โม่อวี่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น
แต่ลี่โม่อวี่กลับไม่ได้คิดอะไรมาก ก็ตามผู้จัดการเข้าไปในรถ
“เบอร์โทรที่คุณได้ไปเช็กก่อนหน้าได้เรื่องอย่างไรบ้าง” ทันทีที่ลี่โม่อวี่ขึ้นรถ ก็เห็นว่าคำที่อ้ายหลุนพูดคำแรกไม่ใช่การทักทาย แต่เป็นการถามความคืบหน้าของเรื่องที่ให้จัดการแทน
หลังจากที่ฉินอีหลินเข้าไปห้องลับ ประตูก็ปิดลงด้วย ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไม่คิดจะสนใจอะไรต่อ
มองร่างกายผอมเล็กของหลงจิ่นเซวียนที่อยู่ในอ้อมแขน ในสายตาของฉินอีหลินล้วนรู้สึกปวดใจ ในใจก็เริ่มโกรธเคืององค์กรKมากขึ้นไปอีก
เป็นเพียงแค่เด็กเล็กๆ พวกเขายังลงมือทำได้
ดีที่อารมณ์ของลูกได้สงบลง ฉินอีหลินก็ได้สัมผัสที่แขนอันน้อยนิดของลูก ตามแขนมีรอยเขียงช้ำมากมาย เธอได้ใช้เสียงที่อ่อนนุ่มถามลูกว่า “ จิ่นเซวียน บอกกับแม่ซิ ว่าใครทำลูกแบบนี้ เจ็บไหมลูก”
จิ่นเซวียนก็พยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหัวก็ท่าทีที่เชื่อฟัง เงยหน้าขึ้นพูดกับฉินอีหลินว่า “แม่คะ หนูไม่เจ็บแล้วค่ะ ได้เห็นแม่หนูมีความสุขมากแล้วค่ะ”
ฉินอีหลินก็อย่างร้องไห้ออกมา แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม
สถานการณ์ของพวกเขาก็แย่พอสมควร และ ฉินอีหลินไม่ต้องการแสดงอารมณ์เชิงลบต่อหน้าลูกมากเกินไป
ตราบใดที่เธออยู่ด้วย เธอจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายหลงจิ่นเซวียน อีก เธอกอดลูกไว้ในอ้อมแขนของเธออย่างรักใคร่และพูดเบาๆ ว่า “แม่ก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้พบลูก ต่อไปแม่จะปกป้องคุณเอง”
จิ่นเซวียนจับแขนของฉินอีหลินอย่างแรงและชี้ไปที่บาดแผลแล้วพูดว่า “สิ่งเหล่านี้มาจากการเลาะเลือดทั้งหมด ลูกกลัวเจ็บ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเจาะอีกสองสามครั้ง”
เมื่อฉินอีหลินได้ฟังอย่างนั้น ก็เข้าใจอะไรๆขึ้นมาบ้าง
เธอได้จัดการผมของลูกอย่างช้าๆ เธอไม่อยากให้ลูกมีความกดดันมากเกินไป จึงแสร้งพูดขึ้นอย่างไม่เป็นทหารการ ว่า “จิ่นเซวียนอยู่ที่นี่ในแต่ละวันทำอะไรบ้าง”
มีฉินอีหลินอยู่ด้วย อารมณ์ของหลงจิ่นเซวียนก็สงบลงไม่น้อย หวนนึกถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ หลงจิ่นเซวียนก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้าง นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เธอยังไม่เคยเจอ
หลงจิ่นเซวียนทนไม่ไหวจึงหันเข้าสู่อ้อมกอดของฉินอีหลิน ฉินอีหลินเองก็รู้ได้ทันทีว่าลูกคงกำลังกลัว จึงลูบหัวของเธอ และกล่าวปลอบหลงจิ่นเซวียน “จิ่นเซวียนยิ่งเป็นเรื่องที่กลัว ก็ยิ่งไม่ควรเก็บไว้ในใจ พูดออกมาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว จิ่นเซวียนเด็กดี บอกให้แม่ดีหรือไม่ ให้แม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
การปลอบโยนของฉินอีหลินเกิดผลอย่างมาก หลงจิ่นเซวียนที่พิงอยู่ในอ้อมกอดของฉินอีหลิน พูดเสียงเบาๆว่า “พวกเขาจะเจาะเลือดของลูก จากนั้นจากนั้น..ก็ขังลูกไว้ในห้องที่เล็กๆแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้น จิ่นเซวียนกลัวหรือเปล่า” ได้ยินเช่นนั้นฉินอีหลินก็อยากร้องไห้ขึ้นมา เสียงที่พูดก็สั่นเล็กน้อย ลูกคนนี้ ขนาดนอนคนเดียวในบ้านยังรู้สึกกลัวเลย ไม่อยากจะคิดว่าลูกเจออะไรที่นี่บ้าง
ในขณะที่ลูกไม่รู้สึกตัว ฉินอีหลินก็รีบเช็ดน้ำตาของลูก
หลงจิ่นเซวียนไม่ได้ตอบอะไร เงียบสงบห่อตัวอยู่ในอ้อมกอดของฉินอีหลิน เธอปิดปากแน่น ใบหน้าน้อยแสดงออกถึงความดื้อ ผ่านไปสักพัก หลงจิ่นเซวียนก็เริ่มพูดออกมาช้าๆว่า “แม่คะ หนูคิดถึงแม่ คิดถึงพี่ชาย คิดถึงยาย และคิดถึงน้าชาย”
ฉินอีหลินน้ำตาไหลโดยคุมตนเองไม่อยู่ เธอได้กอดลูกไว้อย่างแนบแน่น ถามอะไรต่อไม่ได้แล้ว
ผ่านไปสักพัก ประตูก็เปิดขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยผู้ชายต่างชาติคนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือยังถือแก้วกาแฟไว้แก้วหนึ่ง
ในเวลานั้นเองความคิดของฉินอีหลินก็ไปอยู่ที่หลงจิ่นเซวียน ไม่มีกระจิดกระใจไปต่อกรกับชาวต่างชาติพวกนั้นสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลงจิ่นเซวียนเห็นคนที่ใส่ชุดกาวน์ปรากฏตัว ร่างกายก็สั่นอยู่ในอ้อมกอดของเธอ
ฉินอีหลินได้กอดตัวของหลงจิ่นเซวียนไว้แน่นๆ พยายามให้การตื่นตระหนกของลูกบรรเทาลง
หลังจากที่ชายชาวต่างชาติวางแก้วกาแฟในมือลง เขาก็ไม่ได้ออกไปโดยตรง แต่พบว่าฉินอีหลินไม่ได้ใส่ใจกับความตั้งใจของเขาเลย เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันหลังและจากไป
ฉินอีหลินมองชาวต่างชาติคนนั้นครั้งหนึ่งด้วยสายอาฆาต หวังเพียงว่าเขาจะออกไปเร็วๆ
เพียงแต่ว่าในขณะที่ชาวต่างชาติคนนั้นหันกลับไปนั้น ทำให้ฉินอีหลินรู้สึกแปลกมาก
พวกเขารู้จักกันเหรอ ทำไมเขาถึงใช้สายตาแบบนั้นมองมาที่ตนเอง มองจนเธอรู้ทำตัวไม่ถูก
“แม่คะ….” หลงจิ่นเซวียนถูกกระตุ้นอีกครั้ง เริ่มร้องไห้เสียงดังอยู่ในอ้อมกอดของฉินอีหลิน
ทันใดนั้นฉินอีหลินก็ไม่มีใจที่จะไปคิดอะไรมากมาย เธอรีบกอดลูกแน่น ตบหลังลูกอย่างเบาๆ ถามลูกด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า “จิ่นเซวียนไม่ต้องกลัวนะ พวกเขาไปแล้ว มีอยู่แม่ แม่จะไม่ให้ใครมาทำร้ายจิ่นเซวียนของแม่อีก”
ร่างกายของหลงจิ่นเซวียนยังคงสั่นอยู่อย่างนั้น ฉินอีหลินก็ทำได้เพียงใช้ความอบอุ่นผู้เป็นแม่ของตนเองไปบรรเทาความกลัวในใจของลูก
สำหรับลูกแล้ว ประสบการณ์แบบนี้คงเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ในตอนนี้สิ่งที่เธอจะทำได้ก็มีเพียงการบรรเทา หวังเพียงต่อไปลูกจะเข้าใจความเจ็บปวดครั้งนี้
ฉินอีหลินปลอบลูกไปสักพัก เสียงร้องไห้ของหลงจิ่นเซวียนก็ทุเลาลง จนสุดท้ายร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว ก็หลับไปพร้อมคราบน้ำตา
จากสิ่งที่เจอเมื่อกี้ ฉินอีหลินก็เริ่มง่วงเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากวางลูกลงบนเตียง
เพียงแต่ จู่ๆเธอก็พบว่ามีกลิ่นแปลกๆ ในอากาศ ไม่น่ารังเกียจ แต่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ๆ
เฟอร์นิเจอร์ในห้องของเธอไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง มีเพียงสิ่งเดียวที่เพิ่มเข้ามา คือถ้วยกาแฟที่ชาวต่างชาตินำเข้ามา