บทที่ 201 ถูกทรยศแต่ยังยินดีที่จะช่วย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะมาเห็นกับตาตัวเองล่ะก็ แม้แต่ตัวเขาเองก็คงจะไม่มีทางเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ได้แน่นอน
คนที่ถูกเรียกว่าเป็นเจ้านายของเขานั้น เป็นนายทหารคนหนึ่งเช่นเดียวกันกับเขา ตอนนี้สีหน้าของเขาดูปกติอย่างมาก เขาค่อยๆ สูบซิการ์มวนนั้นเข้าปอดอย่างเรียบเฉย กว่าจะปล่อยกลุ่มควันหนาออกมาก็ผ่านไปเป็นเวลาครู่หนึ่งแล้ว ใบหน้าที่คนมองไม่ออกอยู่แต่เดิม ก็ยิ่งดูลึกลับและทำให้สับสนมากกว่าเดิมอีก
คนนั้นขมวดคิ้วขึ้นเมื่อรู้สึกตัว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นถึงเจ้านายของตัวเอง ตั้งแต่แรกเริ่มเขารู้ดีว่าเจ้านายของเขามีจิตใจโหดเหี้ยม แต่กลับบไม่เคยคิดว่าเขาจะโหดร้ายถึงขนาดนี้มาก่อน เป็นเพราะเขาไม่เคยคิดว่าเรื่องมันจะมาถึงขั้นนี้ได้
เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก เพื่อไม่ให้ตื่นเต้นมากไปกว่านี้ เขาจึงเลือกที่จะยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอให้ Mr.Reade ตอบ สภาพรอบๆ ของเขาตอนนี้มีแต่ความมืดสลัวเข้าปกคลุม หากไม่สังเกตให้ดีๆ ล่ะก็ คงไม่เห็นแน่ว่ามีคนยืนอยู่คนหนึ่ง
“หึๆ……” ผ่านไปอยู่นาน Mr.Reade ก็หัวเราะเสียงต่ำออกมา แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีความหมายตามเสียงหัวเราะแต่อย่างใด แถมยังดูเย็นยะเยือกเป็นพิเศษในค่ำคืนที่เงียบสงัดแบบนี้อีกด้วย
“ถ้าฉันไม่อยากช่วยล่ะ?” Mr.Reade ถามกลับแกมหยอกล้อ เขาเม้มดูดซิการ์ที่คาบไว้เฮือกหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นต่ออีกว่า : “ตอนนั้นฉันถูกลากไปสอบสวนที่องค์การสหประชาชาติน่ะสิ อีกอย่าง H1 ก็เป็นของที่ฉันรอคอยมาตลอดเกือบครึ่งชีวิต ฉันคงทำอะไรต่อไปไม่ได้ และก็คงไม่มีทางที่จะให้คนอื่นมาทำให้เสียค่าแน่ๆ”
พอได้ยินสิ่งที่เขาพูดคนนั้นก็นิ่งอึ้งไป เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าเหตุผลจะเป็นแบบนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถดำเนินการวิจัยต่อไปได้ ทำให้ตอนนี้ในใจของเจ้านายของเขา ก็คงคิดจะทำลาย H1 เป็นแน่ เขาจึงทำได้เพียงเคารพในคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น อีกอย่าง H1 ก็เปรียบได้ดั่งเลือดเนื้อของเขา เขาเองก็คงจะไม่ได้มีสภาพจิตใจที่ดีเหมือนกันนั่นล่ะ
“นายน่าจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดใช่ไหม?” Mr.Reade เหลือบมองด้วยจิตสังหารที่แผ่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เข้าใจครับ”
“เข้าใจก็ดีแล้ว” Mr.Reade พยักหน้าอย่างพอใจ เพราะเขาเชื่อฟังเหมือนกับสุนัขมาตลอด
“มีไหวพริบหน่อยล่ะ ใช้พวกทหารรับจ้างก็ได้ แล้วก็…” Mr.Reade พูดพลางหยุดลงอย่างกะทันหัน แต่ก็กลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว : “อย่าให้คนอื่นสาวมาถึงตัวคนเบื้องหลังได้เด็ดขาด”
“ครับ!” คนนั้นทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พร้อมทั้งโค้งคำนับลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
Mr.Reade เหมือนจะชอบท่าทางของชายที่อ่อนน้อมถ่อมตนที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตบบ่าของคนนั้นเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ Abner”
……
ณ บ้านพักตระกูลลี่
หยางผิงเห็นว่าลี่โม่อวี่ยอมเข้ามากินข้าวในบ้าน จึงรู้สึกดีอกดีใจอย่างมาก ขณะที่เธอกำลังรุดเพื่อที่จะไปจูงมือของลี่โม่อวี่ให้เข้ามาด้านในบ้านนั้น ก็สบเข้ากับสายตาที่เยือกเย็นของลี่โม่อวี่ จึงรีบหดมือกลับทันที พร้อมด้วยความขมขื่นที่รู้สึกขึ้นในใจ ไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่า เขาไม่มีทางให้เธอไปแตะต้องตัวเขาแน่
พอคิดได้แบบนี้ หยางผิงก็วิ่งอยู่ข้างๆ ของฉินอีหลิน พร้อมทั้งจูงมือของฉินอีหลินเดินเข้าไปในบ้านอย่างมีความสุข
หากดูจากเรื่องเมื่อสักครู่เธอก็มองออก ว่าผู้หญิงตรงหน้าของเธอนั้น ต้องอยู่ในใจของเขาไม่มากก็น้อย ถึงแม้จะไม่ยอมรับ แต่หยางผิงก็รู้ดี ว่าปริมาณความรู้สึกที่มีนั้น มันมากกว่าที่ๆ ตัวเองมีอยู่ในใจของลี่โม่อวี่อีก
หยางผิงยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดขึ้นในใจ
แต่เธอก็ปรับอารมณ์กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยิ้มหันไปทางฉินอีหลิน เธอต้องดูแลผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ให้ดี ขอเพียงมีเธออยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าลูกของเธอจะไม่อยู่ที่บ้านนี้แน่นอน
พอคิดได้แบบนี้ หยางผิงก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าที ที่เมตตาเอ็นดูกับฉินอีหลินขึ้นมาก
ทุกคนต่างก็เข้าไปในบ้านกันหมดแล้ว ลี่จิ่งที่กำลังเตรียมจะเดินเข้าประตูบ้านไป ก็ต้องชะงัก ก่อนจะรีบชักเท้ากลับออกมา
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ เขารู้ว่าต้องเป็นแบบนี้แน่นอน ทุกคนต่างก็เมินเขา พอลี่โม่อวี่กลับมา เขาก็กลายเป็นคนที่มีก็เหมือนไม่มี แม้แต่พ่อกับแม่ที่รักและเอ็นดูเขามาตลอด ก็ยังทำราวกับว่าไม่เห็นหัวตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งคิด มือที่อยู่ข้างลำตัวของลี่จิ่งก็กำแน่นขึ้น พร้อมด้วยดวงตาที่จ้องไปยังร่างกายของลี่โม่อวี่เขม็ง พร้อมทั้งคิดว่า เขาไม่สมควรจะอยู่!
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ลี่โม่อวี่นั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมทั้งปล่อยให้หยางผิงทักทายตัวเองไปแบบนั้น จริงๆ แล้วตั้งแต่ลงจากรถมา เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่เป็นศัตรูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
คนที่มีประสาทสัมผัสไวอย่างเขา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงที่งุ่มง่ามมากแค่ไหน ไม่มีทางที่เขาจะมองไม่ออก เพียงแต่เขาไม่อยากที่จะทำให้สถานการณ์มันยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้เท่านั้น
เขารู้เองโดยปริยายว่าผู้ชายที่ดูคล้ายๆ กันกับเขานั้นคิดอะไรอยู่ แล้วก็กังวลอะไรอยู่กันแน่ แต่บางทีเขาเองก็อาจจะไม่รู้ก็ได้ แต่มือที่กำแน่นทั้งสองข้างของเขาที่ทำให้เห็นนั้น มันบอกความคิดในใจของเขาออกมาหมดแล้วล่ะนะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาของลี่โม่อวี่ก็ยิ่งเยือกเย็นลงอีก เขายกแก้วชาบนโต๊ะขึ้นจิบ พร้อมทั้งชายตามองไปยังร่างกายนั้น พร้อมด้วยมุมปากที่เผยอยิ้มอย่างเยาะเย้ย
ตัวเขาเองไม่ได้สนใจอะไรตระกูลลี่เลยแม้แต่น้อย ในใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นของใดๆ ของตระกูลลี่ก็ตาม ก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาเลย เขาอยากที่จะไปจากบ้านที่ไม่ได้เป็นของเขาเองหลังนี้ให้ไกลที่สุด อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะกลับมาบ้านตระกูลลี่เลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ลี่จิ่งเองก็คงมีแต่ความคิดเป็นศัตรูกับตัวเขาเองอย่างรุนแรงแน่นอน
คนข้างๆ ต่างก็ล้วนแล้วแต่อยากได้ผลประโยชน์กันทั้งนั้น เฮ้อ…ลี่โม่อวี่คิดพลางยิ้มเยาะในใจ
“รีบมากินข้าวกันเถอะ!” หยางผิงยกกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะด้วยตัวเอง ก่อนจะเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน แล้วพูดอย่างอบอุ่น
ปกติแล้วเรื่องพวกนี้เธอไม่จำเป็นต้องทำเองเลยด้วยซ้ำ เพราะที่บ้านตระกูลลี่ ไม่ได้ขาดแคลนคนรับใช้อยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เธออยากจะทำอาหารให้ลูกชายสุดที่รักของเธอกินด้วยตัวเอง เพื่อให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัว ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่า ความคิดนี้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม แต่ขอเพียงแค่มีโอกาสสักนิดหนึ่งก็ยังดี เธอก็จะไม่มีทางที่จะปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน
มันต้องมีสักวัน ที่ลูกจะให้อภัยเธอได้ หยางผิงไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับคำพูดนี้มาก่อนเลย
แต่ว่าตอนนี้ ลี่จิ่งเดินเข้ามาในบ้าน ตอนที่เขาเดินผ่านโซฟาตัวนั้น ลี่โม่อวี่ก็ลุกขึ้นยืนพอดี ทั้งสองคนต่างก็สบตาหากัน ลี่โม่อวี่ใช้สายตาที่เยาะเย้ยมองไปที่ลี่จิ่ง พร้อมทั้งเผยอมุมปากขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่มีแต่พวกเขาสองคนได้ยินว่า : “สิ่งที่นายสนใจน่ะ มันไม่มีค่าสำหรับฉันหรอกนะ! อย่าเห็นคู่ต่อสู้ผิดคน อย่าถูกทรยศแล้วไปช่วยเหลือคนทรยศอีกล่ะ” น้ำเสียงของเขาดูเรียบเฉยอย่างมาก แต่มันก็ทำให้ลี่จิ่งรู้ได้เลยว่า เขาไม่ได้เห็นตัวเองอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ลี่จิ่งได้ยินแบบนั้นก็ทำสีหน้าแข็งทื่อ พร้อมด้วยความเยือกเย็นเข้ามาแทนที่
เขารู้สึกชังความรู้สึกแบบนี้อย่างมาก อีกทั้งสิ่งที่ลี่โม่อวี่พูดก็เป็นความจริง เขาไม่มีทางที่จะปฏิบัติอย่างมีเหตุผลได้
มันต้องมีสักวัน ที่เขาต้องทำให้ความหยิ่งทระนงของลี่โม่อวี่แตกเป็นเสี่ยงๆ และคอยมองเขาล้มลงกับพื้นอย่างสะใจ
“หึ…คิดว่างั้นหรือ?” ลี่จิ่งพูดทิ้งท้ายอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร เพียงแค่ดูจากท่าทางก็รู้แล้วล่ะว่าแพ้
หลังจากที่หยางผิงยกอาหารมาวางไว้บนโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อย เธอก็หันไปมองลี่โม่อวี่ตาไม่กระพริบ รอคอยให้เขามานั่งอยู่ข้างๆ เพื่อให้เขากินกับข้าวฝีมือของเธอเอง
แต่ก่อนหน้านั้นหยางผิงไม่ได้รู้เลยว่า การที่เธอได้ลงมือทำอาหารให้ลูกของตัวเองกินนั้น จะทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจถูกเติมเต็มจนพองโตได้ขนาดนี้
ลี่โม่อวี่ดึงมือของฉินอีหลินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เขาหยิบตะเกียบขึ้น พอเห็นอาหารต่างๆ บนโต๊ะ ลี่โม่อวี่ก็นิ่งอึ้งไปครู่เดียว แต่ก็กลับมาเป็นเยือกเย็นเหมือนเดิม
“ทำไมไม่กินกันล่ะจ้ะ?” หยางผิงถาม พร้อมด้วยน้ำเสียงที่ดูกระวนกระวายอย่างปิดไม่มิด หรือว่าอาหารที่ตัวเธอทำจะไม่อร่อยกัน? แต่เป็นไปไม่ได้สิ! เธอก็ลองชิมมาก่อนแล้ว รสชาติก็ไม่ได้แย่นี่นา!