บทที่ 208 ดูถูกชายตรงหน้าไปหน่อย
แต่ฉินอีหลินนั้นกลับเกิดข้อสงสัยกับเสียงอุทานดีใจของหยางผิง เธอหันไปมองลี่อานโก๋ด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้หาข้อมูลของเธอกับลี่โม่อวี่ จนชัดเจนแจ่มแจ้งไปแล้วหรือไง ทำไมถึงไม่ได้บอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ ให้หยางผิงฟังล่ะ
ฉินอีหลินเห็นว่าลี่อานโก๋นั้นไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เธอจึงหันไปหาลี่โม่อวี่ เพราะเธอไม่เข้าใจความคิดของผู้ชายคนนั้นจริงๆ เธอหวังว่าลี่โม่อวี่คงจะอธิบายให้เธอฟังได้ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขณะที่ฉินอีหลินคิดว่าลี่อานโก๋คงจะอธิบายให้เธอไม่ได้ ผู้ชายที่ดูน่าเกรงขามคนนั้นก็พูดขึ้นอย่างนิ่งขรึมว่า : “เป็นเพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าลี่โม่อวี่จะให้อภัยกับฉันหรือเปล่า ถ้าหากให้เธอรู้เรื่องเด็กๆ ล่ะก็ ฉันเกรงว่าเธอจะจับไข้ไปเสียก่อน”
ฉินอีหลินที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเพื่อแสดงความเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอก็ได้ยินลี่อานโก๋พูดมาอยู่บ้าง ว่าร่างกายของหยางผิงไม่ดี คุณหมอก็แนะนำว่าอย่าทำอะไรให้ไปสะเทือนอารมณ์ของเธอมากนัก ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเป็นโรคหัวใจไปได้
ถ้าหากว่าลูกไม่กลับมา ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานเลย ฉินอีหลินเองก็เป็นแม่คนหนึ่ง เธอต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
เกรงว่าชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของหยางผิงหลังจากนี้ อาจจะมีแต่ความเจ็บปวดก็ได้
หยางผิงในตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ในสมองของเธอตอนนี้มีแต่ความคิดที่ว่าได้กลายเป็นคุณยายเท่านั้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกปลงที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งรู้สึกเบิกบานใจที่มีคนมาสืบสกุลต่อ จนตอนนี้ก็ถือได้ว่ามีสี่ชั่วอายุคนแล้ว
“เด็กชื่อว่าอะไรหรือ?” หยางผิงดึงแขนของฉินอีหลินไว้ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ
“คนพี่ชื่อว่าหลงหมิงเจ๋อค่ะ ส่วนน้องสาวชื่อว่าหลงจิ่นเซวียนค่ะ” ฉินอีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ
จริงๆ แล้วเธอก็รู้สึกไม่ค่อยดีที่จะพูดออกไป ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกๆ ของพวกเธอก็ตาม แต่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลลี่ แต่เด็กทั้งสองคนก็ใช้สกุลของฝั่งแม่ทั้งหมด
หยางผิงไม่ได้รู้ว่าฉินอีหลินกับลี่โม่อวี่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน พอเธอได้ยินว่าเด็กทั้งสองมีสกุลว่า ‘หลง’ เธอจึงหันไปมองลี่โม่อวี่ ก็ยังเห็นว่าเขายังทำสีหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เธอจึงไม่ได้พูดอะไรขึ้นอีก
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่พอใจเรื่องสกุลของพวกเด็กๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้หากไม่รักษาสัมพันธ์อันดีกับฉินอีหลินไว้ล่ะก็ เธอก็คงไม่ได้เห็นทั้งลูกตัวเองแล้วก็หลานทั้งสองแน่นอน
พอคิดได้แบบนี้ หยางผิงก็เก็บสายตาสงสัยนั้นกลับ แล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มแทน : “ตอนนี้มีรูปภาพบ้างไหม?”
“ไม่มีเลยค่ะ” ฉินอีหลินส่ายหัว ก่อนหน้านี้ที่ฐานทัพของกลุ่ม K ของทั้งหมดของเธอถูกเก็บไปจนเกลี้ยง อีกทั้งมือถือที่มีลี่โม่อวี่ก็เพิ่งจะซื้อใหม่ให้เธอ ทำให้ไม่มีเบอร์คนที่จะติดต่อ หรือแม้แต่รูปภาพใดๆ ก็ตาม
“อย่างงี้นี่เอง” น้ำเสียงของหยางผิงฟังออกเลยว่าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอนี่ ไว้ครั้งหน้าก็ค่อยให้พวกเขาพาพวกเด็กๆ มาก็ได้ ตำแหน่งคุณยายของเธอไม่มีใครจะแย่งไปได้หรอกนะ จริงไหม?” คุณปู่ลี่เห็นว่าหยางผิงทำท่าทีหดหู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จริงๆ แล้วเขาตั้งใจพูดคำพวกนั้นออกมาเอง
ลูกหลานของตระกูลลี่ อย่างไรก็เป็นลูกหลานของตระกูลลี่อยู่วันยังค่ำ ถึงแม้ว่าจะมีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงด้านสายเลือดไปได้ และลี่โม่อวี่ ก็ต้องเข้าร่วมเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษของตระกูลด้วย
“คุณพ่อพูดถูกค่ะ” หยางผิงได้ยินแบบนั้น ก็ยิ้มขึ้น
“โม่อวี่ ได้ยินมาว่าการค้าที่เมืองกั่งซื่อนั้นเจริญรุ่งเรืองมากเลยใช่ไหม เป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรยากกว่าการเป็นข้าราชการหรือเปล่าล่ะ?”
เพียงแค่มองลี่อานโก๋ก็รู้ว่า ก่อนหน้าที่คุณปู่ลี่จะเกษียณนั้น ท่านมีความสามารถมาก แต่ลี่โม่อวี่กับฉินอีหลินนั้นกลับไม่รู้เลยว่า คุณปู่ลี่นั้นร้ายกาจถึงขั้นไหนกันแน่
เมื่อตอนนั้นที่ประเทศจีนเปิดประเทศ ตระกูลลี่มีวีรกรรมในสงครามมาก็ไม่น้อย หรือจะพูดได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกประเทศก็ว่าได้ แต่เขาไม่ยอมที่จะเข้าร่วมการหลอกกันไปหลอกกันมาแบบนั้น จนต่อมาเขาก็ซาหายกันไปเอง
แต่พอลี่อานโก๋เติบโตจนเป็นผู้ใหญ่ เขาก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า ‘ดูซิว่าใครจะกล้ามาขวางลูกฉัน!’ แค่นั้นก็ทำให้ลี่อานโก๋ได้เข้าไปนั่งเป็นการเมืองระดับสูงได้สบายๆ เลย
ซึ่งลี่อานโก๋ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย สิบปีที่ผ่านมานี้ เขาประสบความสำเร็จและก้าวหน้าไปไกลอย่างมาก
จึงทำให้คำพูดที่ว่า ‘อาศัยบารมีพ่อ’ ค่อยๆ เลือนหายไป จนปัจจุบันนี้หากใครพูดถึงลี่อานโก๋แล้วล่ะก็ ใครจะกล้าพูดแค่คำสั้นๆ ล่ะ? แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ก็ตาม นักการเมืองหัวกะทิต่างๆ ในสภาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตระกูลลี่ยังไม่มีทางล้มได้ง่ายๆ
“ก็ยังพอไหวอยู่ครับ แค่พยายามทำทุกอย่างให้ตรงตามเวลา ก็พอจะฝืนทนไปได้อยู่ล่ะครับ” ถึงแม้ว่าลี่โม่อวี่จะไม่คิดจะกลับมาตระกูลลี่ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ไม่รู้จักอะไรกับคุณปู่ลี่คนนี้เลย ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างสุภาพเท่าที่ทำได้
“ฉันได้ยินมาว่านายมีลูกน้องที่ใช้การได้อยู่ตั้งหลายคนเลยนี่ ไม่กลัวว่าพวกเขาจะหักหลังหรือ?”
“ใช้คนต้องไม่ลังเล คนที่ลังเลไม่สมควรใช้”
“ฮ่าๆ นี่ล่ะนะจุดที่เหมือนฉัน อานโก๋ ดูเด็กนี่สิ ลูกของลูกมีอนาคตกว่าเยอะเลยนะ ใช้ชีวิตมาขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ” คุณปู่ลี่ดูเหมือนว่าจะพูดอย่างดีอกดีใจ เขายิ้มไปด้วย พลางไม่ลืมที่จะต่อว่าลูกของตัวเองไปด้วย
แต่ลี่อานโก๋นั้นพอถูกต่อว่าต่อหน้าทุกคนแล้ว เขากลับไม่ได้มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด เขายังคงพยักหน้ารับอย่างถ่อมตน : “พ่อพูดถูกครับ”
“บริษัทของเธอมีแผนที่จะขยายออกไปบ้างไหมล่ะ? ถ้าหากว่ามีล่ะก็ ฉันจัดหาทรัพยากรนิดๆ หน่อยๆ ให้ได้นะ” คุณปู่ลี่ไม่มองดูท่าทีของลูกตัวเองเลยแม้แต่นิด เขายังคงพูดคุยกับลี่โม่อวี่อย่างเบิกบานใจแบบนั้น
“ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลยครับ เมื่อสองปีก่อนผมเพิ่งจะกำจัดการค้าผิดๆ ที่เมืองกั่งซื่อไป ตอนนี้ยังมีอะไรหลายอย่างที่ไม่มั่นคง ถ้าหากว่าทำการขยายไปตอนนี้ล่ะก็ คงจะเกิดเรื่องได้ง่ายแน่นอนครับ ขอบคุณคุณปู่นะครับที่ชี้แนะ”
จริงๆ แล้วคำตอบของลี่โม่อวี่นั้นมีอีกนัยหนึ่งแฝงอยู่ นั่นก็คือถ้าหากเขายอมรับการช่วยเหลือของตระกูลลี่จริงๆ นั่นก็เท่ากับว่าเขายอมรับที่จะกลับมาที่บ้านตระกูลลี่แล้วนั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะไม่กลับไป ก็อาจจะติดค้างความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ
ฉินอีหลินรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อคุณปู่ลี่เริ่มพูด เธอกลัวว่าลี่โม่อวี่จะทำกับเขาเหมือนอย่างที่เขาทำกับลี่อานโก๋ แต่จริงๆ แล้วเธออาจจะดูถูกผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอไปเสียหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรตอนไหนก็ตามแต่ เขาก็จะทำมันได้อย่างเป๊ะๆ ไม่ผิดพลาด
ซึ่งในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างเป็นสุขนั้น ลี่จิ่งกลับมีดวงตาที่แดงก่ำขึ้นมา
มือทั้งสองข้างที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะนั้นถูกกำจนแน่น จนเส้นเลือดโผล่ขึ้นที่หลังมือของเขา เป็นเพราะใช้แรงมากเกินไป จึงทำให้มือของเขาสั่นขึ้นมา
ลี่โม่อวี่ที่จู่ๆ ก็โผล่มา อาศัยอะไรในการได้รับความเป็นห่วงและความรักขนาดนี้กัน เขาอาศัยอะไรมาช่วงชิง ของที่เขาใฝ่ฝันไปอย่างง่ายดายแบบนี้
หลายปีที่ผ่านมา คุณปู่ของเขาไม่เคยพูดคุยอย่างสนิทสนมกับเขาแบบนี้มาก่อน แถมหยางผิงก็ไม่เคยสนใจความรู้สึกของเขามาก่อนด้วย
อาศัยอะไรกัน? เป็นเพราะเขาไม่ใช่ลูกของพวกเขาหรือไง? ความสัมพันธ์ตลอดยี่สิบปีจะถูกทำลายลงอย่างง่ายดายแบบนี้หรือ?
เขาหรี่ตาลงด้วยจิตใต้สำนึก พร้อมทั้งก้มหน้าก้มตาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้น เพราะกลัวว่าลี่อานโก๋จะเห็นเขาที่ผิดปกติไป แต่การที่เขาไม่พูดอะไรก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอดทนมันได้หรอกนะ
เขาควรจะทำอะไรสักอย่าง
ตอนนี้เขายังสามารถมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกันได้ ต่อไปเขาก็สามารถแย่งความรักทั้งหมด ไปจากพ่อกับแม่ของเขาได้เช่นกัน อีกอย่างหลังจากนี้ลี่โม่อวี่ ก็อาจจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเขา และของตระกูลลี่ไปหมดก็ได้ เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด!