บทที่ 234 มีเรื่องอะไรปิดบังฉัน
“หืม? ทำไมล่ะ?”
ตอนแรกอานหน้ากำลังเตรียมปักชื่อบนกระเป๋าหนังสือของเด็กทั้งสอง ตอนนี้เห็นฉินอีหลินพูดแบบนี้ ถึงเธอจะอาลัยอาวรณ์เด็กทั้งสองคน แต่ก็ยิ้มและพูดต่อว่า” หมิงเจ๋อและจิ่นเซวียนเข้าเรียนช้ากว่าเด็กที่อายุเท่ากัน ตอนนี้ยังไงก็อยู่บ้านต่อไม่ได้แล้ว”
เรื่องนี้ทำให้ฉินอีหลินลังเลใจ และอานหน้าก็ไม่รู้เรื่องลอบฆ่าเมื่อก่อน และไม่รู้ว่า องค์กร “K” กลุ่มก่อการร้ายถูกถอนรากถอนโคนไปหมดหรือยัง ถึงแม้หลงเซี่ยวเทียนไม่ได้บอกเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะตกใจกลัว ตอนนี้เธอจะกลั้นใจบอกแม่เรื่องนี้ยังไง
แต่ว่าถ้าหากไม่พูด เด็กสองคนนั้น……
“ช่วงเวลานี้เด็กๆ ควรจะใช้เวลาออกไปเล่น รอผ่านไปสองปี ขึ้นประถมแล้ว ก็ไม่มีเวลามาเล่นสนุกแบบนี้แล้ว”
“แต่ว่าเมื่อก่อนแม่ไม่ได้ไม่ยินยอมส่งเด็กสองคนนี้ไปโรงเรียนอนุบาลหรอกเหรอคะ? แถมยังพูดว่าไม่อยากให้พวกเขาตกอยู่ในความก้าวหน้าอีก”
อานหน้าไม่รู้ว่าทำไมฉินอีหลินจู่ๆ ก็กลับคำ เธอวางกระเป๋าสองใบลง และถามอย่างสงสัย
“ฉันเคยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด เมื่อก่อนคิดไม่ค่อยรอบคอบ อายุที่เด็กสองคนเล่นสนุกก็ควรออกไปเล่นสนุก”
แววตาของฉินอีหลินเป็นประกาย ถึงแม้เธอจะไม่ชื่นชมเหตุผลนี้ แต่ว่าตอนนี้คิดข้ออ้างที่ดีกว่านี้ไม่ออก
“เมื่อก่อนแม่ไม่ได้พูดแบบนี้”
อานหน้ามองท่าทางของลูกสาวอย่างสงสัย เธอคือคนคลอดเด็กๆ เธอรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดจริงและเท็จแค่ไหน “อีหลิน บอกแม่ ที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น? แม่เชื่อว่าแกจะไม่โกหกแม่”
ถ้าหากอานหน้าเพียงถามเธอ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เธอยังจะหาเหตุผลสร้างเรื่องมาได้ แต่ว่าตอนนี้อานหน้ากลับอุดปากฉินอีหลินไว้ บอกว่า เขาเชื่อว่าเธอจะไม่โกหกแม่ตัวเอง
ตอนนี้ฉินอีหลินไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
เธอพูดไม่ได้ว่า กลุ่มก่อการร้ายขององค์กร “K” ยังไม่ถูกจัดการ และยิ่งพูดไม่ได้คือชิวหันเยียนหนีออกมาแล้ว พวกเขาสามารถแก้แค้นพวกเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ตลอดเวลา
ถ้าหากมุ่งเป้ามาที่เธอคนเดียวก็ดี แต่ว่าถ้าหากพวกเขาเอาเด็กไปเป็นตัวประกัน…….
เธออดทนไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องกับเด็กทั้งสองคน…….
“เมื่อกี้จิ่นเซวียนออกมาจากเขตองค์กร“K” ยังไม่ทันพาเธอไปตรวจร่างกาย ตอนนี้จะไปโรงเรียนคิดว่าคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่”
“งั้นก็ส่งหมิงเจ๋อไปก่อน ถึงตอนนั้นค่อยให้เขากลับมาสอนจิ่นเซวียน”
อานหน้าคิดถึงความปลอดภัยของหลานสาว ก็พยักหน้าตกลง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพ
“ไม่ได้ หมิงเจ๋อก็ไปไม่ได้คะ”
ฉินอีหลินพูดออกมาแทบไม่ได้คิด เมื่อเธอเห็นอานหน้าตกใจและแสดงความสงสัยออกมา เธอก็รู้ว่าเธอกำลังเผยความลับออกมา
“เพราะว่า……เพราะว่า……พวกเขาสองคนเป็นฝาแฝดกัน ยากที่จะแยกความรู้สึกหรือร่าฃกายที่เชื่อมกันไว้ ถ้าหากจิ่นเซวียนต้องตรวจร่างกาย งั้นหมิงเจ๋อก็ต้องตรวจ”
“ช่วงนี้ร่างกายของหมิงเจ๋อแข็งแรงเป็นพิเศษ แถมเมื่อก่อนตอนที่รับเขากลับมาบ้าน หมอก็ตรวจร่างกายให้เขาเรียบร้อยแล้ว บอกว่าทุกอย่างปกติดี”
“ตอนนั้นตรวจเร่งรีบเกินไป ไม่ถูกต้องแน่ๆ ฉันคิดว่าต้องตรวจอีกรอบถึงจะวางใจได้”
ตอนที่ฉินอีหลินพูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ไม่สงบมากขึ้น เธอไม่เคยโกหกอานหน้าจริงๆ
“อีหลิน แท้จริงแล้วแกมีเรื่องอะไรปิดบังแม่อยู่?”
จู่ๆ อานหน้าก็เงยหน้าขึ้น มองมาที่ฉินอีกลินอย่างจริงจัง
“ไม่มีค่ะ แม่ คุณคิดมากไปแล้ว”
ฉินอีหลินฝืนยิ้ม ตอนนี้เธอไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ ถ้าหากพูดคุยอีกสักพัก เธอต้องเปิดเผยความลับแน่ “ฉันลงไปดูลี่โม่อวี่ ก่อนนะคะ ไม่รู้ว่าหลงหมิงเจ๋อเด็กคนนี้จะกลั่นแกล้งเขายังไง”
“ไปเถอะ”
ถึงแม้อานหน้ายังคงไม่เชื่อ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ถามอะไร ถึงตอนนี้เธอจะไม่ได้สอบถาม ก็ไม่แสดงว่าเธอจะไม่สืบหาเรื่องนี้จนชัดเจน
ตอนที่ฉินอีหลินถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเธอก็เห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เธอน้ำตาไหล
ตอนนี้ในห้องรับแขกมีแต่รอยยิ้ม แถมหลงหมิงเจ๋อยังขี่หลังลี่โม่อวี่ อยู่ ปากยังร้องว่า “ไป ไป ไป “ลี่โม่อวี่ในชุดสูทยังคงคว่ำอยู่บนพื้น ค่อยๆ วนรอบโต๊ะชาตามคำสั่งของเด็กๆ
และหลงจิ่นเซวียนนั่งตบมืออยู่ข้างๆ
ภาพนี้เข้ามาในสายตาของฉินอีหลิน
เธอเกือบไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ของหลงหมิงเจ๋อมาก่อนลี่โม่อวี่ เป็นคนที่หยิ่งในตัวเองขนาดนั้น แต่เพื่อลูกๆ เขากลับยอมคลานเป็นม้าอยู่บนพื้น
พูดว่าไม่ซึ้ง ก็คงจะเสแสร้งเกินไป
ฉินอีหลินมองในหน้าที่มีความสุขของลี่โม่อวี่ นิ่งๆ มีรอยยิ้มกว้างๆ ที่มุมปาก
ผู้ชายคนหนึ่งอยู่ข้างนอกไม่สนมีชื่อเสียงแค่ไหน มีอำนาจแค่ไหน กลับมาบ้าน เขาก็เป็นสามีธรรมดาคนหนึ่ง และเป็นพ่อที่รักลูกๆ
นี่คือความจริงที่เรียบง่าย แต่คนที่ทำได้กลับมีไม่เท่าไหร่
ฉินอีหลินไม่รู้จะดีใจหรือปลื้มใจ ที่ลี่โม่อวี่ สามารถทำมันได้
ตอนที่ฉินอีหลินซาบซึ้งใจอยู่นั้น อานหน้าก็เดินออกมาจากห้องนอน
เมื่อกี้ได้ยินเธอบอกว่าลี่โม่อวี่ มาแล้ว เธอก็ไม่เชื่อ เธอหาข่าวอะไรที่มีประโยชน์จากปากลี่โม่อวี่ก็ไม่ได้
แต่ว่าเมื่อกี้ตอนที่เปิดประตู เธอก็เห็นฉินอีหลินยังคงซาบซึ้งอยู่ และในห้องรับแขกเด็กทั้งสองคนและลี่โม่อวี่ ยังเล่นกันสนุกสนานอยู่
เธอเลิกคิ้วขึ้น ถึงแม้อานหน้าไม่พอใจวิธีการของลี่โม่อวี่ แต่ตอนนี้ไม่ควรเพราะว่าความไม่พอใจและลืมเป้าหมายในตอนแรก
“โมอวี่ เธอขึ้นมาข้างบนหน่อย ฉันมีเรื่องอยากถามเธอ”
จู่ๆ ลี่โม่อวี่ ก็ได้ยินเสียงเรียนของอานหน้า ก็เงยหน้าขึ้น แต่ว่าเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉินอีหลินเอียงหน้าเข้ามา
ตอนนี้หลงหมิงเจ๋อก็เห็นฉินอีหลินแล้ว เขาก็ลงจากหลังลี่โม่อวี่ ด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ยิ้มและวิ่งเข้ามากอดแม่ที่อยู่ข้างหน้า “แม่ครับ พ่อให้ผมขี้หลังม้า! พ่อบอกว่าหลังจากนี้จะให้ผมขี่ม้า!”
แต่ว่าตอนนี้ฉินอีหลินกลัยไม่ได้สังเกตว่าหลงหมิงเจ๋อเรียกลี่โม่อวี่เปลี่ยนไป เธอเพียงแค่มองผู้ชายที่หยิ่งยโสคนนั้น เบ้าตาก็ค่อยๆ แดงขึ้นมา
ลี่โม่อวี้เหงื่อเต็มตัวลุกจากพื้น เพราะว่าร้อน ถึงได้ถอดเสื้อคลุมออก
ฉินอีหลินเห็นแบบนี้ ก็เดินไปรับเสื้อคลุมในมือของลี่โม่อวี่ และหยิบป้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเช็ดเหงื่อให้ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้า “อายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมยังเด็กกับเด็กๆ อยู่”
เธอไม่รู้เลยว่า น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความน่ารักและเป็นห่วงแค่ไหน
อานหน้าเห็นแบบนี้ก็ดีใจอย่างมาก คิดถึงเมื่อก่อนที่เห็นลี่โม่อวี่ และมู่หลิง อยู่ด้วยกันที่ร้านอาหารนั้น เธออยากหาคนมาจัดการสองคนนี้ใจจะขาด แต่ว่าตอนนี้ เธอดีใจที่ตอนนั้นยังมีสติ
แต่ว่าไม่สนว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะอบอุ่นแค่ไหน ก็หยุดอานหน้าที่อยากรู้ความจริงไม่ได้
คิดถึงตรงนี้ อานหน้าก็เลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงเพิ่มความหนักแน่นขึ้นไปอีก
“โม่อวี่ขึ้นมานี่ ฉันมีเรื่องอยากถาม”