บทที่ 259 ผู้หญิงที่มีสีหน้าอึดอัด
“คุณเป็นบ้าหรอ!”
เมื่อฉินอีหลินได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับประสาทเสีย เธอไม่เข้าใจความคิดการอ่านของคนดาวอังคารเหล่านี้เลย แค่เห็นหน้ากันครั้งเดียวก็ให้เธอแต่งานแล้ว
แต่ตอนนั้นลี่โม่อวี่เองก็เพียงคืนเดียวเอง เฮ้ยถุย! คิดบ้าอะไรอยู่…..
ฉินอีหลินพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง เธอจ้องมอง ซือเซี่ย และเปล่งเสียงปกติที่สุดของตัวเองพูดคุยกับเขา แต่เพราะเธอยังรู้สึกโมโหอยู่ น้ำเสียงเลยสั่นเทาเล็กน้อย
“ฉันแต่งงาน มีลูกแล้ว!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซือเซี่ย กลับไม่เผยสีหน้าแปลกใจ และไม่พอใจออกมาเลย แต่เขากลับพยักหน้าเล็กน้อย : “ผมรู้”
“ทั้งที่คุณรู้ยังคิดแต่งงานอีกหรอ! สมองของคุณมีน้ำเข้ามาหรอ หรือว่าถูกประตูหนีบหัว!”
ในตอนนี้ฉินอีหลินคลุ้มคลั่งแทบบ้า นี่มันโลกอะไรกัน? ตกลงเธอเป็นคนดาวอังคาร หรือผู้ชายเป็นคนดาวอังอาคารกันแน่
“สมองของข้าปกติดี”
ซือเซี่ย แทบไม่ถือสาคำพูดของฉินอีหลินเลย เขาถอดชุดที่สวมวางบนฉากกั้นบานพับ จากนั้นพูดว่า : “ถ้าหากเจ้าต้องการพบกับพ่อของข้าเจ้าก็ต้องยอมเป็นเมียของข้าแต่โดยดี”
“ทำไมฉันต้องมาเป็นเมียของคุณล่ะ”
ฉินอีหลินยิ้มมุมปากประชด คิดว่าฉันสวมชุดโบราณแล้วต้องใช้ชีวิตอยู่ในสมัยโบราณด้วยหรอ อีกอย่างเธอก็ไม่โง่เขลา ขนาดยอมแต่งงาน และถูกขายให้กับตระกูลซือ หรอก
ช่างเหลวไหลสิ้นดี!
“ซือเซี่ย ฉันขอบอกกับคุณว่า ฉันรู้ว่าพวกคุณเก่งกาจ แต่ตระกูลหลงของฉันไม่ชอบประจบประแจงใคร อีกอย่างหากคุณไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วย ฉันสาบานว่า ฉันฉินอีหลิน แม้มีชีวิตแค่วันเดียวก็ไม่เสียดายที่จะแก้แค้นกับพวกคุณ! อย่าคิดว่า “ตระกูลหลง” ไร้น้ำยา”
ฉินอีหลินแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรแล้ว เธออับจนหนทางแล้ว ถึงต้องยอมข่มขู่ผู้ชายคนนี้อย่างไร้เดียงสาแบบนี้ แต่สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง ถ้าหาก ตระกูลซือ มีความสามารถช่วยเหลือพวกเขา แต่ไม่ยอมช่วยเหลือ และยังจับเธอขังไว้ในนี้อีก เธอสาบานว่าจะไม่ยอมปล่อยเขาแน่
ไม่รู้ว่าเลยว่ากระบี่ปะทะกับกระสุนปืนจะเป็นยังไง
“เจ้ารึ?”
ถึงแม้ ซือเซี่ย พูดแบบนี้ แต่บนใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าประชดประชันอะไรเลย แสดงเพียงสีหน้าไม่ถือสา ซึ่งนี่ถือเป็นการทำร้ายจิตใจมาก
ฉินอีหลินเผยสายตามืดครึ้ม พร้อมเผยสีหน้าโมโหเดือดดาลขึ้น
“ฉินอีหลิน ลูกสาวคนเดียวของตระกูลหลง เป็นภรรยาของลี่โม่อวี่ ซึ่งเป็นประธานบริษัทลี่กรุ๊ป และเป็นตัวทดลอง H1 ขององค์กร “K” เมื่อหลายปีก่อน จากนั้นสภาพร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นคนแรกที่สามารถเป็นตัวอย่างกรณีสำเร็จ
เมื่อ ซือเซี่ย เห็นสีหน้าตกใจช็อกของผู้หญิงเบื้องหน้า เขาก็ยังคงเผยสีหน้าปกติ และเอ่ยปากพูดต่อ
“คนรักของคุณถูกชนกลุ่มน้อยบางเผ่าพันธุ์แอบเล่นงาน คุณเลยต้องมา เขตอุทยานแห่งชาติเฉินหนงเจี้ย ตามหาหัวหน้าตระกูลซือ เพื่อขอความช่วยเหลือ ที่ผมพูดมาถูกต้องไหม?”
ฉินอีหลินจ้องมองผู้ชายเบื้องหน้าด้วยสีหน้าตกใจช็อก คิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งมานาน อันที่จริงแล้วรอบรู้ข่าวสารจากข้างนอกมาก
เมื่อคิดแบบนี้ เธอก็พยายามกลั้นความโกรธลง และพยายามมอง ซือเซี่ย อย่างสงบนิ่ง : “ในเมื่อคุณทราบรายละเอียดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ขอพูดตรงๆเลยว่า ฉันต้องการพบกับหัวหน้าตระกูลของคุณ”
“พรุ่งนี้ตอนพิธีชงชาให้กับพ่อตา แม่ยายคงได้เจอแน่”
พูดจบ ซือเซี่ย ก็คลายจุดให้กับฉินอีหลิน จากนั้นก็เดินขึ้นบนเตียงเตรียมตัวนอน
พ่อตา แม่ยาย….
สิ่งที่ฉินอีหลินนึกถึงอย่างแรกคือใบหน้าของหยางผิงกับลี่อานโก๋ แต่เธอรู้ว่า การทำให้ลี่โม่อวี่ยอมรับพวกเขา ในระยะเวลาอันสั้นคิดว่าคงทำไม่ได้
“ซือเซี่ย ฉันขอเตือนด้วยความหวังดีอีกครั้ง ฉันแต่งงานแล้ว ยังไม่ได้หย่า และกำลังเตรียมจัดงานแต่งงานด้วย อีกอย่างลูกสองคนของฉันก็โตมากจนสามารถเล่นไพ่นกกระจอกแล้ว!”
“อยากช่วยผู้ชายของเจ้า เจ้าก็ต้องแสดงเป็นภรรยาของข้าอย่างเชื่อฟัง หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรอ ขนาดข้าฟังเจ้ายังรู้สึกเหนื่อยแทนเลย”
ซือเซี่ย ยอมใจกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ เธอไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน แต่ยังมีเรี่ยวแรงต่อกรกับเขาอีก
ฉินอีหลินเป็นคนคิดอะไรละเอียดรอบคอบ เมื่อเธอเห็นว่า ซือเซี่ย ไม่ได้ต้องการ “แต่งงาน” กับเธอจริงๆก็รู้สึกสบายใจ อีกอย่างคงไม่มีใครว่างมาเสียเวลากับผู้หญิงที่มีลูกสองหรอก
ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงที่นี่ก็หน้าตาสวยมากมาย อย่างเช่น ซือฉี และพวกเขายังเคารพนับถือคุณชายของพวกเขาด้วย….
“เป่าเทียน แล้วรีบนอน”
ซือเซี่ยขมวดคิ้วและบ่นพึ่มพำเล็กน้อยจากนั้นก็นอนพิงบนเตียงเตรียมตัวนอน เส้นผมดกดำทาบบนผ้าห่มสีแดงฉาน พร้อมเปล่งประกายแวววับ ฉินอีหลินไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ซือเซี่ย คนนี้ในสภาพนี้หล่อเหลามากจริงๆ
“อืม”
ฉินอีหลินในตอนนี้ไม่จับคนโยนแล้ว เธอเริ่มสงบสติอารมณ์ลง พร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างดึงกระโปรงที่หนักอึ้งเดินมานั่งบนม้านั่ง
กระโปรงสีแดงฉานถูกลากพื้นตามแรงดึง ทำให้กระโปรงโบกสะบัดอย่างพลิ้วไหว โดยเฉพาะบริเวณหางกระโปรงที่มีดอกโบตั๋นสีทองปักไว้อย่างงดงามพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต
“ฮู”
เธอเป่าเทียนอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ฟุบตัวนอนบนโต๊ะ วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ
เช้าวันต่อมา ฉินอีหลินก็สะดุ้งตื่น เพราะเสียงเอะอะโวยวายที่ดังรบกวนนอกประตู
“สาวใช้ ซือฉี มารับใช้คุณชาย เชิญนายหญิงเปลี่ยนเสื้อเพคะ”
ฉินอีหลินขยี้ดวงตาอย่างมึนงง แต่เมื่อเห็นของประดับภายในห้องชัดเจน เธอก็เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในสถานการณ์ไหน
“เชิญเข้ามา”
ซือเซี่ย นอนหลังสบายตลอดทั้งคืนจนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาดึงผ้าห่มออกพลาง แล้วเดินออกไปข้างนอก พร้อมกล่าวขานพลาง
“เพคะ”
ซือฉี ตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบาพลาง และเดินพาสาวใช้เดินเข้ามาในห้องพลาง
เมื่อเธอเห็น ซือเซี่ย กับฉินอีหลินยังคงแต่งตัวจัดเต็มเหมือนเมื่อวานอยู่ ก็เผยสายตาตกใจชั่วพริบตา แต่เธอเป็นหัวหน้าสาวใช้ที่ถูกอบรมจาก ซือเซี่ย ตั้งแต่เด็ก ไม่นานก็คืนสีหน้าปกติเหมือนเดิม
เธอโบกมือชี้ให้สาวใช้แยกกันช่วยอาบน้ำให้ฉินอีหลินกับ ซือเซี่ย จากนั้นเธอก็เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อให้กับ ซือเซี่ย ด้วยตัวเอง
เพราะประเดี๋ยวต้องชงชาคารวะ ไม่สามารถสวมชุดแต่งงานแล้ว
“ให้สาวใช้ไม่กี่คนตามข้าไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องรับแขก ส่วนเจ้าอยู่คอยดูแลนายหญิงเถอะ”
เหมือนกับ ซือเซี่ย เห็นท่าทางเก้อเขินของฉินอีหลิน และเหมือนกับไม่เคยเห็นเธอมีท่าทางเก้อเขินด้วย เขาเลยโบกมือห้ามการกระทำของ ซือฉี หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องนอน โดยไม่หันหน้าผู้หญิงที่มีสีหน้าอึดอัดอีก
ฉินอีหลินไม่เคยถูกปรนนิบัติถึงขนาดแปรงฟัน ล้างหน้าให้ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเก้อเขินมาก แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องน่าอึดอัดเท่ากับต้องเปลี่ยนเสื้อพร้อมกับ ซือเซี่ย…..
ถึงแม้เธอเป็นคนสมัยใหม่ แต่เธอก็ทำเรื่อง “เปิดกว้าง” แบบนี้ไม่ได้
เมื่อเห็น ซือเซี่ย จากไปด้วยตัวเอง เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหนึ่งที
“นี่คืออะไร เสื้อผ้าเดิมของฉันล่ะ ฉันต้องการสวมชุดนั้น”
ฉินอีหลินขมวดคิ้วและจ้องมองชุดโบราณเบื้องหน้า เมื่อนึกถึงขั้นตอนการสวมชุดที่ยุ่งยากเมื่อวาน เธอก็คิดถึงชุดออกกำลังกายของตัวเองทันที
“ชุดของท่านหญิง หม่อมฉันให้คนไปซักเรียบร้อยแล้วเพคะ คาดว่าในตอนนี้ยังไม่แห้ง”
ซือฉี ยังคงพูดจาอ่อนช้อย เธอยื่นมือหยิบชุดในมือสาวใช้ขึ้น และก้มโค้งคำนับก่อนเปลี่ยนเสื้อ
“สวมเถอะเพคะ สวมเถอะเพคะ”
ฉินอีหลินอ้าแขนด้วยความรำคาญใจเพื่อแสดงให้เธอรีบเปลี่ยนเสื้อ
เธอรู้ว่าสาวใช้เหล่านี้ปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งเธอไม่มีความจำเป็นต้องทำให้พวกเธอลำบาก