บทที่ 267 ต้องให้เป็นห่วงตลอดเวลา
ในวินาทีนี้เอง ก็มีเก้าอี้ลอยมาจากด้านหลัง
ปัก
เพล้ง
ฉินอีหลินใช้โอกาสที่เก้าอี้นี้ลอยเข้ามา รีบลุกขึ้นมาจากพื้น สองมือก็จับชุดที่กรุยกรายและวิ่งออกไป
แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งยุ่ง เท้าที่โดนชายกระโปรงพัน ก็เกือบทำให้เธอล้มอีกครั้ง
ในสถานการณ์ยุ่ง ๆ เมื่อครู่ ลี่จิ่งเองก็หยิบปืนที่ใส่ที่เก็บเสียงไว้ ซือฉีเองที่รับมือกับทั้งสองคนก็หนักเอาการ และฉินอีหลินที่อยู่ในชุดนี้ก็ทำให้เธอสูญเสียกำลังในการจะต่อสู้ ตอนนี้สถานการณ์ของทั้งคู่ค่อนข้างวิกฤติ ซือฉีเองก็ไม่รู้จะทำยังไง จึงตะโกนบอกฉินอีหลินว่า “กลับเข้าไปในงาน”
“ไปด้วยกัน”
ฉินอีหลินเองก็ไม่ใช่คนโบราณจริง ๆ ที่จะเป็น “เจ้าคนนายคน”อย่างสบายใจ โดยที่ดูคนรับใช้มาตายแทนตัวเอง
เธอเขวี้ยงเก้าอี้ไปทางลี่จิ่งที่จะยิงมา ลากซือฉีแล้วก็วิ่งขึ้นข้างบน
ลี่จิ่งที่โดนเก้าอี้ทุ่มใส่ก็ทุลักทุเล แต่ก็กลัวทั้งสองจะหนีไปได้ ก็ยกปืนยิงอีกครั้ง และยิงตามหลังของซือฉี
ส่วนAbnerที่ก่อนหน้านี้โดน ซือฉีใช้เหล็กฟาดที่หัว ตอนนี้สู้ไม่ไหว
ฉินอีหลินก็ไม่ได้สนใจใด ๆ ลาก ซือฉี หนีขึ้นไปด้านบน ใจก็กลัวว่าลี่จิ่งจะยิงมาอีก
“ไม่เป็นไรแล้ว!”
เธอหายใจหอบแห่ก ๆ วิ่งเข้าไปในงาน หลังพูดจบจึงรู้ตัวว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของคนในงาน
กวาดสายตาไปเจอซือเซี่ยที่ไม่พอใจ เธอส่งสัญญาณให้มองมาที่ ซือฉี
ซือฉี เดิมทีในชุดสีเทาตอนนี้ก็ไปด้วยฝุ่น และกระโปรงก็มีรอยขาด
“เธอทำไมเป็นแบบนี้”
ฉินอีหลินรีบเอ่ยปากถาม ซือฉี ไม่ได้ตอบว่าอะไร
จริง ๆ แล้วสภาพฉินอีหลินนั้นแย่กว่ามาก
ผ้าสีทองบนหัวหล่นไปเกือบครึ่งในช่วงที่ชลมุน ผมเองก็ยุ่งและหลุดบ้าง ดอกไม้ที่ติดอยู่บนหัวก็หลุดหายไประหว่างทาง กระโปรงยาวสีขาวเองตอนนี้ก็เต็มไปด้วยคราบฝุ่น ชายกระโปรงเองตอนนี้ก็ยับยู่ยี่จนดูไม่ได้
สภาพนี้ทำให้ซือเซี่ยโกรธมาก แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกได้
“เธอวิ่งไปซนที่ไหนมา ทำไมสภาพดูไม่ได้ขนาดนี้”
ซือเซี่ยนั้นยิ้มมุมปากให้เห็นถึงรอยยิ้มของความเอ็นดู เขารีบเดินเข้าไปพยุงหญิงสาวตรงหน้า และก็ช่วยจัดผมให้ฉินอีหลิน พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ผมบอกแล้วไง ผมมีธุระนิดหน่อย คุณก็ยังทำให้ผมต้องเป็นห่วงตลอดเลย”
น้ำเสียงเขาจงใจทำให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไง สำหรับคนที่ได้ยิน ก็เหมือนว่าเขาเป็นผู้ชายอ่อนโยน
แต่เรื่องจริงมีแค่ฉินอีหลินที่รู้
ซือเซี่ยที่ดูเหมือนว่าจะช่วยเธอจัดผม แต่จริง ๆ แล้วดึงผมเธอจนหนังหัวเจ็บไปหมด และมือที่อยู่ที่เอวของเธอก็หยิกเธอจนเจ็บไปหมด
เจ็บ
ฉินอีหลินเจ็บจนอยากจะกระโดดหนี
หวังเจี้ยนที่เห็นบรรยากาศตอนนี้เริ่มจะอึมครึม จึงได้แสดงท่าทีห่วงใย รีบพูดขึ้นมาว่า
“คุณนายน้อยช่างสดใสตามอายุ พวกเราที่อายุปูนนี้คงไม่ไหว”
เมื่อพูดแบบนี้แล้ว คนรอบข้างก็เริ่มพากันได้สติ หัวเราะกัน
ซือเซี่ยเห็นฉินอีหลินที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จึงเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ ยิ้มและคำนับทุกคน
“วันนี้ก่อเรื่องวุ่นวายให้ทุกท่านแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“ท่านชายซือเชิญตามสบาย”
“ท่านชายซือเชิญตามสบาย”
เมื่อมีเสียงรอบข้างดังขึ้นแบบนี้ เขาจึงเดินจากไปกับฉินอีหลิน
ซือฉี รู้ว่าเมื่อกลับไปถึงคงต้องโดนลงโทษ
พอกลับถึงบ้าน ซือเซี่ย นั้นระเบิดอารมณ์ เขาตะคอกใส่ฉินอีหลิน และเหวี่ยงชุดชา
“กฎระเบียบที่สอนไปนั้นเรียนรู้ไปไหนหมด”
ฉินอีหลินรู้ว่าตัวเองผิด ไม่ได้พูดอะไร แต่ซือฉีที่อยู่ด้านหลังเมื่อ ซือเซี่ยเหวี่ยงชุดชา ก็รีบคุกเข่าลง
ฉินอีหลินเมื่อเห็นหญิงสาวด้านหลังคุกเข่าลง ในใจก็รู้สึกทนไม่ได้ เพราะคนที่ผิดคือเธอ
แล้วก็คิดคำพูดของลี่จิ่งและAbnerขึ้นมา เธอลังเลอยู่สักพัก จึงตัดสินใจบอกชายตรงหน้า “เมื่อสักครู่ฉันได้ยินลี่จิ่งกับ คนขององค์กร “K” พูดอะไรเกี่ยวกับ ลี่โมอวี่ ตาย อะไรทำนองนี้ พวกเขา….”
“เพราะฉะนั้นคุณเลยทำให้ตระกูลซือของผมต้องขายหน้าหรือ?”
ซือเซี่ย นั้นยิ้มเย็นชา จ้องมองไปที่ฉินอีหลิน
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ซือฉี ผมให้คุณดูแลคุณนายน้อยให้ดี นี่คือสิ่งที่คุณดูแลหรือ!”
ซือเซี่ยไม่ได้พูดกับฉินอีหลิน แต่หันไปดุด่าหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่
ซือฉี เองก็ไม่ได้อธิบายอะไร แต่พูดว่า ซือฉี บกพร่องในหน้าที่ “เชิญคุณชายลงโทษ”
“ลงโทษ?” เขายิ้มเย็นชาและมองที่ฉินอีหลิน พูดว่า “ลงโทษให้คุณคุกเข่าอยู่ที่นี่ทั้งคืน จะมีอะไรบ่นไหม”
“บ่าวไม่กล้า”
“ซือเซี่ย ฉันเป็นคนทำผิดเอง ฉันรับผิดชอบเอง เธอเป็นแค่เด็ก คุณจะถือโทษอะไรเธอมากมาย?”
ฉินอีหลินเมื่อได้ยินว่าจะให้บ่าวเด็ก ๆ ต้องคุกเข่าทั้งคืน จึงไม่สบอารมณ์ เธออายุแค่ 17-18 ถ้าอยู่ในโลกคนปัจจุบันเธอก็เป็นแค่นักเรียนเตรียมสอบเข้ามหาลัยคนหนึ่ง เป็นวัยที่พ่อแม่ประคบประหงม ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม
ซือเซี่ยได้ยินแล้วก็มองไปที่ฉินอีหลิน
“ทำไม คุณนายน้อยจะร่วมรับโทษกับเธอหรือ?”
ตอนแรกฉินอีหลินคิดจะอธิบายเหตุผลกับ ซือเซี่ย นี่คือการไม่เคารพสิทธิมนุษยชน แต่ตอนนี้ถูกเขาทำให้มีน้ำโห จ้องมองเขา หัวเราะและพูดว่า “ที่พูดมาทั้งหมดสุดท้ายก็เพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ ฉันยอมรับโทษ”
ฉินอีหลินพูดมาถึงตอนนี้ ก็สะบัดกระโปรงและคุกเข่าลง แต่หลังของเธอก็ยังตั้งตรง เหมือนกับนกฟีนิกส์ที่สูงค่า
“ดีมาก งั้นเธอก็คุกเข่าไป”
ซือเซี่ยที่เห็นฉินอีหลินท่าทีทรนง ในใจก็ยิ่งโมโห จึงสะบัดแขนเสื้อแล้วก็จากไป
ตระกูลซือนั้นเคร่งครัดกฎระเบียบและหน้าตามาก แต่คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายจะถูกฉินอีหลินทำให้ขายหน้าจนไม่มีชิ้นดี ตอนนี้เขาไม่เพียงต้องปวดหัวกับเรื่องซุบซิบนินทาข้างนอก ยังต้องมาหนักใจกับการรับมือกับท่านปู่
ท่านปู่คงรู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าหากเขาไม่ทำโทษฉินอีหลินก่อน เกรงว่าโทษที่เธอต้องรับอาจต้องเป็นโทษตามกฎของบ้าน
ฉินอีหลินโตจนป่านนี้ นอกจากตอนนั้นที่แต่งกับลี่โม่อวี่อย่างลำบาก ต้องทำความสะอาดเช็ดถู นอกนั้นเธอก็ไม่เคยต้องคุกเข่าเลย
เข่าของเธอเนื่องจากต้องสัมผัสกับพื้นที่แข็งบุ๋มลึกจนเจ็บ และยิ่งตอนนี้คือเดือนสิบเอ็ด อากาศหนาวในตอนกลางคืนของฤดูหนาวนั้นน่ากลัวนัก
ไอเย็นนั้นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ซึมแทรกเข้ามาจากเข่าของเธอผ่านทางกล้ามเนื้อ และค่อย ๆ ซึมลึกเข้าไปในกระดูก เจ็บจนใจเธอเหมือนจะรวมกันเป็นก้อน เหมือนจะเต้นต่อไปไม่ได้
หนาว……
ปากของฉินอีหลินหนาวจนดำม่วง ร่างของเธอสั่นเทาไปทั้งตัวแต่ก็ยังคงร่างให้ตรงไม่ยอมงอตัวลงมา
“คุณนายน้อย…”
ซือฉีตอนนี้ก็จิตใจวุ่นวาย มองดูหญิงสาวที่ทำเป็นแข็งแกร่งตรงหน้า ในใจก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ร่างกายเธอไม่ได้มีค่าเท่าไหร่ ตอนนี้นอกจากแค่หนาว ก็ไม่ได้มีอะไรมาก
แต่เธอสามารถรับรู้ได้ว่า คุณนายน้อยนั้นตัวสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับว่าสามารถเป็นลมไปได้ตลอดเวลา แต่ก็ยังคงยืดตัวตรง