บทที่ 288 ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
ผลักประตูห้องออฟฟิศออก ลี่โม่อวี่ก็เห็นไป๋หลางนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ ไป๋หลางที่ตัดผมและเปลี่ยนชุดที่สะอาดสะอ้านแล้วเผยให้เห็นใบหน้าจริงๆ ของเขา บนใบหน้าคมกริบมีรอยแผลมีดที่ดูน่าเวทนาอยู่รอยหนึ่ง ทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูเย็นชาของไป๋หลางดูโหดร้ายมากขึ้น
“สวัสดีครับ!” ไป๋หลางลุกขึ้นแล้วตรงไปก้มหัวให้ลี่โม่อวี่ เขาไม่รู้ชื่อของลี่โม่อวี่
“ไป๋หลาง ฉันชื่อลี่โม่อวี่ นายเรียกฉันโม่อวี่ก็พอ”
แต่ไหนแต่ไร ลี่โม่อวี่ก็ไม่เคยแสดงความเป็นใหญ่กว่ากับพี่น้องของเขาเอง ถึงเขาจะดูเย็นชาไร้อารมณ์ แต่ก็มีเหตุผลที่พี่น้องทั้งหลายของเขาสามารถฝากฝังชีวิตไว้ด้วยได้
เป็นเห้อห้าวและเซียวน่ายที่เต็มใจเรียกเขาว่าพี่ใหญ่เอง เขาก็ทำอะไรไม่ได้
“ฉันเรียกนายว่าพี่เจ๋ดีกว่า” ไป๋หลางอยู่ที่ผับมาหลายวันแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เขาพูดกับลี่โม่อวี่อย่างเคารพ
“นั่งเถอะ”
ลี่โม่อวี่นั่งลงบนโซฟา แล้วไป๋หลางก็นั่งลงตาม
“ฉันอยากรู้ว่านายต่อสู้ได้ขนาดไหนกันแน่ นายบอกฉันได้ไหม?” ลี่โม่อวี่มีความมั่นใจต่อฝีมือของตัวเองเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้เจอไป๋หลาง เขาก็รู้สึกว่าฝีมือตัวเขาเองสู้ไป๋หลางไม่ได้
“เพราะผมชนะเจ้าอาวาสก็เลยถูกไล่ลงจากเขามา” ไป๋หลางตอบ
ลี่โม่อวี่ได้ยินก็ตะลึงเป็นอย่างมาก นี่เขาเก็บสมบัติได้ชัดๆ คนที่มีฝีมีสูงจนก้าวข้ามเจ้าอาวาสได้ เขาได้กำไรมากจริงๆ!
“ไป๋หลาง จากนี้นายมาติดตามอยู่ข้างฉัน”
“แค่มีข้าวให้กิน จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!” ถึงไป๋หลางจะมีอิทธิพลที่ธรรมดาสุดและภายนอกดูเคร่งขรึม แต่ความคิดอ่านเขากลับดูเรียบง่ายมาก
จากนี้ไป เมื่อลี่โม่อวี่ทำอะไรคนเดียว เขาก็มักจะพาไป๋หลางที่ฝีมือดีคนนี้ไปด้วย
ในเวลาเดียวกัน ลี่โม่อวี่ก็คิดคำนวณเงียบๆ ในใจ ผู้หญิงในครอบครัวของเขาก็ควรมีบอดี้การ์ดมืออาชีพติดตัวไปสักคนหนึ่งด้วยไหม
แสงไฟส่องกะพริบในผับ ลี่จิ่งฟุบลงไปกับบาร์เหมือนกับกองโคลนเหลว หลังได้รับข้อความจากตระกูลหลี่ว่าฉินอีหลินถูกตระกูลหลงพาตัวไปแล้ว ลี่จิ่งก็รู้ว่าชีวิตของตัวเองสิ้นสุดตรงนี้จริงๆ ตอนนี้ตระกูลหลี่ไม่สนไม่ถามอะไรเขา ตระกูลลี่เขาก็ไม่กล้ากลับไป เพราะอย่างนั้นเลยได้แต่มานั่งแช่อยู่ในผับไปวันๆ
พอดู้เทาเข้ามา ก็เห็นลี่จิ่งที่เอาแต่ดื่มเหล้าตลอด เขาเดินเซ่อซ่าไปตรงหน้าลี่จิ่ง “ลี่จิ่ง ทำไมคุณดื่มอีกแล้วล่ะ ฉันยังไม่ทันมาคุณก็ดื่มแล้วหรือ?”
“ดู้เทาอา มา มาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉัน!”
ทั้งสองคุณแก้วหนึ่งฉันแก้วหนึ่งดื่มกันอย่างไม่สบายใจ ลี่จิ่งตอนนี้ก็มีเพียงแค่ดู้เทาที่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเขาได้
ณ ประเทศM สำนักงานใหญ่ตระกูลหลง เครื่องบินของพวกฉินอีหลินสามคน อยู่บนรันเวย์ส่วนตัวของตระกูลหลงค่อยๆ หยุดลงช้าๆ
มองจากข้างบนเครื่องบิน คฤหาสน์ของตระกูลหลงราวกับมังกรขนาดมโหฬารก็มิปาน สนามบินเลยดูเหมือนเล็กนิดเดียวไปเลย เมื่อลงจากเครื่อง ก็มีรถสีดำคันหนึ่งจอดรออยู่ตรงนั้น
หลงเสี่ยวเซินพูดกับหลงเซี่ยวเทียนและฉินอีหลิน “ทุกคนรออยู่ในคฤหาสน์แล้ว ตอนนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลงเซี่ยวเทียนพยักหน้า ฉินอีหลินก็ตามหลงเซี่ยวเทียนไปติดๆ
เมื่อถึงหน้าทางเข้าปราสาท ฉินอีหลินก็เหลือบมองขึ้นไป ปราสาทเก่าแก่ของตระกูลหลงใช้คำว่าใหญ่มาอธิบายอย่างเดียวไม่ได้ มันเหมือนกับสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่มหึมาถูกวางไว้บนพื้นดินตรงนี้
ประตูใหญ่ของปราสาทเหมือนกับประตูเมืองโบราณอย่างไรอย่างนั้น ต่างก็แค่ตอนนี้ใช้เหล็กหล่อขึ้นแทน ทำให้ดูแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ นอกประตูใหญ่ของปราสาท มีกลุ่มคนยืนกระจัดกระจายอยู่ รอจนฉินอีหลินเดินเข้าไป ถึงได้เห็นโฉมหน้าของกลุ่มคนตรงข้าม
หลงเสี่ยวเซินเดินไปตรงกลาง ด้านซ้ายขวาตามมาด้วยฉินอีหลินและหลงเซี่ยวเทียน
“น้องสาม!” ในกลุ่มคน มีชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายกับหลงเซี่ยวเทียนมากคนหนึ่งเดินออกมา ต่อยเข้าไปที่อกของหลงเซี่ยวเทียนหนึ่งหมัด จากนั้นก็เรียกทั้งน้ำตา
“พี่สอง!” หลงเซี่ยวเทียนตะโกนกับชายคนนั้น
ฉินอีหลินมองสำรวจลุงสองที่ว่าเล็กน้อย นอกจากจะหน้าใกล้เคียงกับพ่อและคุณลุงแล้ว ฉินอีหลินก็ดูอะไรไม่ออก เพียงแค่รู้สึกว่าพวกเขาสามคนพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ
“นี่คืออีหลินใช่ไหม พริบตาเดียวก็โตขนาดนี้แล้วหรือ?” ลุงสองหลงมองสำรวจฉินอีหลิน มองอารมณ์ใดๆที่ปรากฏบนสีหน้าไม่ออก
“สวัสดีค่ะลุงสอง!” ฉินอีหลินทักทายด้วยความมีมารยาทอย่างมาก
“อื้ม” หลงเสี้ยวตี้คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มีวันนี้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ชั่วขณะเขาก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“นี่คือคุณป้าสองของเธอ ยังมีจื้อเฟิง แล้วก็ยังมี…..” หลงเสี้ยวตี้ผ่อนคลายอารมณ์เล็กน้อย แล้วแนะนำตัวให้ฉินอีหลินทันที
หลงเสี่ยวเซินหัวเราะแกมด่า “พี่สอง นายจะให้น้องสามกับอีหลินยืนอยู่หน้าประตูอยู่อย่างตลอดเลยหรือ?”
“อา เร็ว เข้ามาก่อนเร็ว อาหารเย็นเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว”
หลงเสี้ยวตี้เดินนำกลุ่มคนเข้าประสาทโบราณไป จะไม่พูดไม่ได้ พอเข้ามาด้านในปราสาทแล้วความรู้สึกแรกก็คือใหญ่! ปราสาทโบราณนี้ใหญ่มาก จนถึงขนาดที่ว่าคนที่อยู่ในนั้นรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว
ผ่านประตูใหญ่ของปราสาทโบราณไป ฉินอีหลินและคนอื่นๆ ถูกพามาอยู่ด้านหน้าอาคารที่ใหญ่กว่า เมื่อเปิดประตูใหญ่ของอาคาร ฉินอีหลินถึงพบว่านี่เป็นที่ที่ตระกูลหลงไว้รับแขก หลังคาที่สูงเกือบ 5-6 เมตรทำให้คนเห็นเคารพเลื่อมใส
ด้านในของอาคาร โต๊ะอาหารทรงยาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งมีอาหารมากมายหลากหลายชนิดละลานตาถูกตั้งเตรียมไว้ก่อนแล้ว หลงเสี่ยวเซินนั่งตรงหัวโต๊ะ จากนั้นทุกคนถึงนั่งลงตาม ฉินอีหลินนั่งชิดกันกับหลงเซี่ยวเทียน
“ก่อนอื่น อาหารมื้อนี้ พวกเราต้อนรับการกลับมาของน้องสาม อีกทั้งยังต้อนรับอีหลิน!” หลงเสี่ยวเซินยกแก้วเหล้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ปึ้ง!” ประตูใหญ่ของปราสาทถูกคนผลักเปิดออก เด็กสาวอายุใกล้เคียงกับฉินอีหลินเดินตรงเข้ามา “พ่อ ลุงสามฉันล่ะ แล้วก็ยัยคนชื่ออีหลินคนนั้นล่ะ?”
คนที่พรวดพราดเข้ามาก็คือลูกสาวของหลงเสี่ยวเซิน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ตามด้วยพูดเสียงต่ำดุ “ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่!”
หลงหลิงชำเลืองมองพ่อที่กำลังโกรธ แลบลิ้นออกมา แล้วนั่งลงที่โต๊ะอย่างเชื่อฟัง
เธอสิ่งยิ้มให้ฉินอีหลินอย่างเป็นมิตรมาก จากนั้นก็หันไปมองหลงเซี่ยวเทียนแล้วกะพริบตาปริบๆ
พร้อมกับที่หลงหลิงลงนั่งได้ สายเลือดโดยตรงของตระกูลหลงส่วนใหญ่ก็มากันพร้อมหน้าแล้ว
เพียงแต่มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญไม่เคาะประตู ผลักประตูเข้ามาดัง “ปึ้ง” อีกครั้ง สิ่งนี้ทำให้ริมฝีปากของหลงเสี่ยวเซินเผยรอยยิ้มเย็นออกมา
คนที่ผลักประตูเข้ามาเป็นชายวัยกลางคนอายุใกล้เคียงกับหลงเสี่ยวเซิน เพียงแต่มองแล้วให้ความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ฉินอีหลินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อชายผู้สันโดษคนนั้นเข้ามา ร่างกายบิดาที่อยู่ข้างๆ ก็แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมาอย่างรุนแรง
“ยา! ดูท่าว่าฉันจะมาผิดเวลาซะแล้วสิ ไม่ได้เจอกันนานนะ หลงเซี่ยวเทียน”
“ประตูก็ไม่เคาะ แม้แต่ผู้นำตระกูลก็ไม่คิดจะเหลียวมองหน่อยหรือ?” หลงเสี่ยวเซินเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา
ชายผู้สันโดษคนนี้ก็คือตัวแทนสมาชิกของฝั่งสายเลือดทั่วไป ชื่อว่าหลงเจี้ยน ในตอนนั้นเขามีส่วนร่วมและวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับแผนการร้ายทั้งหมดของหลงเซี่ยวเทียน
“ออ ฉันรีบร้อนไปหน่อยไม่ทันได้เห็นว่าผู้นำตระกูลก็อยู่ด้วย ขออภัยครับ” หลงเจี้ยนก้มหัวเล็กน้อย
แต่ทุกคนล้วนมองออกว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำเลยสักนิด ดูเหมือนอำนาจในตระกูลหลงของหลงเสี่ยวเซิน มันลดน้อยลงไปทุกวันจริงๆ ทุกอย่างนี้เป็นเพราะอาการป่วยของเขา คนฝั่งสายเลือดทั่วไปของตระกูลหลงเลยกล้ามากขึ้นทุกวัน
เวลานี้หลงเซี่ยวเทียนเห็นพี่น้องตนเองถูกเหยียดหยาม ก็ไม่โมโหแต่กลับหัวเราะออกมา แล้วลุกขึ้นยืน มองหลงเจี้ยนด้วยสายตาเย็นชา