ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 447 ดูท่าจะเป็นผู้เปี่ยมความสามารถ

ตอนที่ 447 ดูท่าจะเป็นผู้เปี่ยมความสามารถ

แม้ว่าพวกสาวๆ จะฝึกปรือเวทมนตร์จำนวนหนึ่งของแผ่นดินตะวันตก และรู้ว่ามีสถานที่อันเรียกว่าตำหนักสวรรค์แท้ แต่พวกนางไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนแน่ชัด

แผ่นดินตะวันตกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่น้อยไปกว่าสันตินิรันดร์หรือแดนโบราณวินาศ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในสันตินิรันดร์รู้จักสำนักเต๋า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ใด

ผู้คนในแผ่นดินตะวันตกก็เหมือนกัน

ฉินมู่นึกย้อนเสียใจนิดๆ ที่ได้สังหารศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้คนนั้นไป

ตรงหน้า เมืองอันยิ่งใหญ่ตระการปรากฏในสายตาของเขา และเหล่าดรุณีบอกว่าพวกนางไปที่นั่นเพื่อร่วมงานตลาดเทศกาล เมืองนี้มีนามว่าเมืองหอมเบ่งบาน และเต็มไปด้วยดอกไม้สดที่บานสลอนไปหมด เถาวัลย์เขียวเลื้อยไต่ไปทั่วกำแพงเมือง และดอกไม้ใหญ่ก็บานประชันกันบนผนัง ป้อมปราการเองก็ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ที่งอกงามในสีม่วงเลอเลิศและสีแดงฉูดฉาด พวกมันสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเข้าไปใกล้ ฉินมู่ก็พบว่าดอกไม้เหล่านั้นเหมือนจะมีจิตวิญญาณ ในเมื่อมีดรุณีหน้าตาสะสวยผุดออกมาจากข้างใน พวกนางขับร้องเพลงพื้นถิ่นอันเขาไม่เข้าใจความหมาย หลังจากตื่นจากภวังค์ของมนตร์เสน่ห์ชวนลุ่มหลงของนครแห่งนี้และผู้คนของมัน พวกเขาตกแต่งทิวทัศน์ของเมืองหอมเบ่งบานให้วิจิตร

ที่นั่นมีสาวน้อยพลูด่างหัวใจสวมใส่ชุดเขียว และสาวน้อยต้นชิวไห่ถัง[1]ที่หอบดอกไม้สีแดงฉูดฉาดไปมาระหว่างอาคารสูง

และยังมียักษ์ที่ก่อขึ้นมาจากหินเคาะตีกลองอยู่ และดอกไม้ไม่รู้ชื่อที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า จิตวิญญาณของพวกมันเล่นขลุ่ยและปี่แป้ประสาทไปกับจังหวะกลองของยักษ์หิน

ฉินมู่รู้สึกว่าตนเป็นพวกบ้านนอกขึ้นมา สิ่งใหญ่มหึมาเดินไปเดินมาบนท้องถนน และพวกมันก็คือบ้านเรือนที่งอกขา เด็กหญิงและเด็กชายยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองไปรอบๆ และส่งเสียงคิกคักดังสดใส ทั้งยังมีริ้วธงหลากสีที่สะบัดไหวในสายลม บินวกไปเวียนมาจากหน้าต่างบานหนึ่งไปยังอีกบานหนึ่ง ก่อขึ้นมาเป็นสะพาน เด็กสาวสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์วิลิศมาหรามากมายก็เหยียบย่างไปบนริ้วธงเหล่านั้นเพื่อข้ามผ่านอากาศไปหาคนรักของพวกนาง

“นี่คือเทศกาลภูเขาดอกไม้” เสียงฉีเอ๋อกล่าวอย่างตื่นเต้น “แม่ของข้าพาข้าออกมาเที่ยวเล่นที่นี่มาก่อน! เทศกาลภูเขาดอกไม้ที่ตำหนักสวรรค์แท้จะยิ่งครึกครื้นกว่านี้อีกนะ!”

ฉินมู่แยกทางจากพวกสาวๆ บนหีบ และกิเลนมังกรก็แบกพวกเขาไปตามถนนอันวิจิตรตระการ ภาพอันเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินตะวันตกนั้นเกินจินตนาการ มันต่างกันไปคนละโลกกับสันตินิรันดร์ แต่ก็มีเสน่ห์อันไม่ซ้ำใคร

พวกเขาเดินผ่านเมืองอันเต็มไปด้วยเด็กสาวที่โยนถุงหอมให้แก่ฉินมู่ มีบางคนหนึ่งใจกล้าขนาดว่าเหยียบบนริ้วธงเข้ามาคว้ามือของเขาหมายจะลักไปกกกอดในยักษ์เรือนตึก

ฉินมู่ปล่อยมือของเด็กสาวผู้นั้น และนางก็เหมือนกับเซียนสาวที่โผบินกลับเข้าไปในตึกที่มีชีวิต ออกไปเสาะหาชายรูปงามคนอื่นๆ ต่อ

ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ที่เขาพบในแผ่นดินตะวันตกนั้นดุร้ายเหี้ยมโหด ทำให้เขาก็ไม่มีความประทับใจที่ดีอันใดต่อสตรีแห่งแผ่นดินตะวันตก แต่ทว่าหลังจากที่เขาได้มายังเมืองหอมเบ่งบาน เขาก็ถูกดึงดูดให้ลุ่มหลงในวัฒนธรรมพื้นถิ่นและขนบธรรมเนียมของที่นี่

เทศการภูเขาดอกไม้ที่จัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งต่อปีนั้นคึกคักเป็นอย่างยิ่ง

ฉินมู่ข้ามผ่านฝูงชน ยักษ์ตึก และยักษ์บ้านเรือน จนกระทั่งเขามาถึงใจกลางเมืองแห่งนี้ มันเงียบกว่าและครึกครื้นน้อยกว่า

“หนึ่งในผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่น่าจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองหอมเบ่งบาน ข้าคงจะได้ข่าวของตำหนักสวรรค์แท้จากเขาหรือไม่ก็จากบุคคลสำคัญคนอื่นๆ”

ในตอนนั้นเอง ก็มีเถาวัลย์เขียวงอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและลอยขึ้นมาถึงตรงหน้าฉินมู่ ที่ปลายเถาวัลย์มีดอกไม้ดอกหนึ่งอันกำลังเบ่งบานออกมา เด็กสาวในชุดสีชมพูโผล่ออกจากดอกไม้และแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “ท่านคือคุณชายฉินหรือเปล่า”

ฉินมู่พยักหน้า

เด็กสาวผู้นั้นเดินออกมาจากดอกไม้ แต่ยังมีเกสรดอกไม้ที่เชื่อมต่อหลังของนางเอาไว้ นางแย้มยิ้ม “คุณชาย นายของข้าได้เชื้อเชิญท่าน โปรดติดตามข้ามา”

“มีคนที่นี่รู้จักข้าด้วยหรือ” ด้วยความตกตะลึง ฉินมู่ก็ปีนลงจากหลังกิเลนมังกร “แม่นาง โปรดนำทาง”

หญิงผู้นั้นก็ลงมาเหยียบที่พื้นและนำทางพวกเขาไปยังบ้านใหญ่หลังหนึ่งอันดูราวกับคฤหาสน์ รูปแบบการตกแต่งนั้นดูน่าเกรงขาม สิงโตหินสองตัวยืนขึ้นและหันมามองดูฉินมู่และกิเลนมังกร ก่อนจะหมอบนั่งกลับไปยังแท่นหินของพวกมันตามเดิม

ฉินมู่ตามแม่นางในดอกไม้เข้าไปในบ้านและเห็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวมากมายเข้าออกกันขวักไขว่ มันคึกคักเป็นอย่างยิ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาส่วนใหญ่แปลงกายมาจากดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า และก้อนหยก มีกระทั่งพวกที่มีจิตวิญญาณขึ้นมาจากทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬ

“คฤหาสน์นี้มิได้ก่อสร้างตามแบบแผ่นดินตะวันตก แต่เป็นแบบสันตินิรันดร์…ช้าก่อน ทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬพวกนี้…”

ฉินมู่ตะลึงไปเมื่อสายตาเขาจ้องไปจับที่หม้อน้ำเดินได้อันมีอาหารอยู่ข้างใน มันกระโดดขึ้นไปบนหัวมนุษย์ไฟ และปรุงอาหารในนั้นด้วยตนเอง

“หม้อน้ำใหญ่นี้เป็นอาวุธวิญญาณ! แม้แต่อาวุธวิญญาณก็กลายเป็นพรายวิญญาณได้หรือ”

ฉินมู่พลันรู้สึกว่าทุกอย่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา เขาจึงก้าวช้าลงอย่างไม่รู้ตัวและเข้าสู่ภวังค์

เขาสามารถสัมผัสได้ถึงทางลัดในการปฏิรูป! มันคือการนำแนวคิดอุดมการณ์ของทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณเข้าไปในสันตินิรันดร์ อันจะสร้างคลื่นแห่งการปฏิรูปลูกใหม่ขึ้นมา!

หากว่าอาวุธวิญญาณของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์สามารถเกิดมีดวงจิตขึ้นมาได้ กำลังฝีมือของทุกคนก็จะเพิ่มพูนอย่างน่าแตกตื่น! ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยการหลอมรวมสองระบบวรยุทธเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถสรรค์สร้างเวทมนตร์และทักษะเทวะใหม่ๆ ได้อีกมาก ทั้งยังจะหลากหลายคล่องตัวขึ้นอีกด้วย!

อาวุธวิญญาณของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์มิใช่อาวุธที่มีจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ด้วยว่ามันเพียงแต่เกิดขึ้นและบำรุงหล่อเลี้ยงเอาไว้ในทักษะเทวะเท่านั้น แต่หากว่าพวกเขาดูดซับแนวคิดอุดมการณ์แห่งแผ่นดินตะวันตกเข้าไป พวกมันก็จะกลายเป็นอาวุธวิญญาณอย่างจริงแท้ที่สุด!

เวทมนตร์ของสันตินิรันดร์ให้ความสำคัญกับพลังโจมตี และมันก็มีวิชาฝึกปรือพิสดารและทักษะอันมหัศจรรย์ทุกรูปแบบ เวทมนตร์แห่งแผ่นดินตะวันตกนั้นด้อยกว่าในด้านพลังโจมตี และพวกเขาก็ยังขาดวิธีการโจมตีไปมาก แต่ทว่าวิธีการของทุกสิ่งมีดวงจิตสามารถทำให้อาวุธวิญญาณทั้งหลายกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่แท้จริง! ด้วยระบบวรยุทธทั้งสองระบบนี้ พวกเราก็จะสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้! ปัญหาที่ยากที่สุดก็คือ จะหลอมรวมเวทมนตร์แห่งทุกสิ่งมีดวงจิตจากแผ่นดินตะวันตกเข้ากับวิชาฝึกปรือแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้อย่างไร และจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์สามารถหยั่งสัมผัสได้ถึงดวงจิต และปลุกดวงจิตนั้นขึ้นมาในอาวุธวิญญาณของพวกเขา

นั่นผู้ชายนี่!

ฉินมู่งงงัน เมืองหอมเบ่งบานนี้เป็นเมืองอันรุ่งเรืองมั่งคั่งชัดๆ ตามหลักแล้ว มันน่าจะเป็นสตรีที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการ แต่ทำไมที่นี่จึงกลายเป็นว่ามีบุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงส่งแทนล่ะ

เขามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มาต้อนรับเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้นี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่เขา ราวกับว่าเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน แม้ว่าฉินมู่จะแน่ใจว่าเขาไม่เคยพบกับชายผู้นี้มาก่อน

กิเลนมังกรพลันตื่นเต้นขึ้นมา และกล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิ ท่านไม่คิดหรอกหรือว่าเขาดูคล้ายกับปรมาจารย์อยู่หน่อยๆ นะ”

ฉินมู่ตะลึง เขารู้สึกว่าทั้งสองคนดูคล้ายกันจริงๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความประทับใจอันดีต่ออีกฝ่าย เขาคารวะทักทาย “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ น้อมคารวะเจ้าของสถานที่แห่งนี้”

ชายหนุ่มคารวะตอบไปและพิธีมารยาทของเขาก็เป็นแบบจักรวรรดิสันตินิรันดร์ “จ้าวลัทธิฉิน เกอเคอขอน้อมคารวะท่าน ไม่นานมานี้ รูปวาดของจ้าวลัทธิได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินตะวันตก และชื่อเสียงของท่านก็กำจรไปไกล สร้างความสนใจอึงอลทั่วไปหมด ผู้เปี่ยมความสามารถรุ่นเยาว์มากมายหมายที่จะพบกับจ้าวลัทธิฉิน เชิญทางนี้ จ้าวลัทธิฉิน”

ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำ ในเมื่อเขาพาเสียงซีอวี่มาด้วย เขาก็กะจะให้ราชครูและเสียงซีอวี่เป็นแนวหน้า ชื่อเสียงเกียรติภูมิของสองคนนั้นกระเดื่องดังยิ่งกว่าเขามากนัก ในเมื่อหนึ่งนั้นเป็นราชครูแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และอีกหนึ่งนั้นคือจ้าวตำหนักคนก่อนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกเขาน่าจะจับความสนใจของแผ่นดินตะวันตกเอาไว้ และถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นเขากับเสียงฉีเอ๋อ อันทำให้การเดินทางของพวกเขาก็จะปลอดภัยขึ้นมาก

จุดมุ่งหมายของเขาที่มาที่นี่ก็เพื่อทำความคุ้นเคยกับธรรมเนียมสังคมแห่งแผ่นดินตะวันตก ในอนาคต จักรวรรดิสันตินิรันดร์จะยกกองกำลังมาที่นี่อย่างแน่นอนและเข้ายึดครอง เพิ่มมันเข้าไปในส่วนหนึ่งของอาณาเขต

เป้าหมายของราชครูสันตินิรันดร์นั้นเป็นแนวทางจากบนลงล่าง ด้วยการยึดตำหนักสวรรค์แท้มาไว้ในกำมือ ก่อนที่จะเรียกศึกก่อสงคราม และให้ตำหนักสวรรค์แท้ยอมศิโรราบและสวามิภักดิ์ต่อสันตินิรันดร์ อันจะช่วยลดทอนการบาดเจ็บล้มตายลงไปได้มาก

แต่ฉินมู่ไม่คาดคิดเลยว่าเป็นเพราะไอ้ลูกเต่าผานกงสั่วที่สอดมือเข้ามา การปรากฏตัวของเขาในแผ่นดินตะวันตกจึงกลายเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป และประกาศจับอันมีรูปของเขาก็แปะไปทั่วทุกเมืองน้อยใหญ่ในแผ่นดินตะวันตก

“พี่เกอเคอสุภาพเกินไปแล้ว”

ฉินมู่เดินไปกับเขา และพบว่าทั้งหญิงและชายรอบตัวเกอเคอนั้นไม่อ่อนแอเลยสักนิด มีกำลังฝีมืออันโดดเด่นเหนือธรรมดา แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มองมาที่ฉินมู่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร อดใจรอแทบไม่ได้ที่จะได้สู้ต่อยตี แต่ในเมื่อมีเกอเคอเป็นผู้เหย้า พวกเขาก็ยังไม่หักหน้าลงมือกันทันที

ฉินมู่มองไปยังเกอเคอด้วยความสงสัยใจเล็กน้อย ชายหนุ่มผู้นี้ดูคล้ายคลึงกับปรมาจารย์เยาว์ และคฤหาสน์นี่ก็เป็นแบบของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ไม่ใช่สถาปัตยกรรมโค้งกลมของแผ่นดินตะวันตก พิธีมารยาทของเกอเคอเองก็เป็นแบบที่เขาคุ้นเคยดี ดังนั้นหรือนี่จะเป็นดอกผลอันเกิดขึ้นมาจากการที่ปรมาจารย์มาวิวาห์เยือนที่แผ่นดินตะวันตก

แต่นี่ไม่ถูกต้อง! เขาไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้น แต่เพียงราวๆ สิบเจ็ดปีเท่านั้น แม้ว่าปรมาจารย์จะดูหล่อเหลาและรวยเสน่ห์ แต่เขาก็ยังเป็นเฒ่ากระดูกผุเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ดังนั้นเขาจะวิ่งเร่มาที่แผ่นดินตะวันตกเพื่อวิวาห์เยือนได้อย่างไร แต่อีกแง่ ปรมาจารย์ก็ดูเหมือนเด็กหนุ่ม เช่นนั้นเกอเคอก็อาจจะฝึกปรือวิชาเสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต จึงไม่แก่เฒ่าลงไป

เกอเคอนำทุกๆ คนขึ้นไปบนตึกสูง และมันมียวดยานเข้ามาที่นั่นจากทุกหนแห่ง ผู้คนที่มาล้วนแต่มีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา ฉินมู่เห็นบางคนขี่มาบนก้อนเมฆอันผูกไว้กับต้นไม้โบราณ มีสัตว์พิสดารทุกรูปแบบ แม้กระทั่งภูเขาลูกย่อมๆ!

ผู้มาย่อมเป็นชนชั้นที่มิได้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม พวกเขาล้วนแต่ดูเยาว์วัยและน่าจะเป็นบุคคลสำคัญในศักดิ์ฐานะต่างๆ มาเพื่อร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ เพราะว่าจะอย่างไร ก็คงไม่มีใครเลือกผู้เฒ่าคนชราเป็นคู่ร่วมอภิรมย์ในเทศกาลภูเขาดอกไม้หรอก

เกอเคอเชิญพวกเขามานั่งเก้าอี้และฉินมู่ก็ข่มระงับความสงสัยในหัวใจพลางนั่งลงด้วย เกอเคอปรบมือหนึ่งที และก็มีคนรับใช้ผู้หนึ่งนำภาพวาดมา

ผู้เหย้าหนุ่มคลี่ม้วนภาพออก และมิใช่ภาพอื่นใดนอกจากภาพวาดของจ้าวลัทธิมาร จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์แท้ส่งภาพวาดของจ้าวลัทธิฉินไปทั่ว และกล่าวว่าท่านเป็นผู้ลักลอบหลบหนีจากแดนโบราณวินาศ ข้าก็คิดสงสัยอยู่ว่าจ้าวลัทธิฉินผู้ใจกล้านี้จะเข้ามาในเมืองหอมเบ่งบานของข้าหรือไม่ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะเข้ามาจริงๆ จ้าวลัทธิฉินมู่กำลังฝีมืออันเหนือธรรมดาและกึ๋นที่ใหญ่โตมิใช่น้อย ดังนั้นเชิญมาชมดูเหล่าผู้เปี่ยมความสามารถแห่งแผ่นดินตะวันตกของข้า จอมยุทธหญิงผู้นี้คืออวี้จิ่นฟางซึ่งมีสาแหรกตระกูลอันลึกล้ำ สาเหตุที่พี่สาวอวี้แซ่อวี้นั้นก็เพราะว่าบรรพบุรุษของนางมาจากแขนงหนึ่งของตระกูลอวี้แห่งแผ่นดินตะวันตก จ้าวลัทธิฉินคงรู้จักใช่ไหม”

ฉินมู่ผงกหัวแล้วกล่าว “เจ้าตำหนักแห่งตำหนักสวรรค์แท้คนปัจจุบันเป็นของตระกูลอวี้”

เกอเคอแย้มยิ้มและกล่าว “พี่สาวอวี้มีที่ดินใหญ่หมื่น เทือกเขาแปด และยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอวี้ วรยุทธของนางอยู่ที่ขั้นเจ็ดดาว”

ฉินมู่ผงกหัวให้แก่อวี้จิ่นฟางด้วยรอยยิ้ม

นางยิ้มนิดๆ ให้เขาเป็นการตอบกลับ

เกอเคอจึงกล่าวต่อ “ยังมีบุรุษหลายคนที่เป็นผู้ดูแลกิจการครอบครัวในแผ่นดินตะวันตก นี่คือนายน้อยแห่งสำนักมณฑลสวรรค์แห่งแผ่นดินตะวันตก เยว่ชิงซาน สำนักมณฑลสวรรค์นั้นนำโดยบุรุษและวิธีการฝึกวรยุทธของพวกเขาคล้ายคลึงกับของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ พวกเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในแผ่นดินตะวันตก พี่เยว่ชิงซานนั้นมีวรยุทธขั้นหกทิศ”

ฉินมู่ทักทายเขา

เยว่ชิงซานนั้นค่อนข้างหยิ่งยโสและกล่าว “แม้ว่าข้าจะอยู่ในขั้นหกทิศ แต่เวทมนตร์และทักษะเทวะของสำนักมณฑลสวรรค์ของข้ามีรากเหง้าอันเก่าแก่โบราณ พวกมันถูกถ่ายทอดมาโดยทวยเทพ”

ฉินมู่สนใจขึ้นมาทันทีและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยเห็นวิชาของเทพเจ้ามากมาย และพวกมันก็ไม่เลวเลยจริงๆ นั่นแหละ”

“และแม่นางผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา แต่นางมิได้มาจากเมืองหอมเบ่งบานของพวกเรา นางมาจากตำหนักสวรรค์แท้ ศิษย์พี่หญิงถิงฟาง” เกอเคอกล่าว

ฉินมู่มองไปที่สตรีนางนั้นและเห็นว่านางก้าวออกมาข้างหน้าด้วยเสื้อผ้าอันวิจิตรตระการ นางมีรูปโฉมเลิศล้ำ เขาจึงเอ่ยชม “อุทยานเต็มไปด้วยบุปผาเบ่งบานชูช่อ ศิษย์พี่ถิงฟางมีนามอันไพเราะนัก”

ถิงฟางแย้มยิ้มและกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน เป็นผู้อาวุโสในตำหนักสวรรค์แท้ที่ต้องการทวงความยุติธรรมจากเจ้า มิใช่ข้าเกลียดชังเจ้าเป็นการส่วนตัว โปรดอภัย”

เกอเคอจึงแนะนำปูมหลังความเป็นมาของทุกๆ คน และล้วนแต่สำคัญไม่ธรรมดา

ฉินมู่ส่งยิ้มให้แต่ละคนไม่พลาดใคร วรยุทธของผู้คนเหล่านี้ค่อนข้างสูง และพวกเขานับได้ว่าโดดเด่นน่าประทับใจในหมู่รุ่นเยาว์

เมื่อการแนะนำตัวเสร็จสิ้น ฉินมู่ก็แย้มยิ้มและกล่าว “พี่เกอเคอได้แนะนำผู้คนมากหลายปานนี้ แต่ไฉนพี่ท่านไม่แนะนำตนเองล่ะ”

เกอเคอหัวเราะและกล่าว “ข้าเป็นเพียงเจ้าของที่ดินในสถานที่แห่งนี้ เมืองหอมเบ่งบานเป็นสมบัติที่บิดามารดาหลงเหลือไว้ให้ข้า อันมิใช่อะไรที่ควรค่าแก่การเอ่ยอ้าง จ้าวลัทธิฉิน ด้วยยอดฝีมือทั้งหลายที่ดาหน้าออกมาและหมายจะกำราบท่าน ท่านจะทำอย่างไร”

ฉินมู่มองไปรอบๆ และกล่าวอย่างจริงใจ “ศิษย์พี่หญิงและชายทั้งหลาย พวกท่านก็ล้วนแต่ดูท่าจะผู้เปี่ยมความสามารถ เหตุใดจึงมาหาที่ตายถึงนี่ล่ะ”

………………

[1] ต้นชิวไห่ถัง ต้นบีโกเนีย

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท