บทที่ 322 ความคิดถึงและห่วงใย
คฤหาสน์เก่าแก่หลังนี้เปี่ยมไปด้วยสถาปัตยกรรมโดดเด่นของตะวันตก ไม่เหมือนคฤหาสน์ตระกูลหลง ที่เป็นทั้งสถาปัตยกรรมแนวตะวันตกแต่ยังบวกไปด้วยความโดดเด่น ของทางตะวันออก ดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อนานไป คนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกประหลาด แต่มองว่ามันเป็นจุดเด่นของบ้านตระกูลหลงไปแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคฤหาสน์ที่มีสถาปัตยกรรมตะวันตกโดดเด่นขนาดนี้ ฉินอีหลินและหลงหลิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด เมื่อเห็นดวงตาตื่นเต้นของทั้งสองอ้ายหลุนรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ภายใต้สายตาคาดหวังของสองสาว เขาจึงเอ่ยขึ้นมา “คฤหาสน์เก่าแก่หลังนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 เพื่อมอบให้แก่สนมที่รักของตน ได้รับการดูแลรักษามาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นคุณปู่ของผมก็จ่ายเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อที่นี่…”
ขณะที่อ้ายหลุนกำลังดำดิ่งไปกับการบรรยาย เมื่อเขาเล่าจบ จึงหันกลับมา กลับพบว่าหญิงสาวทั้งสองไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว
พวกเธอมุ่งไปยังหน้ากรงเหล็กกรงหนึ่งตั้งนานแล้วในกรงเหล็กมีสิงโตตัวใหญ่มอบอยู่ด้านใน ฉินอีหลินเป็นคนมองเห็นก่อนจากนั้นจูงมือหลงหลิงตามมา ทั้งสองเดินมาหยุดมองสิงโตตัวนั้นอยู่ห่างจากกรงเหล็กประมาณหนึ่งเมตร
อ้ายหลุนมองเห็นทั้งคู่ รีบเดินตามไป “นี่เป็นสิงโตภูเขา คุณปู่ล่ามา อย่าเห็นว่ามันเชื่อง มีครั้งหนึ่งผมนอนคว่ำอยู่บนกรง มันก็กระโดดเข้าหา ดีที่ผมไม่เป็นอะไร”
ได้ยินอ้ายหลุนบอกแบบนั้น ฉินอีหลินยังคงนิ่ง แต่หลงหลิงกลับก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความกลัว ดูเหมือนจะกลัวสิงโตในกรงอยู่บ้าง
สิงโตในกรงราวกับไม่ได้สัมผัสถึงความอันตรายจากบุคคลทั้งสามด้านนอกกรง มันยังคงนอนสะบัดหางไปมาอยู่ในกรง ไม่แม้แต่จะลืมตา
อยู่สักพักรู้สึกไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ ทั้งสามจึงไปจากตรงนั้น ครั้งนี้อ้ายหลุนไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้สึกได้ว่าวันนี้ฉินอีหลินไม่ได้ยินดีที่ได้เจอเขา
ออกห่างจากสิงโตไปได้สักพัก เดินไปได้ประมาณสองร้อยเมตร ทั้งสามก็มองเห็นต้นไม้สูงใหญ่อยู่ตรงหน้า เพียงแต่ฉินอีหลินและหลงหลิงไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร
แท้จริงนี่คือต้นยูคาลิปตัสเรกแนนส์ต้นหนึ่ง ปลายยอดของต้นแทบจะสูงเท่าตัวคฤหาสน์แล้วและดูท่าลำต้นของต้นยูคาลิปตัสนี้จะแข็งแรงเป็นพิเศษ
ฉินอีหลินลองประมาณดูอย่างน้อยคงต้องใช้สักสิบคนถึงจะโอบต้นไม้นี้ได้
อ้ายหลุนที่ยืนอยู่ด้านข้างหลังจากได้เห็นต้นไม้นี้แล้ว เปลี่ยนเป็นคนละคนจากก่อนหน้านี้ทันที สายตาของเขาที่จ้องมองไปยังต้นไม้ต้นนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงและห่วงใย สายตาอบอุ่นเป็นพิเศษ
ฉินอีหลินและหลงหลิงเองก็มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงจากอ้ายหลุน ทั้งสองรู้ว่าต้นไม้ต้นนี้ต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร รอให้อ้ายหลุนเอ่ยมันออกมาเอง
“ต้นไม้ต้นนี้ชื่อต้นยูคาลิปตัสเรกแนนส์ เป็นต้นไม้ที่พ่อกับแม่ผมย้ายมันมาจากยุโรปเอามาปลูกไว้ตรงนี้ ตอนที่เอามาปลูก มันพึ่งจะเป็นเพียงต้นกล้าเอง หลายปีผ่านไปแล้ว ผมเติบโตแล้ว มันก็เติบโตแล้วเช่นกัน”
อ้ายหลุนเล่าไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อเอ่ยถึงพ่อแม่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความคิดถึง
“ขอเสียมารยาทถามหน่อยได้ไหม ช่วยเล่าเรื่องของพ่อแม่ของคุณให้ฟังหน่อยได้หรือเปล่า”
ฉินอีหลินดูออกว่าพ่อแม่ของอ้ายหลุนไม่ได้จากโลกนี้ไป เพียงแต่มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ต้องจากอ้ายหลุนไป
“ถ้าคุณอยากฟังล่ะก็ ผมก็จะเล่าให้คุณฟัง”
อ้ายหลุนเผยความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย จากนั้นมองไปยังต้นยูคาลิปตัสเรกแนนส์ จากนั้นจึงเอ่ย “ตั้งแต่พ่อเกิดมาก็ต้องแบกความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่จากคุณปู่ ดังนั้นคุณปู่จึงเลี้ยงดูคุณพ่อมาอย่างดีที่สุด ท่านต้องการให้พ่อเป็นคนเก่ง จากนั้นสืบทอดทุกอย่างของตระกูล”
เล่ามาถึงตรงนี้ อ้ายหลุนนิ่งไปพักหนึ่ง “พ่อเข้าใจความอุตสาหะของคุณปู่ ดังนั้นแม้ในใจจะไม่ชอบมาก แต่ก็ยังทนทำหน้าที่ทุกอย่างที่คุณปู่มอบหมายให้ กระทั่งบาดเจ็บ พ่อก็ยังกัดฟันสู้ต่อ เพื่อตอบแทนความอุตสาหะของคุณปู่…..”
หลงหลิงฟังมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงพ่อของตนเอง อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นหลังจากนั้นล่ะ” หลงหลิงถามอย่างใจร้อน
“จากนั้นเพราะภารกิจหนึ่งทำให้พ่อตกลงไปในหน้าผา ด้านล่างหน้าผาเป็นหมู่บ้านที่แม่อาศัยอยู่ แม่เจอพ่ออยู่ที่ข้างงแม่น้ำ จึงได้ช่วยพ่อเอาไว้ เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วพ่อกับแม่ก็เริ่มคบหากัน จนมีผมออกมา” อ้ายหลุนพูดพลางถอนหายใจ
“แล้วคุณปู่ของคุณไม่ได้ตามหาพ่อคุณหรอคะ” หลงหลิงถาม
“กว่าคุณปู่จะตามหาพ่อเจอผมก็อายุได้สามขวบแล้ว พ่ออยากจับพ่อกับแม่แยกกัน แต่พ่อยังคงยืนหยัดต่อไป คุณปู่จึงเห็นถึงความรักของพวกเขา จึงยอมรับการแต่งงานครั้งนี้”
อ้ายหลุนเล่าจบ สายตาเสน่หามองไปยังฉินอีหลิน เขาก็ต้องการผู้หญิงสักคนที่จะมีความรักแรงกล้ากันแบบนี้บ้าง
แต่ฉินอีหลินก็ทำราวกับมองไม่เห็น แม้ฉินอีหลินจะรู้สึกไปกับเรื่องราว แต่ในใจเธอคนที่จะแก่เฒ่าไปด้วยกันคงมีเพียงลี่โม่อวี่คนเดียวเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจสายตาของอ้ายหลุน
กลับกันหลงหลิงที่ยืนอยู่ข้างๆได้รับรู้เรื่องราวของพ่อแม่อ้ายหลุนอย่างละเอียด และได้เห็นสายตาของอ้ายหลุน ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่พูดออกมาไม่ได้
“งั้นตอนนี้พ่อแม่ของคุณอยู่ที่ไหน ฉันอยากไปไหว้สักหน่อย” ฉินอีหลินที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้น
“ตั้งแต่พ่อแม่ได้กลับมาก็ไม่เคยพักอยู่ที่บ้านเลย เพราะพวกเขาหลงรักการเดินทาง” อ้ายหลุนตอบ “บางทีตอนนี้พวกเขาอาจจะเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวของพ่อแม่ของอ้ายหลุนแล้ว ฉินอีหลินมองไปยังต้นยูคาลิปตัสเรกแนนส์ตรงหน้าอีกครั้ง เธอพลันรู้สึกว่าความรู้สึกที่ต้นยูคาลิปตัสเรกแนนส์ต้นนี้มีให้คือเป็นสัญลักษณ์ของความรักอันสูงส่ง
“ฉันขอสัมผัสต้นไม้ต้นนี้หน่อยได้ไหม” ฉินอีหลินถามอย่างระมัดระวัง
“แน่นอนสิ”
ฉินอีหลินยื่นสองมือไปสัมผัสลำต้นของต้นไม้อย่างแผ่วเบา แม้ว่าเมื่อเธอยืนอยู่ใต้ต้นไม้นี้แล้วจะดูตัวเล็กไป แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากต้นไม้กลับเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้
หลงหลิงก็สัมผัสต้นไม้นี้ แต่เพราะหลงหลิงยังผ่านโลกมาไม่มากนัก ไม่มีเรื่องราวอะไร ดังนั้นเธอไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกที่ฉินอีหลินมีในตอนนี้
อ้ายหลุนยืนมองฉินอีหลินและหลงหลิง เขาไม่ได้ส่งเสียงรบกวน ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนนนอกได้สัมผัสต้นไม้ต้นนี้ นี่แสดงให้เห็นถึงฐานะของฉินอีหลินในใจของอ้ายหลุน น่าเสียดายก็คือ สุดท้ายอ้ายหลุนก็เป็นฝ่ายที่รู้สึกไปเองเพียงฝ่ายเดียว
“พวกเรามาถ่ายรูปกันหน่อยดีไหม”
อ้ายหลุนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา โบกสะบัดให้ฉินอีหลินและหลงหลิง
“เอาสิ” หลงหลิงตอบกลับด้วยความตื่นเต้น แต่ฉินอีหลินไม่ได้เอ่ยอะไร
อ้ายหลุนไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาให้สาวใช้ถ่ายรูปให้พวกเขา ซ้ายมือของหลงหลิงกำลังโอบฉินอีหลินเอาไว้ ขวามืออยู่ติดกับอ้ายหลุน ถ่ายรูปอย่างมีความสุข
“ไปกันเถอะ” ถ่ายรูปเสร็จ ฉินอีหลินจึงเอ่ย
จากนั้นทั้งสามก็ไปจากต้นไม้ใหญ่ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความรักของพ่อและแม่อ้ายหลุน
เมื่อจากไปแล้วสายตาที่หลงหลิงมองอ้ายหลุนก็เปลี่ยนไปมาก มักแอบมองอ้ายหลุนอยู่บ่อยๆ