บทที่ 329 ผมคิดถึงคุณมากเลย
แม้ว่าฉินอีหลินไม่ได้คาดหวังจะต้องได้รับการต้อนรับจากพนักงานในทันทีทันใด แต่เธอก็ไม่คิดว่า หัวหน้าเลขาเล็กๆจะกล้าต่อกรกับเธอ เมื่อประธานมาแล้ว ยังคิดวิ่งไปห้องผู้อำนวยการ
คงรังเกียจว่างานตัวเองสงบสุขเกินไปสินะ
พอดีได้ยืมเขาลงมีดแล้ว
“เสี่ยวหวาง รินน้ำให้ฉันหนึ่งแก้ว”
หลินชางผลักประตูห้องเลขาเปิดออก คลายเนคไทออก เมื่อสักครู่เขาได้แสดงความคิดเห็นของเขาให้ผู้อำนวยการได้รับรู้แล้ว เลขาจะเพียรไปยังผู้อำนวยการคนเดียวเท่านั้น
“อ้อ….”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวหวางถูกใช้จนชินแล้ว จึงตอบรับแล้วเดินไปกดน้ำยังเครื่องกดน้ำ
“ของของฉันล่ะ”
หลินชางกลับมาที่โต๊ะทำงาน กลับพบว่าของของตนเองไม่เหลือแล้ว
หัวคิ้วขมวดขึ้น เขาเงยหน้าถามคนในห้อง
แต่ไม่มีใครตอบคำถามเขา
“ของของฉันล่ะ”
ยังคงไม่มีใครตอบ
“เสี่ยวหวาง ของของฉันล่ะ”
หลินชางตื่นตระหนก พอดีเขาเห็นเสี่ยวหวางยื่นแก้วมาให้พอดี จึงคว้ามือเธอเอาไว้ ถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“เจ็บ……”
เสี่ยวหวางรีบบิดมือตัวเองกลับคืน ด้วยกำลังทำให้แก้วน้ำในมือหกราดลงไปบนตัวของหลินชาง “หัวหน้าเลขาคะ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ฉันถามเธอ ของของฉันล่ะ”
หลินชางไม่มีเวลามาสนใจเรื่องน้ำหกรดตัวเองแล้ว
“อยู่ที่ฝ่ายบุคคลค่ะ…..”
ดวงตาของเสี่ยวหวางสั่นไหว ยอมบอกความจริงออกมา
“ฝ่ายบุคคล…..”
หลินชางพลันโมโหขึ้นมา เขาทำเพื่อบริษัทหลงเวยมานานหลายปี เอาอะไรมาบอกจะไล่ออก ก็ไล่เขาออกแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ หลินชางก็พุ่งไปที่ห้องทำงานของฉินอีหลินด้วยความโกรธ
“คุณมียึดอะไรมาไล่ผมออก”
หลินชางเสียงดังขึ้น
ปีนี้เขาอายุห้าสิบแล้ว ทำงานที่บริษัทหลงเวยมาชั่วชีวิต ถ้าหากโดนไล่ออกตอนนี้ เขาจะไปทำงานที่ไหน
ฉินอีหลินได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกตั้งนานแล้ว เมื่อประตูถูกเปิดออก เธอขมวดคิ้วและมองเห็นคราบน้ำอยู่ตรงหน้าหลินชาง เอ่ยราบเรียบ “ก็ยึดที่คุณไม่ทำงานตามหน้าที่”
“ผมทำงานเพื่อบริษัทหลงเวยมาตลอดชีวิต ตอนผมทำงานที่นี่ คุณยังไม่เกิดด้วยซ้ำ อาศัยได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่สอง คุณมีสิทธิ์อะไรมาไล่ผมออก”
“ก็สิทธิ์ที่ฉันเป็นประธานกรรมการของบริษัทหลงเวยไงล่ะ”
ฉินอีหลินตะโกนอย่างรุนแรง แรงกดดันปะทุขึ้นสูงขึ้นทันใด แม้แต่หลงเจี้ยนยังตามเธอได้แค่ไม่กี่น้ำ นี่แค่หัวหน้าเลขา
“รปพ. มีเรื่องวุ่นวายที่นี่ รีบส่งคนมาเดี๋ยวนี้”
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกด้วยความเรียบนิ่ง เอ่ยบอกเสียงเย็น
“คุณจะไล่ผมออกไม่ได้”
แม้ในดวงตาของหลินชางจะยังมีความบ้าคลั่งอยู่ เขาจะไม่ยอมเห็นบริษัทหลงเวยต้องพังลงในมือของหญิงสาวบ้านรวยหรอก
รปพ.รีบวิ่งเข้ามา พวกเขาหิ้วปีกซ้ายขวาของหลินชางที่กำลังบ้าคลั่ง ลากคนออกจากห้องทำงานไปทันที
“ฉินอีหลิน บริษัทหลงเวยจะพังทลายลงในมือคุณ บริษัทหลงเวยจะพังทลายลงในมือคุณ”
ฉินอีหลินไม่ไหวติง
การซักถามข้อสงสัยกับฉินอีหลิน เป็นสิ่งที่หลินชางทำพลาดที่สุดในชีวิต
เชือดไก่ให้ลิงดู เธอเพียงแค่ทำให้ทุกคนได้เห็น ใครกันแน่ที่เป็นคนควบคุมบริษัทหลงเวย
พึ่งจะลดความโกรธลง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
“สามี”สองคำนี้เรียกสายตาให้ตื่น
ใบหน้าแดงระเรื่อ ฉินอีหลินเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ฮัลโหล”
“อีหลิน ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
น้ำเสียงของลี่โม่อวี่อบอุ่นจนอธิบายไม่ถูก
“ฉันหรอ ฉันอยู่ที่บริษัทของตระกูลหลง บริษัทอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง”
“บริษัทหลงเวยหรอ”
“นี่คุณก็รู้จักหรอ”
ฉินอีหลินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“สามีของคุณเก่งทุกอย่าง”
ฉินอีหลินได้ยินดังนั้น ใบหน้ายิ่งแดงระเรื่อมากขึ้น
“พ่อคะ นั่นอะไรหรอ”
ฉินอีหลินกำลังคุยกับลี่โม่อวี่ พลันได้ยินเสียงของหลงจิ่นเซวียน ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเสียงแตรรถ ก็รู้แล้วว่าอยู่ข้างนอก แต่ไม่คิดว่า เขาจะเอาลูกไปด้วย “คุณเอาลูกไปด้วยหรอ
“จิ่นเซวียน หมิงเจ๋อ ทักทายคุณแม่หน่อยเร็ว”
“แม่ครับ”
“แม่คะ”
ได้ยินเสียงของเด็กทั้งสอง หัวใจของฉินอีหลินพลันเป็นสุข แต่ก็แอบกังวล “ลี่โม่อวี่ คุณพาลูกๆไปไหน”
“ไปเรียน”
“วันนี้วันอาทิตย์”
“อ้อ งั้นก็ไม่ไปเรียนแล้ว”
“ลี่โม่อวี่”
“เรียกสามี”
“………”
ใบหน้าของฉินอีหลินแดงถึงขีดสุด แม้กระทั่งลำคอก็แดงไปหมด ถ้าให้หลินชางได้เห็น กลัวว่ายิ่งจะทำให้อารมณ์พุ่ง บริษัทหลงเวยคงดับ
“เร็วสิ เรียกให้ฟังหน่อย”
“พ่อคะ เขิน”
หลงจิ่นเซวียนยู่ปากเล็กๆขึ้น มือเล็กปัดป่ายบนใบหน้า
“อย่าแกล้งสิ เด็กๆก็อยู่นะ” ฉินอีหลินตั้งใจตีหน้าขรึม “คุณจะพาลูกไปไหนกันแน่”
“ไปทานข้าว”
“พึ่งเก้าโมงครึ่งเอง”
“ทำการบ้าน”
“คุณอยู่ข้างนอก”
“งั้นผมจะพาเด็กๆทำอะไรดีล่ะ”
น้ำเสียงของลี่โม่อวี่ฟังดูมีความสุข
“ลี่โม่อวี่ คุณอย่ามาพูดจาไร้สาระกับฉันนะ”
“หมิงเจ๋อ บอกแม่มาสิว่าพ่อจะพาไปไหน”
ลี่โม่อวี่พูดถึงตรงนี้ แล้วจึงส่งโทรศัพท์ให้หลงหมิงเจ๋อ
หลงหมิงเจ๋อกะพริบตาปริบๆ เอ่ยเสียงหวานใส่โทรศัพท์ “คุณพ่อพาหมิงเจ๋อกับจิ่นเซวียนไปคิดถึงแม่ครับ”
ฉลาดพูดจริงๆ มุมปากของฉินอีหลินยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความโกรธเมื่อสักครู่หายไปไม่เหลือเลยสักนิด
“ฮัลโหล อีหลิน ได้ยินแล้วใช่ไหม”
แม้ว่าหลงหมิงเจ๋อจะไม่อยากยอม แต่ลี่โม่อวี่กลับแย่งโทรศัพท์ไปโดยไม่สงสารสักนิด
อีหลินเป็นของเขา เป็นของเขาคนเดียว
“ช่างเถอะ ฉันก็ไม่สนหรอกว่าคุณจะพาพวกเขาไปไหน” ฉินอีหลินนวดขมับ เธอเอ่ยอย่างยอมแพ้ “แต่ต้องระวังตัวนะ เวลาเดินทางก็ต้องระวังรถ มองไฟจราจรดีๆ จูงมือเด็กๆ อย่าให้พวกเขาพลัดหลงจากคุณ ห้าเด็กชอบอะไรก็ซื้อให้ แบบนี้ทำให้ลูกติดนิสัยไม่ดี และยัง….”
“เวลาเดินทางห้ามคุยโทรศัพท์ใช่ไหม”
คิ้วของลี่โม่อวี่ขมวดขึ้น จากนั้นเอ่ยหยอกเย้า
ฉินอีหลินชะงัก ชั่วขณะค่อยพยักหน้าเห็นด้วย “คุณพูดถูก……กลับถึงบ้านแล้วโทรหาฉันนะ”
เอ่ยจบ เธอจึงกดวางสาย
ลี่โม่อวี่ยังไม่ทันได้สติ ปลายสายฝั่งนั้นก็เป็นเสียงตัดสัญญาณส่งมา เขาอดไม่ได้หัวเราะออกมา แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย
นำโทรศัพท์เก็บเข้าคืนกระเป๋าดังเดิม มือซ้ายของเขาจูงมือหลงหมิงเจ๋อ มือขวาอุ้มหลงจิ่นเซวียน
พวกเขาสามคนทำให้ถนนทั้งสายต้องเหลียวหลังมากมาย
ชายหนุ่มในชุดสูท ใบหน้าเป็นเอกลักษณ์หล่อเหล่าเสน่ห์โดดเด่นของชาวตะวันออก เขาอุ้มเด็กหญิงหน้าตาน่ารักผิวขาวละเอียด ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ คล้ายกับพูดได้ และซ้ายมือของชายหนุ่มกำลังจูงเด็กน้อยหน้าตาสะสวยเหมือนกัน เขาพยายามก้าวตาให้ทันชายหนุ่ม ขณะเดียวกันก็สำรวจบริเวณรอบข้างอย่างตื่นตาไปด้วย
จำนวนไม่น้อยเลยที่อยากมาถ่ายรูปกับพวกเขา แต่กลัวรบกวนความสุขของพวกเขา
เพียงแค่ได้มอง ก็ทำให้พวกเขาเต็มอิ่มแล้ว
“พ่อคะ แม่มองเห็นพวกเราจะดีใจมากมั้ยคะ”
“เด็กโง่จิ่นเซวียน แน่นอนว่าแม่ต้องดีใจมากเลยสิ”
ลี่โม่อวี่ไม่ได้สนใจเด็กน้อยทั้งสองถึงกันไม่หยุด เขาเงยหน้ามองตัวอักษรสี่ตัว “บริษัทหลงเวย” หัวใจเต็มไปด้วยความอบอุ่น
อีหลิน ผมมาแล้ว ผมคิดถึงคุณมาก