บทที่ 331 ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้
“อีหลิน เลิกงานก่อนเวลาเถอะ”
หลังจากลี่โม่อวี่ถอนจูบลึกซึ้งออก ยิ้มแล้วบอกกับฉินอีหลิน
“ไม่ได้ วันนี้ฉันตรวจบัญชีพวกนี้เสร็จ ยังคิดจะประชุมกับบอร์ดบริหารอีก…..นี่……อย่าซน…..”
ฉินอีหลินกำลังพูด กลับพบว่ามือใหญ่ของลี่โม่อวี่กำลังเลื้อยลงไปด้านล่าง จนร่างของเธอแทบหลอมเหลว
“”เด็กๆมาแล้ว ถึงไม่อยู่กับผม ก็ต้องอยู่กับเด็กๆนะ จิ่นเซวียนคิดถึงคุณมาก จนสะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้”
ลี่โม่อวี่บอกกับหญิงสาวจริงบ้างไม่จริงบ้าง เขารู้ว่าเด็กทั้งสองเป็นจุดอ่อนของเธอ แบบนี้ เธอไม่อยากเลิกงานก่อนเวลาคงเป็นเรื่องยาก
“งั้น…….งั้นฉันจะรีบดู….พรุ่งนี้ค่อยประชุมกับพวกเขา”
ฉินอีหลินเอ่ยออกมาด้วยความลังเลเล็กน้อย
“เด็กดี”
ลี่โม่อวี่จูบหญิงสาวเบาๆหนึ่งครั้งคล้ายให้รางวัล จากนั้นกอดเธออยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร
บางทีอาจเพราะข้างกายคือคนรัก ฉินอีหลินรู้สึกมีพลังขึ้นมาเป็นพิเศษ บวกกับประสบการณ์มากมายของลี่โม่อวี่ เมื่อเจอจุดที่ไม่เข้าใจก็สามารถขอคำแนะนำจากเขาได้ทันที
เดิมคาดว่าจะให้เวลาสี่ชั่วโมงในการดูเอกสารทั้งหมด แต่เธอกลับใช้เวลาไปเพียงสองชั่วโมงครึ่ง
“ฮู่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ฉินอีหลินลุกออกจากอ้อมแขนของลี่โม่อวี่ เธอยืดเส้นยืดสาย จากนั้นหันกลับไปพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อสักครู่คุณยังเร่งฉันอยู่เลย ตอนนี้ทำไมไม่ขยับแล้วล่ะ”
“ขาชาแล้ว ให้ผมรอมันคลายสักหน่อย”
ลี่โม่อวี่ขมวดหัวคิ้ว ค่อยๆขยับขาที่โดนทับจนชา ลุกขึ้นช้าๆ เพียงแต่เดินกะเผลกแปลกๆ
ฉินอีหลินใบหน้าแดงระเรื่อ “ไม่รีบบอกล่ะ ฉันอ่านเอกสารจนลืมไปเลย คุณก็ไม่เตือนฉันสักนิด”
“คุณตั้งใจขนาดนั้น ผมจะกล้ารบกวนได้ยังไง”
ลี่โม่อวี่ขยับขาอีกเล็กน้อย จากนั้นเปิดประตูห้องพักในห้องทำงานออก “เด็กทั้งสองยังดูอยู่อีกหรอ ไม่พักสายตาหน่อย สายตาสั้นแล้วจะทำยังไง รีบออกมาเร็ว คุณแม่เลิกงานแล้วนะ”
“คุณแม่เลิกงานแล้ว”
“เยี่ยมไปเลย”
หลงจิ่นเซวียนปิดโทรทัศน์อย่างว่าง่าย จูงมือพี่ชายออกมา “แม่คะ ตอนบ่ายแม่ยังทำงานไหมคะ”
เดิมฉินอีหลินอยากบอกว่า “ทำ” แต่เมื่อมองเห็นสายตาน่าสงสารของเด็กทั้งสอง อีกทั้งท่าทาง “คับแค้นใจ” ของลี่โม่อวี่ เธอจึงต้องกลืนคำนั้นลงไป “ตอนบ่ายแม่จะอยู่กับลูกๆค่ะ”
“เย้”
“แม่น่ารักที่สุดเลย”
เด็กทั้งสองต่างพากันแยกย้ายปีนขึ้นมาในอ้อมแขนของพวกเขา ฉินอีหลินและลี่โม่อวี่สบตากันแล้วหัวเราะ จากนั้นจึงลงลิฟต์แล้วออกจากบริษัทไป
……
“แม่ครับ ผมอยากได้อันนี้”
“พ่อคะ หนูซื้ออันนี้ได้ไหมคะ”
ดวงตากลมโตน่าสงสารของเด็กๆทั้งสอง ชี้ไปที่โซนของเล่น
“แต่ละคนสามารถเลือกได้แค่ชิ้นเดียว หักจากเงินค่าขนมของเดือนนี้”
ลี่โม่อวี่ผู้มีภูมิคุ้มกันต่อท่าทางของเด็กๆ บอกด้วยสีหน้านิ่ง และฉินอีหลินก็พยักหน้าเห็นด้วย
แม้พวกเขาจะไม่ขัดสนเรื่องเงิน แต่จะไม่เลี้ยงลูกๆให้ติดนิสัยเป็นคุณหนูฟุ่มเฟือย เพราะไม่ได้ขาดมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาจึงไม่เข้าใจการหาเงินไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าเด็กคนอื่นๆ
ประเทศจีนมีประโยคหนึ่งที่บอกว่า ร่ำรวยไม่เกินสามรุ่น คำนี้ไม่ได้มีมาลอยๆ
“ทราบแล้วครับ/ค่ะ”
เด็กทั้งสองยู่ปากอย่างผิดหวัง มองดูของเล่นสุดที่รักอย่างไม่เต็มใจ
“จิ่นเซวียน เดือนนี้เธอเหลือเงินค่าขนมเท่าไหร่ เอามาให้ฉันยืมได้ไหม เดือนหน้าฉันจะคืนให้”
หลงหมิงเจ๋อชอบโมเดลรถคันนี้จริงๆ แต่โมเดลนั้นต้องใช้เงินหนึ่งร้อยหยวน เงินค่าขนมเดือนนี้ของเขาเหลือเพียงห้าสิบหยวน
“ฉันยังเหลือ….” จิ่นเซวียนเอียงคอคำนวณอยู่ชั่วครู่ “ฉันเหลือยี่สิบหยวน”
พูดมาถึงตรงนี้ แล้วมองไปยังราคาของตุ๊กตาบาร์บี้ชุดนั้น เบะปากเล็ก น้ำตาเกือบจะไหลออกมา
“ทำไมหนูใช้เยอะขนาดนั้นล่ะ”
ฉินอีหลินยื่นมือส่งเกาลัดให้ลูกสาวไปหนึ่งลูก
เลี้ยงเด็กชายให้จนเลี้ยงเด็กสาวให้ร่ำรวย พวกเขาเข้าใจในข้อนี้ดี
ดังนั้นค่าขนมของหลิงหมิงเจ๋อในแต่ละเดือนจึงได้สองร้อยหยวน ส่วนหลงจิ่นเซวียนได้สามร้อยหยวน
ความจึงเรื่องจำกัดเงินค่าขนม หลงอี้เซวียนไม่เห็นด้วยเป็นที่สุด เขาคิดว่า พวกเขาตระกูลหลงและตระกูลลี่ก็ใช่ว่าจะหาเงินพวกนั้นไม่ไหว ให้เด็กที่รักทั้งสองต้องมาคำนวณเงินค่าขนมในทุกๆเดือน มันไม่มีเหตุผลเกินไป
เพราะแบบนี้เขาจึงชอบแอบซื้อของเล่นให้เด็กทั้งสอง
แต่คนอื่นต่างก็เห็นด้วย
ตระกูลลี่เป็นตระกูลทหาร แน่นอนว่าจะไม่เลี้ยงเด็กให้ฟุ่มเฟือย แม้กระทั่งอานหน้าเองก็เห็นด้วยเป็นที่สุด
อานหน้าชอบบอกว่า เมื่อก่อนเธอก็จำกัดเงินของหลงอี้เซวียนเหมือนกัน เป็นการสร้างแนวคิดในการใช้เงินให้กับลูกชายตัวเองใช่หรือไม่
นี่ไม่ใช่สอนให้เด็กๆบูชาเงิน พวกเขาแค่อยากบอกเด็กๆ ว่าเงินที่ได้มาไม่ได้ได้มาง่ายๆ
“พ่อครับ เราไปซื้อของกินกันเถอะ”
หลงหมิงเจ๋อมองโมเดลอย่างเสียดายสักพัก จากนั้นถึงบอกอย่างตัดใจ
ฉินอีหลินเห็นท่าทางของหลงหมิงเจ๋อ อดไม่ได้หัวเราะออกมา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะทำลายกฎ ซื้อโมเดลให้เขา
กฎก็คือกฎ รอเด็กๆโตแล้ว พวกเขาจะต้องได้พบเจอกับเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้หลากหลายรูปแบบ
สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือเลี้ยงและสั่งสอนให้เด็กๆเติบโตขึ้น อนาคตของตระกูลลี่และตระกูลหลง จำเป็นต้องให้พวกเขามาแบกรับ
……
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลหลง เด็กทั้งสองกระโดดโลดเต้นสำรวจไปทั่ว
“แม่คะ ที่นี่สวยมากเลยค่ะ”
หลงจิ่นเซวียนกระตุกมือของฉินอีหลิน ใบหน้าตกตะลึง
ลี่โม่อวี่รับรู้ถึงสงครามระหว่างคนเชื้อสายหลักและคนเชื้อสายรองของตระกูลหลง เขานึกว่าการมาครั้งนี้อาจจะจุดชนวนดินปืน แต่ตั้งแต่เข้าประตูมาจนถึงห้องโถง นอกจากสาวใช้ เขาไม่เห็นเงาใครเลยแม้แต่คนเดียว
“ทำไมถึงไม่มีคนล่ะ”
ลี่โม่อวี่พลันนึกว่ามีปัญหา จึงเอ่ยถาม
“เมื่อวานมีเรื่องทะเลาะกันอีก ตอนนี้คนของคนเชื้อสายรองคุกเข่าอยู่ที่ศาลบรรพชน จะได้หยุดไปสักกี่วัน แต่ก็แค่ไม่กี่วัน”
นึกถึงพวกอันธพาลพวกนั้นแล้ว ฉินอีหลินก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความปวดหัว ทำไมเธอถึงได้ซวยขนาดนี้ เรื่องน่าปวดประสาทอะไร เธอก็ได้เจอมาหมด
“อ๋อ”
ลี่โม่อวี่พยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ
“ก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากศาลบรรพชน คุณต้องพาเด็กๆออกจากบ้านตระกูลหลงไป ฉันกลัวว่าพวกเขาจะทำอะไรเด็กๆ”
ฉินอีหลินส่งอาหารให้กับสาวใช้ พลันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงรีบบอกกับลี่โม่อวี่ เธอสูญเสียลูกไปคนหนึ่งแล้ว หมิงเจ๋อกับจิ่นเซวียนจะเกิดเรื่องอีกไม่ได้ ไม่งั้นเธอก็คงไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไงแล้ว
“พวกเขากล้าหรอ”
ลี่โม่อวี่เลิกคิ้ว เรื่องก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้คิดบัญชีกับพวกนั้นเลย ตอนนี้เหมือนกับส่งมาถึงหน้าประตู เขาไม่มีวันปล่อยพวกมันไปแน่
“เมื่อวานฉันหักหน้าพวกเขาไปรุนแรงมาก คิดว่าพวกเขาคงจะหาโอกาสเอาคืน ฉันไม่มีวันยอมให้เด็กทั้งสองต้องมาเสี่ยงกับอันตราย”
น้ำเสียงของฉินอีหลินเข้มขึ้น
“อีหลิน…….”
ลี่โม่อวี่กำลังจะพูดอะไร ตอนนั้นเองมีชายวัยห้าสิบกว่าเดินเข้ามากับหญิงสาวคนหนึ่ง
หลงเซี่ยวเทียนที่เดินนำหน้ามา ตามมาด้านหลังคืออารองของฉินอีหลินหลงเสี้ยวตี้
“อีหลิน คนนี้คือ………”
หลงเสี้ยวตี้มองสำรวจชายตรงหน้านิ่งๆ”