ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 458 หงายฝ่ามือเป็นเมฆ คว่ำฝ่ามือเป็นฝน

ตอนที่ 458 หงายฝ่ามือเป็นเมฆ คว่ำฝ่ามือเป็นฝน

“สารเลว!”

ในพริบตาที่อวี้หรูอี้เสียชีวิต ทั้งตระกูลหลิ่วก็ตื่นตระหนก และโลงดำมากมายเปิดออกมาดังปังๆๆ อย่างต่อเนื่อง เงาร่างอันแข็งแกร่งเหาะขึ้นไปบนอากาศตามๆ กัน!

และยังมีโลงศพจำนวนหนึ่งที่เปิดออกมาโดยไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น ในทางกลับกัน มีคลื่นสะเทือนอันน่าสะพรึงกลัวมาจากข้างใน และมีแสงเทวะคุกรุ่นอยู่ แม้ว่าจะไม่มียอดยุทธฝีมือแกร่งโผล่หน้ามา แต่มันก็ยังน่าแตกตื่น!

แม้ว่าตระกูลหลิ่วจะไม่เผยแสนยานุภาพทั้งหมดของพวกเขา แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นกำลังความสามารถของพวกเขาจึงมิใช่เรื่องเล่นๆ!

หุบเขาฝังเทพยดานั้นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหลิ่ว ดังนั้นเมื่อฉินมู่ลงมือสังหารอวี้หรูอี้ในอาณาบริเวณนี้จึงไปแตะต้องข้อห้ามของตระกูลหลิ่ว ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ตายยังเป็นยอดฝีมือจากตำหนักสวรรค์แท้ อันทำให้ตระกูลหลิ่วอันเป็นผู้เหย้าต้องบันดาลโทสะ

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

เงาร่างต่างๆ ปรากฏล้อมฉินมู่เอาไว้ และสายลมพลันเต็มไปด้วยความเย็นเยียบชั่วร้าย ร่างเหล่านั้นวูบวาบราวกับว่าพวกเขายืนอยู่ในเมฆมืด ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ ยากที่จะบอกว่าเป็นคนหรือภูตผี

ขณะที่เงาร่างหนึ่งจะฉีกทึ้งเด็กหนุ่มที่จองหองอวดดีผู้นี้เสีย มันก็เห็นลูกแก้วมังกรเขียวในมือเสียงฉีเอ๋อและชะงักไป ไม่กล้าเข้าไปใกล้

“ทุกคนหยุดก่อน!” หลิ่วหรูยินสั่งด้วยสีหน้าอันว้าวุ่นและขุ่นเคือง “พวกเจ้าทั้งหมดอย่าขยับ!”

นางหันกลับไปมองฉินมู่ และเห็นเขายัดเนตรหยกลูกใหญ่นั้นกลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทาริกาของนางปรบมือหัวเราะร่าด้วยความเบิกบาน อยากให้ฉินมู่เล่นกลเมื่อครู่อีกครั้ง

หลิ่วหรูยินรู้สึกปวดหัวจี๊ด เมื่อนางมองไปยังซากร่างของอวี้หรูอี้ข้างๆ นาง ศีรษะนางก็ปวดหัวยิ่งกว่าเดิม

เจตนาแรกของนางคือหมายจะให้ฉินมู่และอวี้หรูอี้พบปะกัน ไม่ว่าพวกเขาจะเจรจาสันติภาพกันได้หรือจะต่อสู้กัน ก็ให้ไปทำนอกแดนของตระกูลหลิ่ว

นางเพียงแค่ต้องระวังป้องกันมิให้อวี้หรูอี้ลงมือสังหารเด็กหนุ่มเท่านั้น ส่วนฉินมู่ เจ้าเด็กโข่งผู้นี้ก็เพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ นางไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยสักนิด

นางไม่คิดเลยว่าแผนการอันเรียบง่ายเช่นนี้ จะต้องมีอันสะดุดติดขัด!

เพียงแค่อวี้หรูอี้ปรากฏตัวออกมา นางก็ถูกผ่าเป็นสองแล่งโดยฉินมู่ ไอ้วายร้ายนี่ และเขายังทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น นี่มันน่าชังแท้ๆ!

ผ่าอวี้หรูอี้เป็นสองเสี่ยงนี่ก็พอทำเนา แต่ประเด็นสำคัญคือมันเกิดขึ้นในหุบเขาฝังเทพยดา อันทำให้ตระกูลหลิ่วดูเหมือนจะเป็นผู้ทรยศ

หากว่าตำหนักสวรรค์แท้ตัดสินใจที่จะลงโทษพวกเขา ตระกูลหลิ่วจะแบกรับไหวหรือ

อย่างไรก็ดี ส่งไอ้วายร้ายนี่ไปยังตำหนักสวรรค์แท้ ก็คงจะพอช่วยให้พวกเรารอดพ้นโทษทัณฑ์ได้ หลิ่วหรูยินกะพริบตาปริบ พลางมองไปข้างหน้า แต่ทว่า ลูกแก้วมังกรเขียวอยู่ในมือขององค์หญิงน้อย ดังนั้นมิอาจตอแยนาง…

ในตอนนั้นเอง ก็มีกลิ่นหอมอันหอมหวนพัดมา และหญิงอื่นๆ จากตำหนักสวรรค์แท้ก็ลอยเข้ามา เมื่อพวกนางเห็นศพของอวี้หรูอี้บนพื้น พวกนางก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด และตะโกนไปด้วยเสียงอันเฉียบขาด “หลิ่วหรูยิน นี่มันอะไร”

หลิ่วหรูยินปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งกว่าเดิม “นี่เป็นการกระทำของจ้าวลัทธิฉินจากแผ่นดินภาคกลาง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิ่วของข้า…”

หนึ่งในหญิงพวกนั้นตะโกนใส่หน้านางอย่างดุดัน “ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิ่วของเจ้า? หลิ่วหรูยิน เจ้าพูดง่ายดายเหลือเกินนะ แต่ผู้ที่ตายนี้เป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักสวรรค์แท้ของข้า ตระกูลหลิ่วของเจ้า ลืมไปได้เลยที่จะซุกหัวหนีความรับผิดชอบ!”

หญิงอีกคนก้าวออกมาอย่างดุร้าย “ประมุขหลิ่ว หากว่าตระกูลหลิ่วของเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด ก็รีบจัดการไอ้เด็กแซ่ฉินและส่งมันไปให้ตำหนักสวรรค์แท้ เจ้าตำหนักสามารถเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนและไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากมากนัก มิเช่นนั้น ทั้งตระกูลหลิ่วก็อาจจะถูกทำลายล้างและลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์พร้อมกันทั้งหมด!”

ขณะที่หลิ่วหรูยินกัดฟันกรอดๆ เสียงของฉินมู่ก็ลอยมาถึงหูนาง มันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่สาวหรูยิน ไหนท่านว่ามีแต่อวี้หรูอี้ที่มาจากตำหนักสวรรค์แท้ไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่านางอยู่คนเดียวเสียอีก แล้วพี่สาวพวกนี้เป็นใครกัน”

หลิ่วหรูยินถลึงตาจ้องเขาหนักๆ จากนั้นยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน ข้าพูดแค่ว่ามีคนที่ชื่ออวี้หรูอี้มาจากตำหนักสวรรค์แท้เท่านั้น แต่ข้าไม่ได้พูดว่านางมาตามลำพัง ข้ายังบอกว่ามีศิษย์พี่หญิงจำนวนหนึ่งมาจากตำหนักสวรรค์แท้ด้วยนี่ มิใช่หรือ”

ฉินมู่พลันกระจ่างขึ้นมาและแย้มยิ้ม “ข้านั้นวู่วามเกินไป ข้าคิดว่าสังหารพี่สาวคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว”

หลิ่วหรูยินโกรธจนโลดเต้นและกล่าวอย่างเย็นเยียบ “จ้าวลัทธิฉิน บัดนี้เจ้าได้สังหารผู้อาวุโสแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และทำลายความความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิ่วของข้าและตำหนักสวรรค์แท้ มาสั่งสอนขนาบข้าเช่นนี้ ข้าควรทำอย่างไรล่ะ”

ฉินมู่ลุกขึ้นและแย้มยิ้มแก่นาง “พี่สาวหรูยิน ข้าเพิ่งมาจากตระกูลเหอ และพี่สาวอีอีก็กำลังวางแผนที่จะรวมกำลังตระกูลใหญ่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อหารือว่าจะล้มล้างเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ที่ขึ้นสู่อำนาจด้วยการก่อกบฏอย่างไร นางเอาแต่ก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้สวรรค์พิโรธและผู้คนเดือดดาล”

“เมื่อใดที่ตระกูลอวี้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ตระกูลหลิ่วของท่านก็เป็นเพียงอาหารที่ตั้งไว้บนโต๊ะ เพียงแค่อวี้หรูอี้และพี่สาวสามสี่คนนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลหลิ่วของท่านเชื่องหงอ ในเมื่อตระกูลอวี้สามารถฆ่าล้างโคตรตระกูลเสียงได้เหลือเพียงแค่แม่ลูกอยู่สองคน พวกท่านไม่กังวลเลยหรือไร”

หลิ่วหรูยินตื่นตระหนก คำพูดของฉินมู่มีเหตุมีผล ในเมื่ออวี้หรูอี้ตกตายในกลางแดนตระกูลหลิ่ว ตำหนักสวรรค์แท้ย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ เป็นแน่ ตระกูลหลิ่วจะต้องถูกพัวพันเข้าไปด้วยแน่นอน และต่อให้พวกเขาไม่ตกตาย พวกเขาก็ยังต้องบรรณาการสมบัติวิเศษมากมายให้แก่ตำหนักสวรรค์แท้เพื่อไถ่ถอนโทษ

และสมบัติวิเศษที่สุดของตระกูลหลิ่ว ก็คือร่างศพของพวกเขา

แต่ทว่า ฉินมู่ ไอ้วายร้ายนี่มีจิตคิดคด และจงใจลากเอาตระกูลหลิ่วไปกับเขาด้วยเพื่อต่อสู้กับตำหนักสวรรค์แท้ด้วยกัน

แต่กระนั้น เขาก็กล่าวว่าเหออีอีกำลังรวบรวมตระกูลใหญ่ทั้งหมดเพื่อปรึกษาหารือ และนี่ทำให้หลิ่วหรูยินหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง

ตระกูลอวี้ไม่มีจิตเมตตาต่อใคร และเมื่อจัดการตระกูลเสียงพวกเขาก็อำมหิตอย่างถึงที่สุด แทบจะสังหารไม่เหลือทั้งไก่และสุนัข

แม้ว่าตระกูลเสียงจะปักหลักยึดครองตำแหน่งเจ้าตำหนักอยู่เสมอ และทำให้ตระกูลอื่นอิจฉาริษยา แต่ก็นับว่ามีการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเป็นธรรม

แต่ทว่า ตระกูลอวี้นั้นแตกต่างออกไป ตระกูลเสียงมีประชากรเรือนล้านและครอบครองอิทธิพลอำนาจอย่างใหญ่หลวง แต่ตระกูลอวี้ถึงกับขจัดกวาดล้างพวกเขาทั้งหมดสิ้น เหลือก็แต่เสียงซีอวี่และธิดาของนางที่หนีออกไปจากแผ่นดินตะวันตก คนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกเข่นฆ่า

นั่นแค่คำว่าอำมหิตคงบรรยายไม่เพียงพอ

หากว่าพวกเราสามารถฉวยโอกาสนี้เพื่อล้มล้างตระกูลอวี้…

หลิ่วหรูยินมองไปที่ฉินมู่และลังเล ยอดฝีมือคนอื่นๆ ในตระกูลยังคงเดือดดาลอยู่ แต่ก็มีหลายคนที่ใคร่ครวญข้อเสนอของฉินมู่อย่างจริงจัง

เขาแย้มยิ้มและกล่าว “พี่สาวหรูยิน ตระกูลเสียงเหลือเพียงแค่แม่ม่ายและธิดากำพร้า แม้ว่าเสียงซีอวี่จะทวงคืนตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับมาได้ แต่พวกนางเพียงสองคนจะปกครองทั้งแผ่นดินตะวันตกได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าพวกนางก็ต้องยืมอิทธิพลอำนาจของตระกูลใหญ่ของพวกท่านหรอกหรือ”

“หากว่าตระกูลอวี้ยังคงเป็นประมุขแห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกท่านก็ย่อมไม่มีทางเข้าไปมีเอี่ยวกับผลประโยชน์พวกนี้ แต่ทว่า ในวันที่ตระกูลเสียงยึดตำแหน่งกลับมา ก็จะเป็นวันที่ตระกูลใหญ่ของพวกท่านทั้งหมด เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์แท้”

หลิ่วหรูยินตกลงใจได้และมองไปยังเด็กหญิงข้างๆ ฉินมู่ “แก้วตา เจ้ามีความเห็นอย่างไร”

เด็กหญิงน้อยผู้นั้นแย้มยิ้มและกล่าว “ในเมื่อท่านแม่ตกลงใจมั่นเหมาะแล้ว ทำไมต้องถามข้าด้วย ท่านแม่สามารถตัดสินใจได้เลย”

ฉินมู่มองไปที่เด็กหญิงน้อยอันดูอายุอานามพอๆ กับเสียงฉีเอ๋อ และแตกตื่นสะท้านขวัญ เขารีบดึงเสียงฉีเอ๋อเข้าไปในอ้อมแขนและขยับถอยห่างออกจากนาง

เด็กหญิงผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หลิ่วหรูยินมิได้ถามความคิดเห็นของผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งตระกูลหลิ่วหรือโลงศพอันเปล่งแสงเทวะออกมา แต่กลับไปถามความคิดเห็นของเด็กหญิงน้อย นี่แสดงว่าเด็กหญิงผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลอันกลอกกลิ้งร้ายกาจ ซึ่งอาจจะเป็นมันสมองของตระกูลหลิ่ว!

นางส่งยิ้มหวานให้แก่เขา “เดิมทีข้าก็ติดขัดลังเลอยู่ว่าจะกบฏต่อต้านตระกูลอวี้ดีหรือไม่ และจ้าวลัทธิก็ช่วยข้าได้มากในการตัดสินใจนี้”

ข้างๆ นั้น หลิ่วหรูยินมองไปยังพวกสตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และหัวเราะร่า “ศิษย์พี่หญิงทั้งหลายไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่พวกท่านตายไปแล้ว พวกเราก็จะปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาในร่างพวกท่าน ส่วนพวกท่านจะยังเป็นคนเดิมหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาหรือไม่ ข้าบอกพวกท่านได้เลยว่า มันจะไม่ใช่พวกท่านคนเดิมอย่างแน่นอน ทุกท่าน ช่วยส่งศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้พวกนี้ไปสู่สุคติ!”

สตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้สบถด่าและพยายามสู้กลับ แต่ต่อให้กำลังฝีมือของพวกนางจะไม่ธรรมดา ก็ยังยากที่พวกนางจะหลบหนีความตายในหุบเขาฝังเทพยดาไปได้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้พยายามที่จะคลายผนึกบนโลงศพเทพยดาทองคำ หมายที่จะใช้ซากศพในนั้นมาต่อสู้กับยอดฝีมือตระกูลหลิ่ว แต่ขณะที่นางเพิ่งปลดไปได้หนึ่งผนึก แสงเทวะก็พลันพวยพุ่งออกมาจากโลงหนึ่ง และหลั่งไหลเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของนาง จิตวิญญาณดั้งเดิมของนางพลันละลายหายไป และเหลือแต่ซากศพที่ล้มตึง

ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่

กำลังฝีมือของตระกูลหลิ่วนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน หากว่าไม่ใช่เพราะลูกแก้วมังกรเขียวของเสียงฉีเอ๋อ ก็คงยากที่จะสยบพวกเขา

และที่น่าสยองเข้ากระดูกไปกว่านั้นก็คือเด็กหญิงอันดูไร้พิษสงผู้นี้ หลิ่วหรูยินบอกให้นางอยู่เป็นเพื่อนเขานั้นดูคล้ายจะเป็นการพูดตามสถานการณ์ แต่จริงๆ แล้วเป็นแผนที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้า หากว่าเด็กหญิงน้อยพลันลงมือพิฆาต ฉินมู่และเสียงฉีเอ๋อคงตายโดยไร้ที่กลบฝัง

สาเหตุที่หลิ่วหรูยินสามารถนั่งบนเก้าอี้ประมุขได้ เด็กหญิงผู้นี้ก็คงมีส่วนไม่น้อย

ฉินมู่ไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกและถามด้วยรอยยิ้ม “แก้วตา เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ”

เด็กหญิงเงยศีรษะขึ้นมาและส่งยิ้มหวานให้เขา “จ้าวลัทธิฉิน นามของข้าคือหลิ่วเจินชิง”

“หลิ่วเจินชิง”

ฉินมู่ผงกหัว ยิ้มไร้เดียงสาของนางสามารถสูสีคู่คี่กับยิ้มใสซื่อของเขาได้ ทั้งคู่สามารถทำให้ผู้คนคลายการระวังป้องกัน และเขาจึงรู้ว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยถ้าจะไปตอแยนาง

เด็กหญิงน้อยแห่งแผ่นดินตะวันตกมิอาจดูแคลน

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง สตรีจากตำหนักสวรรค์แท้ก็ถูกยอดฝีมือตระกูลหลิ่วสังหารอย่างหมดจด และขณะที่ฉินมู่พาหลิ่วเจินชิงและเสียงฉีเอ๋อไปทางข้างๆ นั้น เขาก็เห็นผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วคนหนึ่งเอารากไม้ออกมาและแตะลงบนศพยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ ศพของพวกนางก็พลันลุกขึ้นยืน

มันน่าจะเป็นเวทมนตร์ของตระกูลหลิ่วที่ปลุกพรายวิญญาณขึ้นมา และมันเป็นสาขาหนึ่งของวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติที่ฉินมู่ก็ได้ฝึกปรือ แต่การที่ได้เห็นพรายวิญญาณถูกปลุกขึ้นมาในศพ ก็ยังน่าแตกตื่นสะท้านขวัญอยู่ดี

“จ้าวลัทธิฉิน พรายวิญญาณที่ฟื้นขึ้นมาในศพ มิใช่ดวงวิญญาณเดิมของเจ้าของร่าง” หลิ่วเจิงชิงมองไปยังหลิ่วหรูยินที่อยู่ห่างออกไปและกระซิบ “นางมิใช่หลิ่วหรูยิน และข้าก็มิใช่ทาริกาของนาง”

ฉินมู่ตะลึงและฉงน “แต่เจ้าก็ยังเรียกนางว่าแม่และนางก็เรียกเจ้าว่าแก้วตา”

“ตระกูลหลิ่วไม่มีความสัมพันธ์ของครอบครัวและไม่มีการสืบทอดสายเลือด โลหิตของพวกเราเย็นเฉียบ” หลิ่วเจินชิงกล่าวด้วยสีหน้าหมอง “เมื่อข้าเรียกนางว่าท่านแม่ ข้ารู้สึกอุ่นขึ้นมานิดๆ ในร่างศพของข้า ราวกับว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ นางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน”

ฉินมู่มองไปยังหลิ่วหรูยินที่เดินตรงมาทางพวกเขาด้วยรอยยิ้ม พรายวิญญาณที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากซากศพอาจจะมีเลือดในกายเย็นเยียบ แต่พวกเขามีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ช่างเป็นสิ่งที่ผิดไปสุดขั้วกับผู้คนที่อาจจะมีเลือดอุ่นๆ ในร่าง แต่ไม่มีเยื่อใยความเป็นมนุษย์เลยสักนิด

“จ้าวลัทธิฉิน ท่านพอใจหรือยัง” หลิ่วหรูยินมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ แล้วโค้งจนแทบหัวจรดพื้น “พี่สาวหรูยิน ยกโทษให้ข้าด้วย แต่ท่านเองก็วางแผนใส่ข้าเหมือนกันมิใช่หรือ ที่ปล่อยเจินชิงไว้ข้างๆ ข้า”

หลิ่วหรูยินโค้งคารวะตอบและถอนหายใจ “กระนั้นข้าก็ยังไม่เด็ดขาดดุดันเท่ากับเจ้า”

“ข้าไม่มีทางเลือก มิเช่นนั้นข้าคงมิอาจร่วมพันธมิตรกับพี่สาวได้” ฉินมู่มองสำรวจโลงศพเทพยดาและถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ในโลงศพเทพนั้นมีใครอยู่หรือ ทำไมเขาถึงถูกผนึกเอาไว้ ข้าเห็นแสงเทวะพุ่งออกมาจากโลงศพจำนวนหนึ่ง หรือพวกเขาก็เป็นเทพและมารเช่นเดียวกัน”

หลิ่วหรูหยินส่ายหัว “ผู้อาวุโสที่ตายลงไป และถูกปลุกวิญญาณขึ้นมาใหม่เป็นสิบๆ หน ก็ได้ขัดเกลาร่างเนื้อของพวกเขาจนเป็นร่างเทวะ แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็แตกต่างจากเทพเจ้าในโลงศพทองคำนี้ ศพเทพยดาในนั้นคือเทพเที่ยงแท้”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ และอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองดูอีกหลายรอบ

หลิ่วเจินชิงพลันกระแอมไอ และหลิ่วหรูยินก็เข้าใจความนัย นางกล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว เช่นนั้นทำไมจ้าวลัทธิฉินไม่ค้างที่นี่สักคืนก่อนล่ะ แล้วค่อยเร่งรุดเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ จ้าวลัทธิฉินสามารถพักอยู่ที่นี่ได้ในค่ำคืนนี้ โลงศพของข้า…จะเปิดฝาแง้มเอาไว้เล็กน้อย”

ฉินมู่ขนหัวลุก และหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง เขารีบกล่าวอย่างขึงขังทันที “ข้าได้สัญญากับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่เอาไว้ว่าจะไปพบนาง และข้าก็ถ่วงเวลาเนิ่นช้ามาเกือบปีแล้ว เวลากำลังไหลไปทุกขณะ ดังนั้นฉีเอ๋อและข้าจึงต้องรีบรุดไปตามทาง! ลาก่อน! ไม่ต้องไปส่งข้า!” หลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็ดึงมือเล็กๆ ของเสียงฉีเอ๋อ และเรียกกิเลนมังกรมา พวกเขาหนีไปจากหุบเขาฝังเทพยดาฝ่าความมืดข้างนอก

ฉินมู่ฟาดตูดกิเลนมังกรอย่างแรง และพวกเขาก็หนีไปด้วยความแตกตื่น

หลิ่วหรูยินพาธิดาของนางไปดูพวกเขาที่หนีหายไปในทิศไกลๆ และพวกนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขุ่นเคือง

“ทำไมหาท่านพ่อมนุษย์ตัวอุ่นๆ นี่ช่างยากเย็นเหลือเกิน…” หลิ่วเจินชิงกล่าวอย่างท้อแท้

“ไม่ต้องห่วง แม่จะหาพ่อดีๆ ให้เจ้าเอง” หลิ่วหรูยินปลอบใจนาง

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท