ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 450 เมืองลอยฟ้าบนแผ่นดิน

ตอนที่ 450 เมืองลอยฟ้าบนแผ่นดิน

กิเลนมังกรเหยียบเมฆอัคคีมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ สำนักมณฑลสวรรค์อยู่ตรงหน้าพวกเขา และภูเขาสองลูกข้างหน้าก็ราวกับประตูภูเขา ข้างบนนั้นมีราชวังทุกรูปแบบปลูกสร้างเอาไว้

เยว่ชิงซานกำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักมณฑลสวรรค์ แต่ทันใดเขาก็สังหรณ์บางอย่างและหันกลับไปเห็นกิเลนมังกรแบกฉินมู่มาบนหลัง

เยว่ชิงซานกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบหยุดทันที เขาเร็วเกินไปแล้ว! หากว่าข้ากลับไปที่สำนักและฟ้องเรื่องของเขา เขาอาจจะสังหารข้าเสียที่นี่!

กิเลนมังกรหยุดวิ่งและฉินมู่ก็ทักทายเขา เยว่ชิงซานคารวะทักทายกลับ

“ไฉนพี่เยว่ไม่อยู่ร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ แต่กลับมาที่สำนักมณฑลสวรรค์ล่ะ” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร

เยว่ชิงซานคลี่ยิ้มแก่เขาทันที “ข้านั้นหน้าตาน่าเกลียด และคงยากที่จะทำให้สาวงามพอใจได้ ดังนั้นเข้าร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ไปก็ไม่มีประโยชน์”

รอยยิ้มของฉินมู่ยิ่งอบอุ่นขึ้น “พี่เยว่จะหน้าตาน่าเกลียดได้อย่างไร ท่านหล่อเหลามีความสามารถและจะต้องเอาชนะใจสาวงามได้อย่างแน่นอน ท่านกลับไปร่วมงานเทศกาลภูเขาดอกไม้จะดีที่สุด”

เยว่ชิงซานขนหัวลุกเต็มเหยียด ครั้งสุดท้ายที่ฉินมู่พูดอะไรทำนองนี้ก็เมื่อเขาร่ายรำกระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต และสังหารสี่ยอดฝีมือตายคาที่!

บัดนี้เมื่อเขาทวนวลีคล้ายเดิม หากว่าเยว่ชิงซานไม่รู้จักโอนอ่อนและยืนกรานที่จะกลับไปยังภูเขา ที่รอเขาอยู่ก็คงเป็นกระบี่คร่าชีวิต!

“ขอบคุณจ้าวลัทธิฉินสำหรับคำอวยพร”

เยว่ชิงซานกล่าวขอบคุณแล้วหันกายมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหอมเบ่งบาน

ฉินมู่ใช้สายตาส่งเขาไป ก่อนให้กิเลนมังกรเร่งรุดไปตามทาง อ้อมสำนักมณฑลสวรรค์ไป

เยว่ชิงซานเห็นเมืองหอมเบ่งบานอยู่ไกลๆ และหันหลังกลับไปมอง คิดในใจ ตำหนักสวรรค์แท้ได้ประกาศจับเขา ดังนั้นหากว่าสำนักของข้าสามารถสยบเขาเอาไว้ได้ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักข้ากับตำหนักสวรรค์แท้แน่นแฟ้นขึ้น ตำแหน่งของข้าในสำนักก็จะสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

เขากะจะวกกลับไปอีกครั้ง แต่พลันมองเห็นภูเขาใหญ่มหึมาที่เป็นรูปทรงยักษ์อยู่ท่ามกลางที่ราบรกร้าง มันทำให้เขาตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นถนนอันพังพินาศและการทำลายล้างที่หลงเหลือจากคลื่นเสียง

ยอดฝีมือมากมายจากตระกูลอวี้เหาะมายังแขนขาของยายทวดแห่งตระกูลอวี้พลางร่ำไห้โฮๆ

ยายทวดแห่งตระกูลอวี้ก็ตายเหมือนกันหรือ

เยว่ชิงซานอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เดินตรงไปยังเมืองหอมเบ่งบาน ขนาดยายทวดแห่งตระกูลอวี้ใช้ภูเขามหึมาก็ยังหยุดเขาไม่ได้เลย เช่นนั้นย่อมยากที่สำนักมณฑลสวรรค์ของข้าจะจับตัวเขา หลบเลี่ยงเรื่องร้ายเกินจำเป็น แล้วพบกับสาวงามมากมายจะดีกว่า

“เมืองต้นไผ่อยู่ข้างหน้า”

สองวันถัดมา ฉินมู่ยืนอยู่บนหัวกิเลนมังกร พร้อมด้วยแผนที่ภูมิประเทศแห่งแผ่นดินตะวันตกอยู่ในมือ เขาตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและเทียบมันกับปรากฏการณ์บนฟากฟ้า จากนั้นก็กล่าวอย่างดีใจ “หลังจากที่ไปถึงเมืองต้นไผ่แล้ว พวกเราก็อยู่ไม่ไกลจากตำหนักสวรรค์แท้ล่ะ มังกรอ้วน ล่าสุดนี้เจ้าขยันหมั่นเพียรสุดๆ วิ่งได้อย่างเร็วจี๋เลยคราวนี้”

สองวันที่ผ่านมา กิเลนมังกรไม่ขี้คร้านและทำงานอย่างขยันขันแข็ง ด้วยกำลังขาของเขา เดินทางไปกว่าสองหมื่นลี้ต่อวัน พวกเขาก็จะใช้เวลาเพียงครึ่งวันเป็นอย่างมากก็จะไปถึงตำหนักสวรรค์แท้

ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับเรื่องตอแยจำนวนไม่น้อย ด้วยประกาศจับจากตำหนักสวรรค์แท้ ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่เสาะหาร่องรอยของเขา และก็ทำให้มีการต่อสู้อันดุเดือดหลายครั้งทีเดียว

แต่ทว่า การต่อสู้อันร้ายกาจคับขันเหมือนกับยักษ์ภูเขาตระกูลอวี้แกว่งระฆังนั้นมิได้เกิดขึ้นซ้ำอีก พลังโจมตีของยักษ์แกว่งระฆังนั้นน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป และผู้ที่ครอบครองสมบัติวิเศษระดับนี้ก็ย่อมเป็นตระกูลใหญ่มากอิทธิพล เวลาที่ใช้ในการจัดเตรียมอาวุธประเภทนี้ก็ยาวนานเกินไปนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปลุกจิตวิญญาณของยักษ์ภูเขาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หรือไม่ก็ใช้สิ่งที่ถูกปิดผนึกเอาไว้

ความเร็วของกิเลนมังกรนั้นไวอย่างยิ่งยวด ดังนั้นหากว่าไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังไปที่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตระเตรียมการสกัดขัดขวางเอาไว้ล่วงหน้า

ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ได้ประสบพบพานความพิสดารของมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก นอกจากใช้ภูเขาและแม่น้ำเป็นอาวุธแล้ว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกยังเลี้ยงสัตว์ประหลาดอีกด้วย

พวกเขาจะมอบความรู้คิดและปลุกจิตวิญญาณแก่สัตว์พิสดาร โดยนำมาเลี้ยงตั้งแต่พวกมันยังเล็กๆ พวกเขาจะทำให้พวกมันจงรักภักดีอย่างสุดขั้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์พิสดารก็ยังเป็นอาวุธวิญญาณของพวกเขาด้วย พวกเขาสามารถใช้มันต่างอาวุธ เมื่อเทียบกับพรายวิญญาณภูเขา และพรายวิญญาณดิน สัตว์ประหลาดพวกนี้ทั้งคล่องแคล่วและใช้สอยได้หลากหลายกว่า

มรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกที่ทุกสิ่งมีดวงจิตนั้น นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง

กิเลนมังกรตะบึงไป และพวกเขาเข้าใกล้เมืองไม้ไผ่มากขึ้นทุกที ข้างหน้ามันส่วนมากจะเป็นพื้นที่ภูเขา และพวกเขาก็จะพบเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะที่พุ่งวาบผ่านฟ้ามาเป็นระยะ ส่วนใหญ่แล้วก็จะนั่งสัตว์ปีกพิสดารบินมา

ฉินมู่เลิกคิ้วไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะแผ่นดินตะวันตกมากมายเหล่านั้นที่เฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของเขา

พวกเราถูกลอบติดตามอีกแล้ว ดูเหมือนว่าคงจะเข้าเมืองต้นไผ่ไม่ได้หรอก จะต้องมีกับดักวางรอข้าที่นั่นแน่นอน! พวกเราคงต้องไปตามเส้นทางป่าเขาแทน

สำนึกรู้ของฉินมู่ส่งคลื่นกระเพื่อมเมื่อเขาใช้วิธีการสื่อสารของขนนกสวรรค์เพื่อบอกเตือนกิเลนมังกร จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกอันอัดแน่นเต็มเข้าไปในอก

เขาเป่าอากาศทั้งหมดออกไป และในชั่วพริบตา หมอกก็แผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ครอบคลุมท้องฟ้าในรัศมีกว่าสิบลี้

กิเลนมังกรรีบมุดลงไปในป่าข้างล่างทันที ผู้ฝึกวิชาเทวะพวกนั้นพุ่งเข้าไปในหมอกเพื่อค้นหา แต่เมื่อหมอกกระจัดกระจายไปแล้ว ฉินมู่และคณะก็หายตัวไป

“นายน้อยมาที่นี่!” ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งประกาศด้วยความกระวนกระวาย

รถสมบัติแล่นมา โดยมีหงส์เพลิงเทียมรถลาก ในรถนั้นมีเด็กหนุ่มที่ดูเตี้ยแต่ไม่อ้วน ข้างๆ เขานั้นมีหญิงสาวมากมายห้อมล้อมติดตาม

ที่น่าแปลกก็คือ ในแผ่นดินตะวันตก สตรีมีสถานะทางสังคมสูงกว่าชัดๆ แต่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ หญิงสาวแห่งตำหนักเหนือฟ้าได้แต่พินอบพิเทา และไม่กล้าโอหัง

ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายกล่าวทักทายเขา “นายน้อยอวี้!”

นายน้อยอวี้สำรวจบริเวณรอบๆ และแย้มยิ้ม “เขายังหนีไปได้อีกหรือ ไม่แปลกหรอก เมื่อครั้งนั้นข้าพาทุกคนไปไล่ล่าไหน่ขุย เขาก็มาขัดขวางและทำให้ไหน่ขุยหนีไปได้ นั่นคือในแดนโบราณวินาศและมิใช่แผ่นดินตะวันตก ดังนั้นข้าจึงมิอาจบุ่มบ่ามมากเกินไป แต่บัดนี้พวกเราอยู่ในแผ่นดินของข้า มันจะอ่อนหัดไปหน่อยหรือไม่ถ้าเขาคิดว่าจะหนีพ้นจากเงื้อมมือข้าไปได้”

เด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากอวี้ป๋อชวนผู้ซึ่งได้ไล่ล่าเสียงซีอวี่และบุตรสาวของนาง เขานั้นเป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และแม้ว่าเขาจะเยาว์วัย แต่วิธีการของเขานั้นอำมหิต ทั้งยังกลอกกลิ้งในหลายๆ แง่

เสียงซีอวี่เคยเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้มาจนกระทั่งนางถูกล้มล้างโดยตระกูลอวี้ วรยุทธของอวี้ป๋อชวนไม่นับว่าวิเศษวิโส แต่เขาก็ยังสามารถนำคณะไล่ล่านาง ผู้ซึ่งเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ และเกือบจะต้อนนางไปสู่ความตายหลังจากที่สังหารยอดฝีมือข้างกายนางไปทีละคนๆ นี่แสดงให้เห็นความสามารถของอวี้ป๋อชวน

แผนการของเขาลึกล้ำและเหนือธรรมดา

อวี้ป๋อชวนพยักหน้า และหญิงสาวนางหนึ่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ก็เหาะขึ้นไปและขับเคลื่อนทักษะเทวะของนาง ทันใดนั้นเมฆขาวบนท้องฟ้าก็สั่นระริกบิดไปมา และแปรเปลี่ยนเป็นรูปลูกศรที่ชี้ลงมายังเบื้องล่าง

รถนี้ขับไปยังป่าข้างใต้ และหญิงสาวอีกคนก็กระทืบเท้า หินมากมายกลิ้งเข้ามารวมตัวเข้าด้วยกันและก่อขึ้นมาเป็นยักษ์หินอันชี้ไปยังทิศทางที่ฉินมู่หนีไปพลางกล่าว “คนที่ขี่สัตว์เถื่อนตัวยักษ์วิ่งไปทางนั้น”

หญิงนี้สลายทักษะเทวะของนาง และยักษ์หินก็พังทลายลงกลายเป็นกองหิน

นกหงส์เพลิงลากรถไปข้างหน้า ขณะที่อวี้ป๋อชวนนั่งในนั้นด้วยรอยยิ้ม “ในแผ่นดินตะวันตก ไม่มีใครหลบหนีพ้นการสะกดรอยของตำหนักสวรรค์แท้พวกเราได้ ไหน่ขุยคนก่อนไม่สามารถ และจ้าวลัทธิฉินนี้ก็ยิ่งทำไม่ได้”

“นายน้อย ในคราวนี้นั้นเป็นผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองที่มาบอกข่าวแก่พวกเรา ร้องขอให้ผู้อาวุโสปี้ออกประกาศจับจ้าวลัทธิฉิน”

หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ผู้นั้นแย้มยิ้มอย่างยั่วยวน “ผู้อาวุโสปี้และผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองมีสายสัมพันธ์เก่า ดังนั้นการประกาศจับจึงเกิดขึ้น ผู้สูงศักดิ์นั้นยืมอิทธิพลอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้พวกเราเพื่อกำจัดศัตรูร้ายกาจ ดังนั้นเขาก็จะติดค้างบุญคุณต่อจำหนักสวรรค์แท้พวกเรา แต่ทำไมนายน้อยถึงออกหน้ามาช่วยเขาด้วยตนเองเล่า”

อวี้ป๋อชวนแย้มยิ้ม “ข้ามิได้ช่วยผู้สูงศักดิ์ ในทางกลับกัน ข้ามาเพราะจ้าวลัทธิฉิน คราวก่อนนั้นข้าเพลี่ยงพล้ำในน้ำมือของเขาและปล่อยให้เขาแย่งชิงลูกแก้วมังกรเขียวไป อันเป็นสมบัติล้ำค่า ในเมื่อเขากล้าบุกเข้ามาในแผ่นดินตะวันตกพวกเราอีกครั้ง ข้าก็ย่อมต้องมาสั่งสอนเขา”

“อีกอย่าง การมายังแผ่นดินตะวันตกในคราวนี้ เขาต้องมีจิตเจตนาร้ายเป็นแน่ ข้าสงสัยว่าเป้าหมายของเขามิใช่การท่องเที่ยวไปทั่วเท่านั้น ในเมื่อเขาได้ช่วยชีวิตไหน่ขุยคนก่อนและองค์หญิงน้อย ข้าเกรงว่าเขากำลังพยายามช่วยเหลือนางแย่งชิงตำแหน่งองค์หญิงกลับมาอีกครั้ง มีเขาอยู่แถวๆ นี้ ไหน่ขุยย่อมอยู่ไม่ไกล!”

สายตาของเขากลายเป็นเย็นเยียบและกล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์ “แม้ว่าท่านแม่ของข้าจะกลายเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ แต่ตราบใดที่นางยังมิได้ให้กำเนิดองค์หญิงน้อย ตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางก็จะไม่มีวันมั่นคง เป้าหมายในการหวนคืนมาของไหน่ขุยนั้นมิใช่อะไรที่เกินความคาดหมาย แต่ทว่า จ้าวลัทธิฉินผู้นี้และไหน่ขุยคนก่อนจะไม่มีวันคาดเดาได้ว่าอิทธิพลอำนาจของข้านั้นสูงล้ำเพียงไหน!”

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ฉินมู่จากไป พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เขาหน่อยปะไร!”

กิเลนมังกรวิ่งตะบึงไประหว่างภูเขาสลับซับซ้อน ราวกับว่าเขากำลังเหินบินผ่านสันเขาต่างๆ มากมาย ความเร็วของเขาตกลงไปจากก่อนหน้า แต่ก็ยังนับว่าว่องไว ฉินมู่สำรวจบริเวณโดยรอบและขมวดคิ้วเล็กน้อย ภูมิประเทศแถบนี้แตกต่างออกไปจากภูมิประเทศในแผ่นที่ที่เกอเคอให้เขามา

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก ชอบมาสู้กันด้วยภูเขา ดังนั้นข้าสงสัยว่าพวกเขาคงไม่เอามันวางไว้คืนที่เดิมหลังจากต่อสู้ ใช้ภูมิประเทศเพื่อระบุตำแหน่งแห่งที่ของข้ามิใช่สิ่งที่เชื่อได้แน่นอน ข้ายังคงต้องดูแผนที่หมู่ดาวบนฟากฟ้า

เขาเงยศีรษะขึ้นไป และรอยพยุหะก็หมุนวนในดวงตา เขามองไปยังท้องฟ้า และหมู่ดาวกับจักรราศีอันถูกกลบไปจากแสงตะวันก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เขาระบุตำแหน่งแห่งที่ของเขาก่อนจะระบายลมหายใจโล่งอก “พวกเราผ่านเมืองต้นไผ่มาแล้ว”

ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เสียงครั่นครื้นก็ดังมาจากข้างหน้าทำให้เขานิ่วหน้าเล็กน้อย เขาเงยศีรษะขึ้นมองและเห็นฝุ่นคลีลอยคลุ้มฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นหมอกที่คลี่คลุมเทือกเขา เขามิอาจมองเห็นได้ว่าเกิดเหตุการณ์สะท้านโลกอะไรขึ้นข้างหน้าที่ทำให้เกิดภาพนี้

กิเลนมังกรก็รีบยั้งเท้า และมองไปข้างหน้าอย่างระสับกระส่าย ฝุ่นละอองยิ่งมาก็ยิ่งหนาแน่น เมื่อมันกลิ้งเข้ามา กลืนกินป่าไม้และขุนเขา

“จ้าวลัทธิ นั่นมันอะไรน่ะ” กิเลนมังกรร้องอย่างแตกตื่น

แผ่นดินสะเทือนสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง และต้นไม้รอบๆ พวกเขาก็สั่นสะท้านไปหมด ก้อนหินกระดอนขึ้นลงบนพื้นราวกับว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ทว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์ชาดและมองไปที่ผงคลีอันโถมซัดเข้ามา และดวงตาเขาก็เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เห็น “ในฝุ่นพวกนั้นมีเมืองอยู่…”

“เมือง?” กิเลนมังกรถามด้วยความฉงน “เมืองเมืองหนึ่งจะสร้างความอึกทึกขนาดนี้ได้อย่างไร”

“เพราะว่าเมืองนี้กำลังวิ่งมาท่ามกลางป่า!” ฉินมู่กระหม่อมแทบระเบิดจากความประหลาดใจ และเขากล่าวด้วยเสียงเข้ม “เมืองนั้นกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเรา! มังกรอ้วน ไปกันเถอะ!”

ฝุ่นผงโถมซัดมา และเมืองอันยิ่งใหญ่ตระการก็ปรากฏต่อสายตาของพวกเขา มันวิ่งมาใส่เป็นเส้นตรง

ข้างใต้กำแพงเมืองอันสูงกว่าสิบวานั้นก็มีขาใหญ่มหึมา ข้างหลังกำแพง บ้านเรือนหลังโตก็ได้กลายเป็นยักษ์ที่คละคลุ้งไปด้วยจิตสังหาร บางพวกก็ตีกลองศึก และบางพวกก็แบกถือสมบัติชิ้นใหญ่ ในเวลาเดียวกันนั้น ประตูเมืองก็เปิดอ้าออก เผยให้เห็นฟันอันฝมกริบราวมีดโกนที่งอกเงยออกมาจากข้างใน เช่นเดียวกับกำแพงเมือง พวกมันอ้าและหุบอย่างต่อเนื่อง และทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในนั้นก็จะถูกกัดเคี้ยวจนแหลกละเอียด แม้กระทั่งยอดเขา!

เมืองนี้วิ่งตะบึงเข้าใส่พวกเขา และบนประตูเมือง เขียนไว้สองคำ เมืองต้นไผ่

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก ถึงกับปลุกจิตวิญญาณให้กับเมืองทั้งเมือง!

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน