บทที่ 370 แกมันเป็นขยะจริงๆ
หลงเซี่ยวเทียนกับหลงเสี้ยวตี้นำหน้า หลงอี้เซวียนคล้องแขนพยุงอานหน้า หลงหลิงพยุงซ่งชือยุ่น สุดท้ายปิดท้ายด้วยหลงจื้อเฟิง เดินตามกันออกจากห้องโถง
ทันทีที่เขาเดินออกจากประตูห้องโถง เมื่อเห็นฉากตรงหน้าตาของคนเชื้อสายหลักก็เบิกกว้าง
ด้านหน้าของพวกเขามีทหารในชุดลายพรางยืนอยู่เป็นแถบๆซึ่งดูอลังการมากๆ
โชคดีที่หลงเซี่ยวเทียนเคยผ่านโลกมาก่อนจึงมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยไม่นานก็กลับเป็นปกติ
เขาเห็นอาโน่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย พออาโน่เห็นหลงเซี่ยวเทียนก็เดินขึ้นมาหา
“ผู้นำตระกูล ท่านเจอความเดือดร้อน” อาโน่มีสีหน้าเคารพ
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เองฉันยังทนได้”
หลงเซี่ยวเทียนยิ้มอย่างใจกว้าง จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับไป๋หลางว่า “ติดต่อโม่อวี่ได้ไหม? ฉันมีบางอย่างจะพูดกับเขา”
หลงเซี่ยวเทียนพูดได้เท่านี้ก็มีสีหน้าหม่นลง เหล่าคนเชื้อสายหลักคนอื่นๆก็มีท่าทีเสียใจ
ไป๋หลางถอดชุดหูฟังออกทันทีแล้วส่งให้หลงเซี่ยวเทียน หลงเซี่ยวเทียนรับแล้วเอามาคล้องหูแล้วพูดว่า “โม่อวี่ พ่อเอง”
ลี่โม่อวี่กับอ้ายหลุนที่เฝ้าประตูหลังจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่เห็นเงาใคร พอลี่โม่อวี่ได้ยินเสียงหลงเซี่ยวเทียนดังมาจากหูฟังจึงรีบตอบว่า “พ่อครับ ผมโม่อวี่ พ่อออกมาได้ก็ดีแล้วครับ”
เขาไม่คิดว่าไป๋หลางและคนอื่นๆจะจัดการกันได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ พวกเขาสามารถช่วยคนเชื้อสายหลักที่โดนขังในห้องโถงได้ในเวลาสั้นๆ
“โม่อวี่ พ่อมีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอก” เสียงของหลงเซี่ยวเทียนดูเคร่งขรึม แต่ก็ดูซับซ้อนจนใจ
ลี่โม่อวี่สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของหลงเซี่ยวเทียน เขาจึงพูดอย่างใจเย็นว่า “พ่อครับ บอกผมมาเถอะ ผมฟังอยู่”
ลี่โม่อวี่เดาว่าต้องเป็นเรื่องของหลงหมิงเจ๋อกับฉินอีหลินแน่ๆ
“จากการสังเกตในช่วงหลายวันที่ผ่านมา พ่อรู้สึกว่ามีเบื้องหลังการร่วมมือของหลงเจี้ยนกับมู่ชุนยังมีคนอื่นซ่อนอยู่ หมิงเจ๋อน่าจะถูกพวกเขาเอาตัวไป” หลงเซี่ยวเทียนพูดถึงเท่านี้ก็ดูเสียใจกว่าเดิม
หลังจากลี่โม่อวี่ได้ฟังก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาก ตอนนี้เขาต้องการแค่จับมู่ชุนมาถามตัวตนของอีกฝ่าย ยังไงซะซือเซี่ยก็สืบหาตัวตนของอีกฝ่ายไม่เจอ
“พ่อครับอีหลินก็ถูกพวกมันเอาไปเหมือนกัน องค์กรนั้นเป็นองค์กรวิจัยทางชีววิทยาโดยเกิดจากการร่วมมือกันของตระกูลเก่าหลายตระกูล แล้วผมยังสืบเจอว่าหัวหน้าของอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการทหารมาก”
ลี่โม่อวี่บอกสิ่งที่ตนรู้ว่าให้หลงเซี่ยวเทียนรู้ เขาคิดว่าหากพึ่งความเข้าใจของหลงเซี่ยวเทียนจะสามารถเดาที่มาของอีกฝ่ายได้แน่นอน
ทางฝั่งหลงเซี่ยวเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าเดาไม่ผิด จะต้องมีเกี่ยวข้องกับคนในตอนนั้นแน่ๆ นายต้องจับมู่ชุน เราจะรู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้จากปากเขาเท่านั้นถึงจะสามารถช่วยอีหลินกับหมิงเจ๋อได้”
ลี่โม่อวี่ตอบรับแล้ววางสาย
เขาเห็นรถคันสีดำไม่คุ้นตาคันหนึ่งขับออกมาจากประตูหลังบ้านของบ้านตระกูลหลง
ขณะที่ลี่โม่อวี่เห็นนั้น อ้ายหลุนที่นั่งตำแหน่งคนขับก็สตาร์ตรถคันสีแดงแล้ว
เฟอร์รารีวิ่งออกไปพร้อมกับเสียง “บรืน” มอเตอร์ส่งเสียงคำรามแล้วรถสีแดงก็พุ่งตามรถสีดำ
รถเก๋งถูกเฟอร์รารีจอดปาดหน้ากะทันหันก็รีบหยุด
ลี่โม่อวี่กับอ้ายหลุนลงจากรถ พบว่าในรถคันนั้นคือครอบครัวของหลงเจี้ยนทั้งสามคนที่กำลังจะหลบหนี ในตอนนี้หลงเจี้ยนถือปืนพกไว้แน่น เขาพยายามสงบสติอารมณ์ หวงจิ้งฝูกับหลงว่านชิงที่นั่งเบาะหลังต่างมีสีหน้าหวาดกลัว โดยเฉพาะหลงว่านชิงที่ตอนนี้สีหน้าซีดเผือด
ลี่โม่อวี่ส่งสัญญาณให้อ้ายหลุน จากนั้นทั้งสองก็แยกจากกันไปทางซ้ายขวา เม็ดเหงื่อผุดบนหน้าผากของหลงเจี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทางฝั่งลี่โม่อวี่อยู่ใกล้หลงเจี้ยนมากกว่า พอเขาไปถึงที่หน้ากระจกรถ เขาก็เอื้อมมือไปเคาะประตูรถให้อีกฝ่ายเปิดประตู แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเจี้ยนจะยื่นมือที่ถือปืนออกมาทันทีแล้วเหนี่ยวไกมาทางลี่โม่อวี่
ราวกับรู้ว่าหลงเจี้ยนคิดจะทำอะไร ขณะที่หลงเจี้ยนยิงออกไปนั้นก็พบว่าร่างตรงหน้าหายไปแล้ว
แต่ทว่ากระสุนได้ทุบกระจกรถแตกทำให้เศษกระจกกระเด็นโดนเข้าที่ใบหน้าของหลงเจี้ยนที่ไม่ทันระวัง ความเจ็บปวดไหลทะลักเข้ามาในใจ หลงเจี้ยนกุมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเศษกระจกพลางกรีดร้อง
ร่างของลี่โม่อวี่ถึงค่อยๆปรากฏขึ้น ที่จริงเขากับอ้ายหลุนรู้อยู่แล้วว่าหลงเจี้ยนมีปืนในมือ จุดประสงค์ที่ทั้งคู่แยกเดินเพื่อให้อ้ายหลุนเห็นตำแหน่งปืนเพื่อที่จะได้เตือนลี่โม่อวี่ได้ แต่ในสายตาคนอื่นๆจะเห็นว่าลี่โม่อวี่หลบกระสุนทัน
หลงเจี้ยนโยนปืนในมือทิ้งเพราะความเจ็บปวด ลี่โม่อวี่ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีกับเขา เขากลัวว่าคนอื่นที่กำลังหนีจะได้ยิน ลี่โม่อวี่จึงใช้ท่าสับมีดกระแทกหลงเจี้ยนจนสลบไป
หลังจากจัดการหลงเจี้ยนแล้ว ลี่โม่อวี่ก็มองหลงว่านชิงที่อยู่เบาะหลัง สายตาเย็นชามองหลงว่านชิงผ่านกระจกรถ หลงว่านชิงตัวสั่นราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง
ลี่โม่อวี่เปิดประตูรถอย่างป่าเถื่อนโดยไม่สนใจว่าหวงจิ้งฝูก็อยู่ในรถด้วย เขาดึงหลงว่านชิงออกมาจากรถแล้วโยนทิ้งลงที่พื้น
“เธอมันสมควรตาย” ลี่โม่อวี่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่าคำห้าพยางค์นี้ หลงว่านชิงได้ยินเช่นนั้นขาทั้งสองข้างก็อ่อนจนลงไปนั่งบนพื้น
ความจริงตั้งแต่ที่หลงจิ่นเซวียนถูกเธอผลักลงไปชั้นล่าง ลี่โม่อวี่ก็ได้ตัดสินโทษประหารชีวิตให้เธอในใจ แม้เธอจะเป็นผู้หญิงก็ตาม หลงว่านชิงไม่ได้มีท่าทีลำพองใจเหมือนในวันวาน
เธอที่อับจนหนทางฉีกเสื้อออกเผยให้เห็นเนินอกสีขาว
“ถ้านายปล่อยฉันไป ฉันจะให้นายทุกอย่างเลย ร่างกายของฉันก็จะเป็นของนาย” หลงว่านชิงเหมือนเป็นขอทานที่อับจนหนทาง
ลี่โม่อวี่มองหลงว่านชิงอย่างขยะแขยง ลี่โม่อวี่ที่เดิมทีจะขู่ให้เธอตกใจไม่สนใจสีหน้าที่ซีดเผือดของอีกฝ่ายแล้วชกเธอจนสลบไป
อีกด้านหนึ่งอ้ายหลุนก็ตีหวงจิ้งฝูจนสลบเช่นกัน ลี่โม่อวี่ไม่อยากลงมือคนเชื้อสายรองของตระกูลหลง เขาอยากให้หลงเซี่ยวเทียนจัดการด้วยตัวเอง เพราะหลงเซี่ยวเทียนเป็นผู้นำตระกูลหลง
ลี่โม่อวี่กับอ้ายหลุนโยนทั้งสามคนเข้าไปในรถคันเล็กที่พังเข้าไปใหม่แล้วเอารถคันเล็กที่พังไปซ่อนที่ที่ลับตาคนไว้
เพราะทั้งสองเห็นรถคันหนึ่งขับออกมาจากประตูใหญ่อีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กระจอก ด้านหน้าขับนำด้วยรถออฟโรดสีดำ คันกลางกลับเป็นลินคอล์นยาวพิเศษสีขาว ตามด้วยคันหลังคือรถออฟโรดสีดำอีกคัน
ลี่โม่อวี่กับอ้ายหลุนมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าประหลาดใจ รถทั้งสามคันไม่ได้ขับด้วยความเร็วที่เร็วมาก ดูไม่เหมือนว่ากำลังขับหนี
ขบวนรถที่หรูหราเช่นนี้มองไปแล้วดูเหมือนกำลังจะออกไปเที่ยวเลย
จริงๆแล้วรถขบวนนี้เป็นขบวนที่มู่ชุนนั่งอยู่ คนของเขาไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปแล้ว
แม้ว่ามู่ชุนจะตื่นตระหนก แต่เขาก็ค้นของในห้องหนังสือของหลงเซี่ยวเทียนอย่างไม่เร่งไม่รีบอยู่รอบหนึ่ง จนเขาแน่ใจว่าในห้องนี้ไม่มีของมีค่าอะไรแล้ว จึงขับรถออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
แกมันเป็นขยะจริงๆ
ลี่โม่อวี่เห็นขบวนรถ สายตาของเขาก็เย็นชา