ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 452 อาจารย์พยุหะแห่งแผ่นดินตะวันตก

ตอนที่ 452 อาจารย์พยุหะแห่งแผ่นดินตะวันตก

กิเลนมังกรมองไปรอบๆ ด้วยความวิตก กลัวว่าตึกราม บ้านช่อง และราชวังจะลุกขึ้นมาโลดเต้นอีกครั้ง

แต่เมืองต้นไผ่เงียบสงัด ทั่วทุกแห่งมองไม่เห็นเงาร่างผู้คน เมืองต้นไผ่นั้นน่าจะเป็นเมืองใหญ่อันมีประชากรนับแสน แต่พวกเขาทั้งหมดเหมือนกับจะหายสาบสูญไปในอากาศธาตุ

การที่ทำให้คนทั้งเมืองออกจากบ้านของตนเองไป คนผู้นั้นจะต้องมีอิทธิพลอำนาจอันเกินจินตนาการ

เมืองต้นไผ่โล่งว่าง แต่สำหรับฉินมู่และคณะ เมืองที่ดูคับคั่งเมื่อครู่กลับตายลงไปอย่างฉับพลัน

แต่ยิ่งมันเงียบสงัดมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกสยองขวัญพรั่นพรึงมากเท่านั้น

ทันใดนั้น ทั้งเมืองก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และพื้นดินใต้เท้าของพวกเขาก็นูนโป่งขึ้นมา ตึกราม บ้านช่อง และราชวังก็จมลงไปข้างล่าง และทั้งเมืองต้นไผ่กลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า

กิเลนมังกรรีบเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศโดยเหยียบเมฆอัคคีขึ้นไป เสียงฉีเอ๋อกำแผงขนคอของเขาเอาไว้แน่น มองลงไปข้างล่างด้วยความกระสับกระส่าย

เมืองข้างล่างมันผ่าแยกออก และหินจัตุรัสก็ยกตัวขึ้นมาจากพื้น พวกมันซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าก่อตัวเป็นแท่งเสาจัตุรัสอันสูงเสียดฟ้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วอึดใจเดียว ป่าดงแท่งเสาจัตุรัสก็ปรากฏห้อมล้อมฉินมู่และคณะเอาไว้!

พวกเขากลายเป็นเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับสภาพโดยรอบ

เสาพวกนี้จริงๆ แล้วกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว แต่ความเปลี่ยนแปลงในกระบวนพยุหะถูกซ่อนเอาไว้ ทุกครั้งที่เสาเคลื่อนขยับ พวกมันก็จะสูงขึ้น หรือไม่ก็หดสั้นลง หินจัตุรัสก็จะเคลื่อนที่แนวขนานหรือไม่ก็แนวตั้ง เข้าไปประกอบกับเสาแท่งอื่น

และยังมีเสาพาดขวางที่ห้อยลงมาจากเสาต้นอื่นๆ เหมือนกับคาน แต่ความยาวของคานพวกนั้นก็เปลี่ยนแปรไปตลอดเวลา บางครั้งมันก็หดสั้น บางครั้งมันก็ยืดยาว บางทีก็ดูเหมือนจะมีเส้นทางเดินข้างหน้ากลุ่มฉินมู่ แต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา เสาหินพวกนั้นก็จะมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นกำแพงตัน

เมืองต้นไผ่ดูจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันแตกต่างไปจากเมืองที่ไล่กัดกินทุกสิ่งเมื่อครู่อย่างลิบลับ ตอนนี้มันดูเหมือนห้วงอวกาศสามมิติที่เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา

ก่อนหน้านี้ เมืองต้นไม่เป็นวัตถุใหญ่มหึมาที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง และดูอันตรายร้ายกาจ แต่ก็กลายเป็นเพียงแค่หมาเห่าแต่ไม่กัด ไม่มีภัยคุกคามร้ายแรงอะไร แต่ทว่า หลังจากที่มันกลายเป็นพื้นที่สามมิติ และเริ่มจะเคลื่อนไหวไปในแบบแผนของพยุหะ อันตรายของมันก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด!

ผนังทั้งหกด้านของจัตุรัสได้ตราประทับได้ด้วยรอยอักษรรูนต่างๆ กัน แม้ว่าหินพวกนั้นจะหมุนปรับสลับเปลี่ยนไปมา แต่อักษรรูนก็จะยังเชื่อมต่อกันเป็นวงจรอย่างสมบูรณ์แบบกับก้อนอื่นๆ ที่อยู่ติดกัน

และที่ประหลาดที่สุด การประกอบเข้ากันใหม่ไปมาของหินสี่เหลี่ยมเหล่านั้นก็เป็นเพียงภาพภายนอกเท่านั้น ภัยซ่อนเร้นที่แท้จริงแฝงอยู่ในอักษรรูนที่แยกออกและต่อเข้าด้วยกันใหม่เหล่านั้น

การจัดเรียงแบบแผนอักษรรูนที่แตกต่างกันก็ย่อมหมายถึงกระบวนพยุหะที่ต่างกัน ในเมืองนี้มีก้อนหินมากมายนับไม่ถ้วน และอักษรรูนบนหินแต่ละก้อนก็ไม่ซ้ำกัน ดังนั้นจึงมีวิธีการไม่จำกัดในการประกอบพวกมัน และการเปลี่ยนแปลงในพยุหะก็จะไร้ที่สิ้นสุด!

ฉินมู่มองทะลุมันโดยพลัน หากว่าพวกเขานั่งนิ่งอยู่กับที่ข้างใน แทนที่จะเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะไม่กระตุ้นการทำงานของพยุหะ แต่ว่าเมื่อใดที่พวกเขากระดุกกระดิกแม้สักน้อย พลานุภาพในกระบวนพยุหะพวกนี้ก็จะกระตุ้นเร้าขึ้นมา!

ทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ! ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ ทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกอาจจะไม่เน้นพลังทำลายล้างแบบสันตินิรันดร์ แต่ความพิลึกพิสดารของมันและความไพศาลของมันทำให้เขานับถือชื่นชมอย่างเป็นที่สุด!

เขาได้เรียนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ แต่เขามิเคยได้ทุ่มเทกายใจเข้าไปสำรวจมันอย่างลึกซึ้ง แต่ทว่าในบัดนี้ เมืองต้นไผ่ได้เผยให้เขาเห็นภูมิปัญญาของผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนไร้ประมาณในแผ่นดินตะวันตก

พื้นที่ว่างเริ่มเล็กลงๆ ทุกที มันบีบอัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และหากว่าเมืองนี้ยังทำเช่นนี้ต่อไป มันก็อาจจะกลายเป็นลูกบาศก์สามมิติขนาดใหญ่ หากฉินมู่ เสียงฉีเอ๋อ และกิเลนมังกรฝ่าออกไปไม่ได้ พวกเขาก็จะถูกบีบจนแหลกเละข้างใน

กิเลนมังกรก็สามารถมองเห็นความน่าสะพรึงกลัวของเมืองต้นไผ่ และรีบเริ่มลงมือคำนวณเส้นทางรอดชีวิตทันที ในเมื่อพวกเขากำลังเผชิญกับพยุหะค่ายกล มันก็จะต้องมีแบบแผนกระบวนการที่แน่นอน และในแบบแผนกระบวนการนั้นก็จะมีหนทางรอด

การเปลี่ยนแปลงแห่งเมืองต้นไผ่อยู่บนการเปลี่ยนตำแหน่งของก้อนหิน ดังนั้นนั่นคือจุดเดียวที่คณะเดินทางจะเสาะหาทางรอดได้

แต่ทว่าการไขพยุหะนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เส้นทางที่ดูเหมือนว่าจะใช้หลบหนีได้ ในไม่ช้าก็ปรากฏว่าเป็นทางตัน หากว่าคณะหนีไปในเส้นทางนั้น พวกเขาก็จะมีแต่ต้องตกตายอย่างน่าสังเวช!

“กรงลูกบาศก์แห่งเมืองต้นไผ่ บรรจุไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงพีชคณิตที่ซับซ้อนอย่างสุดขั้ว!”

กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และลูกตาเขาก็กลอกไปมาราวกับโคมไฟกระดาษหมุน ระหว่างที่เขาพยายามคำนวณการเคลื่อนไหวของลูกบาศก์ทุกลูกในพยุหะใหญ่มหึมานี้ ไม่นานนักเขาก็น้ำลายฟูมปากจากความเหนื่อยล้า เขารีบกล่าวทันที “หากว่าข้ามีเวลามากพอ ข้าก็จะสามารถคำนวณเส้นทางหลบหนีเอาชีวิตรอดได้! แต่ทว่า ข้าเกรงว่าก่อนที่ข้าจะคำนวณสำเร็จ พวกเราก็คงจะถูกบีบเค้นจนตายไปเสียก่อน! จ้าวลัทธิ ท่านมีวิธีการคำนวณทางออกหรือไม่”

ฉินมู่ประกายตาวูบวาบ และเขากล่าวด้วยความยินดี “จู่ๆ ข้าก็มีความคิดดีๆ ใช้จัดการกับซิงอ้าน! หากว่าแขนขาของเขาถูกปลุกให้เป็นพรายวิญญาณ ไม่ใช่ว่ามันจะหลุดพ้นการควบคุมหรอกหรือ นี่จะทำให้สังหารเขาได้ง่ายดายยิ่งขึ้น!”

กิเลนมังกรทั้งว้าวุ่นทั้งคลั่งใจ “จ้าวลัทธิ พวกเราจะตายกันอยู่แล้ว แต่ท่านยังมีเวลาคิดเรื่องแบบนี้อีกหรือ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “บุคคลที่ควบคุมเมืองต้นไผ่มีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง และไม่ด้อยไปกว่าข้า หากว่านี่เป็นการสู้อย่างยุติธรรมซึ่งๆ หน้า ข้าก็สามารถเอาชนะเขาได้ แต่ในเมื่อเขาวางแผนร้ายใส่ข้าและชิงลงมือก่อนในโอกาสอันดี มันก็ยากที่ข้าจะไขพยุหะนี้ออกไปได้ ในเวลาที่ข้าไขปัญหาออก พวกเราก็คงจะเละเป็นมะเขือเทศคั้นไปแล้ว”

กิเลนมังกรสิ้นหวัง แต่ฉินมู่ดูไม่เหมือนจะสิ้นหวังตามไปด้วย เขาตะโกนออกไปทันที “ศิษย์พี่อวี้ ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าไม่คิดจะสนทนากันหน่อยหรือ ก่อนที่ข้าจะตายน่ะ”

“ข้าไม่คิด ข้ากลัวว่าถ้าข้าพูดมากเกินไปจะตายเสียเอง” ฉินมู่บอกไม่ถูกว่าเสียงของอวี้ป๋อชวนดังมาจากที่ไหน แต่น้ำเสียงนั้นดูกระหยิ่มใจอย่างปิดไม่มิด “เมื่อรับมือกับบุคคลเช่นจ้าวลัทธิฉิน ทางที่ดีที่สุดคือรีบส่งท่านให้ไปตายโดยไว ข้าไม่อาจเสี่ยงให้ท่านตายช้าไปแม้อึดใจเดียว มีแต่จ้าวลัทธิฉินที่ตายแล้ว ถึงจะเป็นจ้าวลัทธิฉินที่ผู้คนสามารถไว้วางใจ”

ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำเหมือนก้อนถ่าน

“แต่พี่ฉินไม่ต้องกังวลไป หากว่าข้าพบศพของเจ้า ข้าก็จะนั่งลงและบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับข้าให้เจ้าฟังอย่างแน่นอน” อวี้ป๋อชวนหัวเราะด้วยความรื่นเริง “น้องชายผู้นี้มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือข้าจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปลิดชีวิตศัตรูเมื่อข้าสู้กับพวกเขา มีก็แต่เมื่อศัตรูตายไปแล้ว ข้าถึงจะเริ่มพูดคุยเจรจา และมีบทสนทนาอันสนุกสนานกับศพของพวกเขา บอกเล่าว่าทำไมพวกเขาถึงพ่ายแพ้ให้แก่ข้า ข้าคงยกเว้นให้จ้าวลัทธิฉินเป็นกรณีพิเศษไม่ได้หรอก”

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “เป็นนิสัยที่ดีอะไรอย่างนี้ ข้าถูกกักเอาไว้ข้างในและถูกลิขิตไว้ว่าจะต้องตายในเงื้อมมือของเจ้าเป็นแน่ กระนั้นเจ้าก็ยังคงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นศัตรูอันมหัศจรรย์จริงๆ นี่สินะที่เรียกว่าได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ข้าอยากจะวาดภาพให้เจ้าเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงมิตรภาพอันก่อเกิดขึ้นมาจากการชื่นชมพรสวรรค์ซึ่งกันและกัน”

ความเคลื่อนไหวของกำแพงหินยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที และกรงลูกบาศก์อันก่อขึ้นมาจากเมืองต้นไผ่ก็แปรเปลี่ยนไปไวยิ่งยวด แต่ละการเคลื่อนไหวของมันอัดแน่นไปด้วยโครงสร้างคณิตศาสตร์อันลึกล้ำ

พวกมันกลายเป็นโครงสร้างพยุหะ และหินลูกบาศก์ที่ชั้นนอกก็ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป ในเมื่อพวกมันกลายเป็นพยุหะสังหารไปเรียบร้อยแล้ว กักขังผู้ที่อยู่ข้างใน ไม่นานนัก ลูกบาศก์หินที่ชั้นในก็เริ่มหยุดเคลื่อนไหว กลายเป็นพยุหะสังหารเช่นเดียวกัน

เมื่อแต่ละชั้นห่อหุ้มแต่ละชั้น มันก็ยิ่งทำให้ทั้งสามคนยากที่จะหลบหนีมากขึ้นไปทุกที เมื่อพยุหะสังหารสุดท้ายถูกจัดวางลง ก็ไม่มีเส้นทางหนีอีกต่อไป

หากว่าฉินมู่และพรรคพวกขยับ พวกเขาก็จะตาย หากว่าพวกเขาไม่ขยับ พวกเขาก็จะตายอยู่ดี

ฉินมู่เลือกที่จะยืนนิ่ง เขายกพู่กันขึ้นมาและสาดหมึกจำนวนหนึ่ง จากนั้นเริ่มต้นวาดภาพด้วยพู่กันที่ตวัดไปอย่างรวดเร็ว

เสาหินเริ่มขยับเข้ามาใกล้พวกเขา และกระบวนพยุหะก็แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในท้ายที่สุด พวกมันก็มาถึงจุดที่พวกเขาอยู่

เมื่อมันวิวัฒน์ไปจนถึงขั้นสุดท้าย มันก็กลายเป็นกำแพงหกด้านที่บีบอัดเข้ามายังใจกลาง กำแพงหินหกด้านนี้กดดันไปข้างหน้าด้วยเสียงตูมกัมปนาท

ท้ายที่สุด กำแพงทั้งหกด้านก็มาบรรจบกันและพลานุภาพอันเกินจะหยั่งก็พวยพุ่งออกมา วงจรพยุหะในลูกบาศก์ชั้นนอกกระตุ้นการทำงาน และอักษรรูนบนลูกบาศก์จำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งแสงจ้า ส่งพลังให้ผนังทั้งหกด้านมีกำลังบดขยี้อันน่าสะพรึงกลัว ลูกบาศก์เมืองต้นไผ่ทั้งลูกสั่นสะท้านจากการกระแทกชน!

การกระแทกระดับนี้ต่อให้ยอดยุทธขั้นสะพานเทวะก็ยากจะรอดชีวิตมาได้ อย่าว่าแต่พวกอย่างฉินมู่และกิเลนมังกร!

“เยี่ยมมาก วิเศษจริงๆ!” อวี้ป๋อชวนปรบมือและหัวเราะร่า “อาจารย์พยุหะสมกับเป็นอาจารย์พยุหะ กระบวนพยุหะนี้นับว่าไร้เปรียบปานในโลกหล้า และไม่มีใครทัดเทียมได้ แม้ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าจะเต็มไปด้วยเล่ห์กล แต่เขาก็จนปัญญาเมื่อเผชิญกับกระบวนพยุหะของอาจารย์พยุหะ เขาตายก็คงตายตาหลับ”

เสียงของสตรีนางหนึ่งตอบเขาอย่างชืดชา “คุณชายอวี้ชมข้าเกินไปแล้ว ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิฉินผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ ผู้มีสายตาสูงส่งเหนือศีรษะแต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่เขา นี่แสดงว่ามีบางอย่างที่เหนือธรรมดาในตัวเขา แต่เขามุ่งใส่ใจในเรื่องพิษมากเกินไป และความสำเร็จเชิงพีชคณิตและพยุหะของเขานั้นด้อยกว่าข้ามาก ดังนั้นข้าจึงสามารถกักขังเขาไว้ได้ จ้าวลัทธิฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาหัวมาถวายและถูกประหารตายไป”

อวี้ป๋อชวนหัวร่อฮาๆ “เขาคิดว่าเมืองต้นไผ่นั้นมุ่งจะเอาชนะเขาด้วยกำลังเถื่อน ดังนั้นเขาจึงรี่เข้าไปเพื่ออวดโอ้ทักษะวิชาอันน่าประทับใจของเขา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นเพียงเหยื่อล่อที่อาจารย์พยุหะจัดวางเอาไว้เท่านั้น และลงเอยด้วยการตกเข้าไปในกับดัก อาจารย์พยุหะ อาจารย์พิษ และอาจารย์กระบี่ คือสามสุดยอดอาจารย์แห่งแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เลิศล้ำเหนือธรรมดา อาจารย์พยุหะ โปรดคลี่คลายกระบวนพยุหะนี้ ข้าอยากจะชมดูภาพวาดที่จ้าวลัทธิฉินหลงเหลือเอาไว้ให้ข้า”

เสียงของกระบี่กระทบกันเคร้งคร้างดังมา และกระบวนพยุหะมหึมาแห่งเมืองต้นไผ่ก็ค่อยๆ คลี่ออกมาด้วยตนเอง ก้อนหินใหญ่มากมายจมหายลงไปในดิน และบ้านเรือนกับราชวังก็ค่อยๆ ยกขึ้นมาจากใต้ดิน ไม่นานนัก เมืองต้นไผ่ก็หวนคืนกลับสู่สภาพเดิม และบนกำแพงจุดที่ฉินมู่และคณะเคยยืนอยู่นั้น มีภาพวาดแผ่นหนึ่งแขวนไว้ที่นั่น

อวี้ป๋อชวนมีรอยยิ้มเกลื่อนหน้าเมื่อเขานั่งรถสมบัติขับตรงไปยังกำแพง ข้างหลังเขาติดสอยห้อยตามด้วยฝูงยอดฝีมือแห่งแผ่นดินตะวันตก และผู้ที่นำพวกเขานั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง นางมีรูปโฉมอันบอบบางและงดงาม ในมือของนางมีลูกบาศก์โลหะ

มันแตกออกจากกันกลายเป็นลูกบาศก์โลหะขนาดต่างๆ มันกลิ้งแกรกๆ แล้วก็ประกอบเข้าด้วยกันใหม่

หญิงผู้นี้คืออาจารย์พยุหะเหออีอี อันมีชื่อเสียงกระเดื่องดังร่วมกับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่และอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้

สามอาจารย์แห่งแผ่นดินตะวันตกล้วนแต่เป็นเด็กสาว และพวกนางก็มีสุดยอดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ที่ทำให้พวกนางสามารถสถาปนาอิทธิพลอำนาจของตนเอง

อาจารย์พยุหะเหออีอีปกครองเมืองต้นไผ่ และได้มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะวิชาพยุหะของนางอันไร้ต่อต้านในแผ่นดินตะวันตก ไม่มีใครทัดเทียมนางได้ในวิชาพยุหะ

แม้ว่าตำหนักสวรรค์แท้จะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตก อาจารย์ทั้งสามก็มีจุดแข็งเป็นของตนเอง และมิใช่ผู้ใต้บัญชาของอำนาจใด แต่ทว่า เนื่องมาจากอิทธิพลอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้ อาจารย์ทั้งสามก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่สองสามส่วน หากว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มีข้อขอร้องใด พวกนางก็จะช่วยเหลือ

ข้างหลังเหออีอีคือยอดฝีมือแห่งเมืองต้นไผ่ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้นำตระกูลใหญ่มากอิทธิพลในเมืองต้นไผ่ และกำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผู้คนในเมืองหอมเบ่งบาน การที่สามารถสร้างเขตอิทธิพลอันเป็นอิสระขึ้นมาได้ พวกเขาย่อมไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย

อวี้ป๋อชวนขับรถสมบัติมายังกำแพงหิน เขาเพ่งพิศดูภาพวาดและเห็นว่าข้างในนั้นมีฉินมู่ กิเลนมังกร และเสียงฉีเอ๋อ พวกเขาดูละเอียดประณีตสมจริง

“แจ่มชัด และมีชีวิตชีวา!” อวี๋ป๋อชวนหน้าบานแฉ่งและหัวเราะให้แก่ศิษย์สาวๆ แห่งตำหนักสวรรค์แท้ “แจ่มชัดและมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง! ภาพวาดของจ้าวลัทธิฉินนั้นล้ำเลิศอย่างไม่น่าเชื่อ หากว่าเขาเอาดีทางขายภาพ เขาก็จะต้องไม่อดตายอย่างแน่นอน! ฮ่าๆๆๆ”

หญิงสาวในรถสมบัติพากันหัวเราะ “น่าเสียดายที่เขาตายไปแล้ว นายน้อย ดูสิ จ้าวลัทธิฉินในภาพวาดยังคงยิ้มอยู่เลย!”

หญิงสาวแห่งตำหนักสวรรค์แท้อีกคนแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ได้ตายในน้ำมือของอาจารย์พยุหะ และได้พบเห็นพยุหะอันไร้ที่ติของนาง นี่คงจะควรค่าแก่การแย้มยิ้มโดยไม่ย้อนเสียใจสินะ”

อวี้ป๋อชวนหัวเราะด้วยเสียงอันดังและเดินออกไปจากรถสมบัติ มือของเขาไพล่หลังเอาไว้พลางเพ่งพิศภาพวาดบนกำแพงหิน จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “จ้าวลัทธิฉิน มาคุยกันสักหน่อยปะไร”

“เยี่ยม!” ฉินมู่ในภาพวาดพลันเอี้ยวมองไปรอบๆ พลางยิ้มแฉ่ง “ข้าเองก็กำลังคิดอยากสนทนากับพี่อวี้! กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์–”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท