ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 445 การจู่โจมกลางค่ำคืน

ตอนที่ 445 การจู่โจมกลางค่ำคืน

เมื่อปรากฏการณ์ภูมิอากาศทั้งหลายได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วในปลายยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เรือตะวันและเรือจันทราที่ถูกหลอมตีขึ้นมาโดยเหล่าเทพเจ้าแห่งจักรพรรดิก่อตั้งก็ถูกใช้เพื่อขับไล่ความมืด มันช่วยให้สิ่งต่างๆ สามารถเติบโตงอกงาม และผู้คนก็มีหนทางรอดชีวิต

แต่ทว่า เรือสองชนิดนี้ก็เป็นศาสตราวุธอันคมกล้าสำหรับการศึกด้วยเช่นกัน ผู้พิทักษ์ตะวันแห่งเรือตะวัน และผู้พิทักษ์จันทราแห่งเรือจันทรา สามารถขับเคลื่อนพลังงานในเรืออันยิ่งใหญ่มหึมาเพื่อให้พลังงานของพวกเขาไปถึงระดับขั้นเทพสวรรค์ พวกเขาก็จะได้รับมหิทธานุภาพอันสามารถพลิกฟ้าคว่ำดิน

ฉินมู่เคยใช้เรือตะวันครั้งหนึ่ง และเคยยืมเรือจันทรา ดังนั้นเขารู้ถึงพลานุภาพอันความเลิศล้ำเหนือธรรมดาของเรือทั้งสองนี้

ด้วยเคล็ดลับควบคุมมังกรจากคัมภีร์เลี้ยงมังกรเพื่อหยิบยืมพลานุภาพของราชามังกรเทวะไร้เขาและฝูงมังกรไร้เขา เขาก็สามารถเปิดสะพานเทวะเพื่อให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขารุดหน้าไปถึงหมู่ปราสาทสวรรค์ แต่ทว่าเขาเข้าถึงเพียงประตูสวรรค์ทักษิณเท่านั้น และไม่มีหนทางเข้าไปในส่วนลึกของหมู่ปราสาทสวรรค์ ในทางกลับกัน หยิบยืมพลานุภาพของเรือตะวันหรือเรือจันทราทำให้เขาสามารถเข้าไปถึงศาลาหยกอันตั้งอยู่ข้างๆ สระหยก!

กระนั้นเรือตะวันและเรือจันทราก็มีตัวปราบมัน มันนั่นก็คือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ

เรือตะวันให้ผู้พิทักษ์ตะวันยืมพลัง และเรือจันทราก็ให้ผู้พิทักษ์จันทรายืมพลัง พลานุภาพนั้นมาจากตัวร่างของเรือทั้งสอง ไม่ใช่ผู้ถือครองมัน เรือทั้งสองนี้ครอบครองพลังงานน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขต และด้วยดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันหลอมสร้างขึ้นมาโดยทวยเทพให้เป็นแหล่งพลังงาน พวกมันก็สามารถขับไล่ความมืดออกไปได้ วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมีแนวคิดว่าทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ มันอาศัยสัมผัสรู้ต่อธรรมชาติของผู้ฝึกปรือเพื่อเสกสรรจิตวิญญาณขึ้นมา ปลุกชีวิตให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างในสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ และเรียกใช้มันมาต่อสู้

เทพเจ้าตนที่ฝึกวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติสามารถปลุกจิตวิญญาณขึ้นมาในเรือตะวันและเรือจันทรา เพื่อใช้ให้มันต่อสู้ให้เขา

ในกรณีนั้น จุดจบของผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรา รวมทั้งนักต้อนตะวันและนักต้อนจันทราทั้งหลาย ก็มีแต่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้แต่ผู้พิทักษ์เองก็คงยากจะหนีรอด!

“เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มันจะต้องมีการต่อสู้อันแตกตื่นสะท้านขวัญที่นี่ เรือตะวันและเรือจันทราทั้งหลายได้เผชิญกับเทพเจ้าผู้ซึ่งฝึกปรือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อันลงเอยด้วยการที่พวกเขาถูกทำลายไปทีละลำสองลำ ขณะเดียวกัน นี่…” ฉินมู่มองไปทางทิศตะวันตก ประกายตาเขาวูบไหวราวกับแสงเทียนอันกะพริบในสายลม “ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก จะต้องมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

เขารู้สึกมาตลอดว่า ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตกคือแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับวัดใหญ่ฟ้าคำรามและสำนักเต๋า แต่แม้ว่าเจ้าตำหนักจะมีทักษะเทวะอันล้ำเลิศไม่ธรรมดา นางก็เป็นเพียงแค่ยอดฝีมือคนหนึ่งที่ติดอยู่ในขั้นสะพานเทวะ แดนศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่แตกต่างอะไรจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

แต่ทว่า เมื่อมองดูแล้ว ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก ดูท่าจะซุ่มซ่อนความลับและตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวเอาไว้!

ไม่เพียงเท่านั้น เพียงแค่นาม ‘ตำหนักสวรรค์แท้’ ก็ชวนให้ผู้คนต้องคิดใคร่ครวญแล้ว

ลัทธินักบุญสวรรค์ได้นามของมันมาก็เพราะว่าคนตัดไม้ที่ถ่ายทอดวิชานั้นได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ วัดใหญ่ฟ้าคำรามได้นามนั้นก็เพราะว่าความสูงของเขาพระสุเมรุ ยอดของมันนั้นอยู่ในชั้นเมฆสายฟ้า เมื่อสายฟ้าและเสียงพุทธดังสอดประสาน มันก็กึกก้องกัมปนาทขนาดว่าคนหูหนวกก็ยังต้องได้ยิน

สำนักเต๋าโด่งดังก็เพราะกระบี่เต๋าและภูเขาคุนหลุน ส่วนนครหยกน้อยนั้นเป็นเศษแตกออกมาจากอัครนครหยกแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง นามของแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เผยปูมหลังที่มาของพวกมันในทางต่างๆ

เช่นนั้นอะไรคือปูมหลังความเป็นมาของตำหนักสวรรค์แท้

ทำไมเทพเจ้าแห่งตำหนักสวรรค์แท้จึงทำลายกองเรือตะวันและเรือจันทรา

ซากโบราณของราชวังเทพเจ้าในทะเลทราย และยักษ์ทรายพิสดารนั้นก็อาจจะเป็นฝีมือของเทพตนเดียวกัน ทะเลทรายปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงประหลาดอันทำให้เกิดรอยประทับเพลิงขึ้นมาบนผู้คนที่ถูกละทิ้ง และพยายามที่จะแผดเผาพวกเขาให้ดับดิ้นไป นั่นก็เกี่ยวข้องกับตำหนักสวรรค์แท้ด้วยหรือไม่

ทำไมรอยประทับเพลิงจึงปรากฏบนผู้คนที่ถูกละทิ้งอันย่างเท้าเข้ามาในดินแดน ทำไมมีแต่ผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศเท่านั้นที่จะถูกไฟเผาจนตายไป ขณะที่คนอื่นๆ กลับไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อแตะต้องเข้ากับเปลวไฟ

มีความลับซุกซ่อนอยู่ในแผ่นดินตะวันตกมากมายแค่ไหนกันนะ

ทะเลทรายเพลิงโหมแผดไฟอันร้อนแรง ทำให้ฉินมู่แสบร้อนเป็นพิเศษ ทันใดนั้น ก็มีซากโบราณอีกซากปรากฏขึ้นข้างหน้าพวกเขา และไม่ทันที่กิเลนมังกรจะเข้าไปถึง พวกเขาก็เห็นหอบลมทรายหมุนรวบรวมอยู่ที่นั่น ยักษ์ทรายตนหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา และอีกตนหนึ่งก็กำลังก่อรูปข้างๆ ตัวแรก ทรายอันเชี่ยวกรากไหลวนเป็นเกลียวรอบๆ เท้าพวกมัน

กิเลนมังกรทำลังจะหาทางอ้อม แต่ฉินมู่กล่าว “ไม่ต้อง มุ่งหน้าต่อไป”

กิเลนมังกรจึงได้แต่ตะลุยเข้าไปยังยักษ์ทรายทั้งหลายที่เปี่ยมปริ่มไปด้วยจิตสังหาร รอยพยุหะหมุนเป็นเกลียววนในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขากวาดตาสำรวจซากโบราณนั้นจากที่ไกลๆ

ยักษ์ทรายพุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของกระบี่เมื่อกระบี่ไร้กังวลพุ่งหวีดเลียดพื้นทราย มันสร้างคลื่นลมอันซัดหอบทรายทั้งหลายกระเด็นขึ้นไป!

ยักษ์ทรายพวกนั้นเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งร้อยห้าสิบวาข้างหน้ากิเลนมังกรก่อนที่จะพลันล้มครืน คลื่นทรายไหลเทไปรอบทิศทาง และกิเลนมังกรก็พลันร้องคำรามด้วยเสียงอันดัง เป่าเนินทรายพวกนั้นให้กระจุยไป

ฉินมู่เรียกกระบี่ไร้กังวลกลับมา ขณะที่กิเลนมังกรแบกเขาเข้าไปในซากโบราณ เขาเห็นเทวะรูปอันถูกเฉือนผ่าออกเป็นแปดเก้าเสี่ยง นอนระเนระนาดอยู่ในวิหาร

กิเลนมังกรเหาะจากไป

“พวกเราน่าจะเข้าแผ่นดินตะวันตกได้ในบ่ายวันพรุ่งนี้”

บนเรือตะวันอันหักพัง ฉินมู่จุดกองไฟ และให้กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อพักผ่อน เขายังทนได้อยู่ แต่กิเลนมังกรจำเป็นต้องพักหลังจากวิ่งมานานขนาดนี้ เสียงฉีเอ๋อในวัยเท่านี้ก็ยากจะตราตรำเดินทางไกลเหมือนกัน

ฉินมู่มองไปทางทิศตะวันตก และสายตาของเขาทะลุผ่านไฟประหลาดแห่งทะเลทราย ในเปลวไฟเหล่านั้น ปรากฏร่างเงาอันแปลกประหลาดอยู่ในทิศไกลๆ

ฉินมู่แย้มยิ้มและโบกมือทักทาย อันทำให้เงาร่างนั้นตื่นตระหนก และมันก็รีบเผ่นหนีไปทันที

“นับวันผู้สูงศักดิ์ก็ยิ่งปอดแหกมากขึ้นทุกที” ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ

ผานกงสั่วออกไปจากเรือตะวันพังๆ สีหน้าเขาเดี๋ยวก็เผือดเดี๋ยวก็คล้ำ เขานั้นได้เชื่อมต่อแขนที่แตกหักเข้าด้วยกันใหม่แล้ว และอาการบาดเจ็บที่เขาประสบก็หายไปค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการย่องเข้าใกล้ฉินมู่

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีความคิดลอบโจมตีหรือแม้กระทั่งประจันหน้ากับฉินมู่ เพียงแต่ว่าเขาตระหนักดีว่าโอกาสชนะของเขานั้นไม่สูงนัก เขาจึงได้แต่ขับไล่ความคิดพวกนี้

เขากำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นมวลทรายกำลังไหลอย่างเงียบเชียบในบริเวณรอบๆ และหัวใจเขาก็เต้นตึ้กตั้กขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบมองไปยังเปลวไฟ

ทะเลทรายยามค่ำคืนนี้มิได้มืดสนิท เปลวไฟได้ส่องสว่างให้แก่มัน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ในทิศไกลๆ ผานกงสั่วมองเห็นรูปเงาคนประหลาดอันราวกับหุ่นไม้เดินเข้ามาใกล้ ข้อต่อของมันบิดไปมาเมื่อมันเดินด้วยท่วงท่าอันพิลึกกึกกือ

มวลทรายอันไหลรินในทะเลทรายเคลื่อนที่ไปพร้อมกับย่างเท้าของหุ่นพวกนี้ และที่น่าแปลกก็คือทรายกลับไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย

ผานกงสั่วหัวใจแทบโลดเต้นออกมาจากปาก เมื่อเขาเห็นเงาร่างของหุ่นไม้โผล่ขึ้นมาอีก ตัวที่สาม ตัวที่สี่….

เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ เขาก็พลันตระหนักว่าเงาร่างเหล่านี้คือเทวรูปไม้ แต่ดวงตาของพวกมันเป็นของจริงไม่ใช่ไม้ ในตอนนั้น พวกมันก็เข้าไปใกล้กับเรือตะวันอย่างเงียบเชียบ

ขณะที่ผานกงสั่วใจเต้นโครมครามอยู่นั่นเอง เทวรูปไม้ตนหนึ่งก็หันมามองเขา เผยรอยยิ้มพิลึกพิลั่น มันยื่นนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากและทำท่า ชู่ว

ผานกงสั่วกะพริบตาปริบ แต่ไม่ขยับเขยื้อน เฝ้ามองเทวรูปเหล่านี้เคลื่อนตรงไปยังเรือตะวัน

ทรายไหลเชี่ยวกรากขึ้นมา แบกรูปสลักไม้ขึ้นไปบนอากาศ มวลทรายข้างใต้มันใหญ่มหึมาขึ้นเรื่อยๆ

ผานกงสั่วกระสับกระส่าย มือของเขากำเป็นหมัดด้วยความตื่นเต้น รอบบริเวณเรือตะวันถูกยักษ์ทรายล้อมเอาไว้อย่างไร้ช่องโหว่ พวกมันเงื้อหมัดใหญ่มหึมาหมายที่จะฟาดทุบลงบนเรือตะวันอันฉินมู่กำลังพักผ่อน!

ไอ้เด็กแซ่ฉินนั่นตายแน่! ผานกงสั่วตื่นเต้นสุดๆ จนแทบจะโห่ร้องดีใจ

ในพริบตานั้นเอง กระบี่เงินยวงเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา แทงทะลุศีรษะของเทวรูปไม้ตนหนึ่ง มันระเบิดออก และตามด้วยตนที่สอง สาม และสี่

หลังจากการระเบิด แขนของยักษ์ทรายทั้งหลายก็แข็งค้างในอากาศ ก่อนที่จะพังทลายลงไปราวกับเม็ดทรายอันไหลริน ถมท่วมไปครึ่งเรือตะวัน

“คิดสู้กับข้าหรือ” เสียงเย้ยหยันดังมาจากเรือ

ผานกงสั่วไม่รีรออีกต่อไป และหันกายเพื่อหลบหนี หาทางวางแผนร้ายใส่ไอ้เด็กเวรนี่ไม่ได้เลย! แต่ทว่า ทำไมผู้คนที่ถูกละทิ้งอย่างเขาถึงมาที่แผ่นดินตะวันตก หรือมารนหาที่ตาย เจ้าของเทวรูปไม้พวกนี้ ข้ารู้จักนาง พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะจดจำนัก ฮี่ๆ ไอ้เด็กแซ่ฉิน แม้ว่าข้าคิดจะฆ่าเจ้า แต่ไฉนข้าจะต้องลงมือเองด้วยล่ะ

เขาแย้มยิ้ม อีกอย่าง ต่อให้ข้าไม่ยืมมือของนาง ข้าก็ยังมีสหายเก่าหลายคนในแผ่นดินตะวันตก สังหารเจ้านั้นง่ายยังกับปอกกล้วยเข้าปาก! ไอ้เด็กบัดซบ เจ้ากล้าเป็นศัตรูกับข้างั้นหรือ หลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว ข้าจะเอาศพเจ้ามาหมอบคลานตรงหน้าข้า!

ในบ่ายวันถัดไป กิเลนมังกรก็เดินออกไปจากทะเลทรายในที่สุด และรอยประทับเพลิงก็ค่อยๆ จางหายไปจากร่างกายของฉินมู่

พวกเขามาถึงเมืองชายแดนของแผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งมีชายและหญิงมากมายสวมใส่ผ้าคาดหัวปักลาย เสื้อผ้าของพวกเขากุก่องตระการ เต็มไปด้วยเครื่องเงินเครื่องทอง พวกที่มีศักดิ์ฐานะสูงก็จะสวมใส่ศิราภรณ์เงินอันสลักเสลาเป็นรูปหงส์เพลิงและหงส์แดง เสื้อผ้าบนร่างกายพวกเขาก็มักจะเป็นสีแดงหรือสีดำ อันดูเจิดจ้าสะดุดตา

ที่นั่นมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยจำนวนมาก ขณะที่พวกผู้ชายดูสามัญธรรมดา

เมื่อทั้งสามคนเข้ามาในเมืองเล็กๆ นี้ เสียงฉีเอ๋อก็ร่ำร้องอยากกินปลาเปรี้ยวหวาน ต้มเผ็ดกระดูกหมู บะหมี่แป้งข้าวเจ้า และดื่มชาขี้แมลง นางได้จากบ้านเกิดไปนานกว่าครึ่งปี และไม่อาจระงับความตื่นเต้นเมื่อคิดถึงการได้กินของอร่อยในบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง นางอยากกินทุกสิ่งทุกอย่างในรวดเดียว

แผ่นดินตะวันตกใช้ทองคำและแร่เงินในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งฉินมู่ก็มีติดตัวอยู่ เขาจึงให้เด็กหญิงได้กินจนเต็มคราบ

ฉินมู่เองก็ลองชิมดูบ้าง อาหารของแผ่นดินตะวันตกนั้นค่อนข้างเผ็ดและเปรี้ยว มีรสชาติอันแตกต่างออกไป แต่ทว่าเขาไม่กล้าลิ้มลองชาขี้แมลง มันทำมาจากขี้ของแมลงที่กินใบชา ดังนั้นต่อให้ชานี้จะหอมเป็นอย่างยิ่ง เขาก็ยังรู้สึกขนลุกกับมัน

ท่านปู่นักปรุงยาชอบดื่มชา เช่นนั้นข้าควรเอาไปฝากเขาให้ได้ลองสักหน่อย ฉินมู่คิดในใจ

จากนั้นเขาก็สังเกตรอบๆ ตัว สถาปัตยกรรมของแผ่นดินตะวันตกนั้นแตกต่างจากสันตินิรันดร์พอสมควร ขนบธรรมเนียมพื้นเมืองก็แตกต่างไปทั้งหมด แต่ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือบ้านเรือน พวกมันก่อสร้างขึ้นมาจากไม้ และก่อขึ้นเป็นรูปวงกลม หลายต่อหลายอาคารมีแผ่นจารึกอันห้อยเทวรูปเอาไว้

หลังจากที่สอบถามเกี่ยวกับมัน ฉินมู่ก็เรียนรู้ว่าเทวรูปเหล่านั้นใช้ในการป้องกันมิให้ผู้คนใช้พลังอำนาจในการปลุกจิตวิญญาณของอาคารขึ้นมา

เพราะว่าเวทมนตร์ของแผ่นดินตะวันตกดำเนินไปในแนวทางที่ว่าทุกสิ่งมีดวงจิต ทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หากว่าผู้ฝึกวิชาเทวะใดร่ายเวทมนตร์ และจู่บ้านเรือนก็ลุกขึ้นและวิ่งหนีไป ครัวเรือนนั้นจะไม่กลายเป็นนอนหนาวและหิวโหยหรอกหรือ

ก็ต่อเมื่อมีเทวรูปไว้บูชาในบ้าน มันก็จะไม่ถูกปลุกวิญญาณขึ้นมาจากฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะ

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ กับคำอธิบาย นึกภาพของบ้านเรือนมากมายลุกขึ้นไปต่อสู้ในสงครามนี่ช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ

แต่ทว่า เทวรูปพวกนี้ป้องกันมิให้บ้านเรือนถูกผู้ฝึกวิชาเทวะแย่งชิงไปได้จริงๆ น่ะหรือ

“มีวิหารจำนวนมากมายบนภูเขา ใช้เพื่อสะกดดวงวิญญาณของภูเขาเอาไว้ และก็มีวิหารเทพในทุกๆ แม่น้ำเพื่อป้องกันมิให้ผู้ฝึกวิชาเทวะชิงมันไป เพราะไม่ว่าอย่างไร แม่น้ำทุกสายและภูเขาทุกลูกก็มีเจ้าของทั้งนั้น” ผู้เฒ่าคนหนึ่งอธิบาย

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เมื่อมองไปยังเทือกเขาที่เหยียดยาวไปทิศไกลๆ เขาก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเทือกเขาแห่งแผ่นดินตะวันตกถึงยังไม่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง แผ่นดินนี้ยังคงมีเนินเขาขจีและน้ำใสกระจ่างอันเป็นทิวทัศน์ชวนรื่นรมย์

“ทำไมแม่น้ำทุกสายและภูเขาทุกลูกของที่นี่ถึงมีเจ้าของกันหมดล่ะ” ฉินมู่ถาม “พวกเขาคือใครกัน”

“พวกเขา แน่ล่ะ ก็คือนายท่านทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และยังมีบางส่วนที่เป็นของสถานที่อื่นหรือสำนักอื่นๆ” ผู้เฒ่ากล่าว “ไม่เพียงแต่ภูเขาและแม่น้ำมีเจ้าของแล้ว แม้แต่ดอกไม้ ใบหญ้า และต้นไม้ทั้งหลายก็มีเจ้าของ ไปแตะต้องพวกมันโดยพละการไม่ได้หรอก มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าขายตัวเองไปเป็นทาสก็ยังไม่พอชดใช้!”

ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น แผ่นดินก็พลันสะท้านหวั่นไหว และผู้คนรอบๆ กลายเป็นว้าวุ่น พวกเขารีบหลบไปข้างทาง และเมื่อฉินมู่มองตรงไปยังที่มาของเสียง เขาก็เห็นต้นไม้เดินตรงมา บนนั้นมีสตรีนางหนึ่งที่ถือม้วนภาพวาด นางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มีคนลักลอบหลบหนีเข้ามาจากแดนโบราณวินาศสู่แผ่นดินตะวันตกของพวกเราในวันนี้ ตำหนักสวรรค์แท้ได้บัญชาให้จับกุมอาชญากรนี้! พวกเจ้า เอาภาพนี้ไปแขวนไว้!”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน