ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 453 มหิทธานุภาพแห่งจ้าวลัทธิมาร

ตอนที่ 453 มหิทธานุภาพแห่งจ้าวลัทธิมาร

สีหน้าอวี้ป๋อชวนแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารีบถลันถอยออกไปพลางร้องตะโกน “หมอนี่มันแกล้งตาย! ศิษย์แห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกเราสังหารเขาได้ด้วยการทำลายภาพวาด!”

หญิงสาวมากมายรอบกายเขาพลันก้าวเข้าไปและโจมตีภาพวาด ในจังหวะเดียวกันนั้น แสงกระบี่ก็พวยพุ่งออกมา มันสะเทือนเลื่อนลั่น และการเปลี่ยนแปรอันอัศจรรย์ก็ประจักษ์แก่สายตาผู้ชมดูทั้งหลาย มันมิใช่แสงกระบี่อีกต่อไป แต่เป็นภูเขาและแม่น้ำที่ลอยเข้ามาปะทะใส่หน้าพวกเขา

ศิษย์หญิงกว่าสิบคนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ถูกทิวทัศน์ท่วมท้นกลบมิดทันที ร่างอันระหงงดงามของพวกนางดูราวจะแข็งค้างในอากาศ ก่อนที่จะแหลกสลายไปเหมือนเม็ดทราย

ความเร็วของภูเขาและแม่น้ำที่ท่วมท้นเข้ามานั้นเร็วอย่างสุดกู่ และกลบกลืนรถสมบัติในพริบตา ท่วมทับอวี้ป๋อชวนที่อยู่ข้างหลัง

อาจารย์พยุหะเหออีอีไม่ขยับ แต่สีหน้าแตกตื่นปรากฏขึ้นมาบนใบหน้านาง “สุดยอดเพลงกระบี่อย่างแท้จริง เขาไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้สักเท่าไรเลย”

ข้างหลังนาง ยอดฝีมือเกือบทั้งหมดจากตระกูลใหญ่เมืองต้นไผ่กำลังพลุ่งพล่าน พร้อมที่จะเข้าไปกลุ้มรุมสังหารฉินมู่ แต่เหออีอียกมือขึ้น “ไม่จำเป็นต้องช่วย นายน้อยอวี้เพียงแค่เชิญพวกเรามาจัดวางกระบวนพยุหะเพื่อกักขังจ้าวลัทธิฉินแห่งแผ่นดินภาคกลาง เขาร้องขอพวกเราเพียงเท่านี้ ดังนั้นเราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือเขาอีก”

ทุกคนจึงต้องหยุดอยู่กับที่

กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของฉินมู่นั้นมิได้ท่วมซัดมาทางพวกเขา และเหออีอีก็กล่าวด้วยเสียงเบา “เขาก็เผยการยั้งมือที่เหมาะสม…”

พลานุภาพของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ได้สังหารสาวงามนับสิบแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ป๋อชวนตัวสั่นเทิ้มอย่างหยุดไม่อยู่และตะโกนออกไป “จ้าวลัทธิฉิน พวกเราไม่สนทนากันหน่อยหรือ”

เสื้อผ้าเขาสะบัดพลิ้ว แม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษ แต่ก็มีเครื่องประดับมากมายบนร่างกาย มันมีทั้งกำไลเงิน หยก และโซ่ จี้หยก แหวน สร้อยคอ ปิ่นปักผม แม้กระทั่งจี้อายุวัฒนะที่พรั่งพรูออกไปทั้งหมด

พวกมันล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณของเขา และพลานุภาพของมันยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายแล้ว พวกมันมิได้เป็นผลงานของอวี้ป๋อชวน แต่เป็นสมบัติที่ผู้อาวุโสของเขามอบให้เพื่อความปลอดภัย

อาวุธวิญญาณเหล่านี้มีพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ปิ่นปักผมมังกรเขียวสั่นเทิ้มอย่างแผ่วเบา และแปรเปลี่ยนเป็นมังกรเขียวเสียงคำรามของมันครั่นครื้นไปในอากาศ และรูใหญ่ก็ถูกเป่าทะลุท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำ

อวี้ป๋อชวนลิงโลด และรีบกระโดดออกไปผ่านรูนั้น แต่ทันใดนั้น เขาก็สูญเสียการเชื่อมต่อกับปิ่นมังกรเขียว

ถัดมา เขาก็สูญเสียสัมผัสกับสมบัติชิ้นอื่นๆ และความสยองขวัญก็ถั่งโถมเข้ามาในใจเขา เพลงกระบี่อันเพริศแพร้วอย่างที่สุดของฉินมู่ได้สะบั้นการเชื่อมต่อปราณชีวิตระหว่างเขากับสมบัติวิเศษ นี่ทำให้เขามิอาจใช้สอยสมบัติใดแม้ว่าจะมีมันอยู่มากมาย

เพลงกระบี่อันมหัศจรรย์เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!

ขณะที่เขากระโดดออกมาจากกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์นั่นเอง เขาก็เห็นกิเลนมังกรคว้าจับเขาด้วยกรงเล็บ เขารีบถอดเสื้อผ้าชั้นนอกของเขาออก และพวกมันก็ลอยขึ้นทวนกระแสลม พวกมันขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นราวกับว่าเป็นเมฆก้อนหนึ่ง

กรงเล็บกิเลนมังกรตะปบโดนเสื้อผ้า แต่พวกมันอ่อนนุ่มและดูเหมือนจะว่างเปล่า และกิเลนมังกรก็ร่วงจมลงไปในเสื้อผ้าเหล่านั้นลึกขึ้นทุกที

อวี้ป๋อชวนหันกายวิ่งหนีไปด้วยท่อนบนเปลือยเปล่า แต่เขาได้ยินเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากกิเลนมังกรข้างหลังเขา เพลิงไฟพวยพุ่งออกมา และเสื้อผ้าเหล่านั้นก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในพริบตา

“อาจารย์พยุหะ ช่วยข้าด้วย!” อวี้ป๋อชวนตะโกนออกไป “หากว่าข้าตายในเมืองต้นไผ่ของเจ้า พวกเจ้าไม่มีทางหลีกหนีความรับผิดชอบได้!”

เมื่อเขาร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ยอดฝีมือนับร้อยข้างหลังอาจารย์พยุหะก็พากันขมวดคิ้ว

หญิงผู้หญิงกระซิบกล่าว “ถึงอย่างไรนายน้อยอวี้ก็เป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ หากว่าเขาตายที่นี่พวกเราย่อมไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์ หรือป้าโก่ว ก็ล้วนแต่เป็นตัวตนที่ยากจะรับมือ! อาจารย์พยุหะ โปรดไตร่ตรองอีกสามครา!”

เหออีอีส่ายหัว “ไม่ต้องช่วย”

ทุกคนมองกันและกันด้วยความหนักอึ้งในใจ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงกระทำเช่นนั้น

“ข้าไม่สามารถสังหารจ้าวลัทธิมารฟ้าแห่งแผ่นดินภาคกลาง แต่ข้าได้พยายามลงมือกับเขาและ และความบาดหมางก็ก่อเกิด หากว่าข้าไปขัดขวางและช่วยชีวิตนายน้อยอวี้ ความแค้นระหว่างข้ากับจ้าวลัทธิฉินก็จะไม่มีทางคลี่คลายไปได้” เหออีอีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย

“ข้าได้ยินมานานแล้วว่า สันตินิรันดร์แห่งแผ่นดินภาคกลางกำลังอยู่ระหว่างการปฏิรูป พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกคืนวัน และได้ยึดครองทุกๆ สิ่งในหกทิศทาง และกวาดล้างทั้งแปดแดนเถื่อน ทุ่งหญ้าและที่ราบน้ำแข็งก็ล้วนแต่ตกอยู่ในเงื้อมมือของสันตินิรันดร์ อย่างไรก็ตามเป้าหมายต่อไปนั้นมิใช่แดนโบราณวินาศ แต่เป็นแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา หากว่าตำหนักสวรรค์พ่ายแพ้ให้แก่สันตินิรันดร์ ลัทธิมารฟ้าก็จะเข้ามาในแผ่นดินตะวันตก และนั่นก็จะกลายเป็นจุดจบของพวกเรา”

ทุกคนเลือดในกายเย็นเฉียบ

แต่เหออีอียังกล่าวไม่จบ “ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะนายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ป๋อชวนจะไม่มีกลเม็ดในการป้องกันชีวิตของเขาได้อย่างไร นายน้อยอวี้ได้ไล่ล่าไหน่ขุยจนแทบต้อนให้นางตกตาย อันมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้”

ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น เข็มขัดหยกก็พุ่งออกมาจากเอวของอวี้ป๋อชวน และแปลงร่างเป็นงูใหญ่ที่รัดพันกิเลนมังกรอันกระโจนขย้ำเข้าใส่เขา

อวี้ป๋อชวนหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุน แต่แสงกระบี่พลันพุ่งวาบมาสามครา ร่างของอวี้ป๋อชวนแยกออกเป็นสี่ส่วนกลางอากาศ ขาของเขายังวิ่งตะบึงไปข้างหน้า แต่ศีรษะค้างนิ่งอย่างตกตะลึง

หน้าอกเขาก็ถูกผ่าออกเป็นสองแล่ง

ฉินมู่รั้งกระบี่ของเขากลับมา ในจังหวะนั้น อวี้ป๋อชวนที่ถูกผ่าสี่ก็ร่วงลงมาจากอากาศกลายเป็นก้อนไม้สี่ก้อน

“วิชาตัวตายตัวแทนอย่างนั้นหรือ”

ฉินมู่ตะลึงไป เขายกมือขึ้นคว้าจับไจกระบี่ที่ลอยลิ่วออกมาจากถุงเต๋าตี้ของเขา จากนั้นขว้างมันไปอย่างดุดัน

ไจกระบี่ขนาดสองคืบ ส่งเสียงหวีดหวือและปั่นหมุนไปข้างหน้า ข้างในนั้นคือแสงอันเย็นเยียบที่ยิงไปลงไปในพื้นดิน และทะลวงลึกเข้าไปในนั้น!

เงาร่างมนุษย์หนึ่งทะลวงขึ้นมาจากใต้ดิน อันไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากอวี้ป๋อชวน ข้างหลังเขาคือแสงกระบี่อันมุดเข้าใต้ดินเพื่อขับไล่เขาออกมาและไล่ล่าเขาอย่างไม่ยอมให้พักหายใจ

อวี้ป๋อชวนเงยศีรษะขึ้นมาและเห็นไจกระบี่พุ่งมายังศีรษะของเขา และสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน หากว่าเขาถูกโจมตีโดยไจกระบี่อันใหญ่มหึมาไร้ใดเปรียบนั่นล่ะก็ ใบหน้าเขาคงยุบเข้าไปในกะโหลก หรือแม้แต่ทั้งหัวเขาก็คงยุบเข้าไปในอก

ทันใดนั้น ร่างของเขาก็แปลงเป็นดิน และร่วงลงมาจากฟากฟ้า

รอยชั้นพยุหะปรากฏในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขาจ้องมองลงไปยังพื้น สายตาของเขาเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วและพลันสั่นเทิ้ม เขาพุ่งทะยานเลียดดินออกไปจากเมืองต้นไผ่ และซัดใส่กองหินภูเขาที่หน้าเมือง กองหินนั้นพลันระเบิดออก และร่างของอวี้ป๋อชวนก็ปรากฏท่ามกลางหินที่แหลกละเอียด!

“อาจารย์พยุหะ ข้าจะสังหารเขานอกเมือง ถือว่าข้าให้ช่องทางที่ท่านจะเจรจาได้!”

เมื่อเสียงของฉินมู่ดังก้องไปทั้งเมือง เหออีอีก็ขมวดคิ้ว นางเงยศีรษะขึ้นมองไปที่ไกลๆ และเห็นฉินมู่ยื่นมืออกไปคว้าจับมีดของเขา มีดเชือดหมูลอยขึ้นมาเอง และเขาจับด้วยท่าจับย้อน

ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองเฉียดผ่านกันในอากาศราวกับลูกข่างที่หมุนติ้วสองลูก ซัดหมัดแลกมีดกันไปมา

ฉัวะ…

แสงโลหิตฉายส่อง และฉินมู่ร่วงลงเหยียบพื้นดินด้วยศีรษะในมือของเขา โลหิตยังคงหยดติ๋งๆ จากมีดในมืออีกข้าง

ข้างหลังเขา ศพของอวี้ป๋อชวนร่วงลงกับพื้นและกระดอนไปสองตลบ

ข้างในเมือง สีหน้าของอาจารย์พยุหะเหออีอีและยอดฝีมือคนอื่นๆ กลายเป็นเหม่อค้าง เมื่อพวกเขามองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังถือหัวขาด

เสยมีดจากที่ลับ หิ้วศีรษะราชามาในมือ!

เพลงมีดของคนแล่เนื้อ ก็ดุดันโอหังเหมือนกับบทกวีของเขา!

ในตอนนั้น ฉินมู่ก็ทั้งโอหังและดุดัน เขาได้สังหารอวี้ป๋อชวน ผู้ซึ่งเหออีอีคิดว่าจะหนีรอดไปได้!

“นายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ตายไปแล้ว…”

หางตาของทุกๆ คนกระตุกบิดเบี้ยว และอารมณ์ของพวกเขาก็หนักอึ้งอย่างถึงที่สุด

จ้าวลัทธิฉินนำมาเพียงกิเลนมังกรและองค์หญิงน้อย แต่กล้าหาญชาญชัยบุกเข้ามาในแผ่นดินตะวันตก พลางเข่นฆ่าทุกคนที่ขวางทางเขา หลังจากที่เขาเงื้อมีดและสังหารกระทั่งบุตรชายแห่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ เขานั้นก็เหมือนเสือโหยที่เต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน สมกับชื่อเสียงกิตติศัพท์ของจ้าวลัทธิมารฟ้า!

กล่าวกันว่าลมปั่นป่วนเป็นสัญญาณของพายุภูเขา

เจ้าตำหนักสวรรค์แท้และป้าโก่วมีนายน้อยอวี้เป็นบุตรเพียงคนเดียว แต่เขาตายที่นอกเมืองต้นไผ่ จ้าวลัทธิมารฟ้าจากแผ่นดินภาคกลางนั้นนับว่าอำมหิตและเฉียบขาดอย่างแท้จริง ตราบเท่าที่เขาพบโอกาสเพียงน้อยนิด เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือและไม่ปล่อยให้ศัตรูมีความหวังสักนิด!

อยากที่จะหลบหนีจากเงื้อมมือของเขานั้นยากยิ่งกว่ายาก มีแต่ปลาไหลเรียกทวดอย่างผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันเท่านั้นที่สามารถลอดผ่านง่ามมือเขาไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

ความสามารถในการหลบหนีของอวี้ป๋อชวนนั้นเห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าตัวประหลาดเฒ่าที่ดำรงชีวิตมาเป็นหมื่นปีมาก ต่อให้เขาเป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้และป้าโก่วก็ตาม

เหออีอีเดินออกไปจากเมืองและเห็นฉินมู่วางศีรษะของอวี้ป๋อชวนลงไป เขานำไหสุราออกมาและรินสุราจอกหนึ่งเพื่อวางไว้ข้างๆ ศพของศัตรู

“เจ้าชอบมีบทสนทนากับศพที่เจ้าเพิ่งสังหาร” ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและกลืนสุราเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นวางไหลงข้างๆ หัวของอวี้ป๋อชวน พลางกล่าวอย่างเรียบเรื่อย “แต่ข้าไม่ชอบ ไม่มีอะไรคุย ลาก่อน” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเหออีอี

“จ้าวลัทธิฉิน” เหออีอีคราวะทักทาย

ฉินมู่คารวะตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่น “พี่สาวอาจารย์พยุหะ ข้าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร”

เหออีอีมองไปที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆ “จ้าวลัทธิไม่ทราบนามของข้าหรอกหรือ ข้าแซ่เหอ นามอีอี เหอนั้นเป็นแซ่ตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตก และข้าได้เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาจากการสั่งสอนของบิดามารดา”

“ที่แท้ก็อย่างนี้” ฉินมู่กล่าว “ความสำเร็จของพี่สาวอีอีในวิชาพยุหะไม่เลวเลย แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจไขมันออกได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้โลกในภาพวาดเพื่อหลบหนี ที่แท้พี่สาวอีอีก็ได้รับสืบทอดมรดกยุทธจากตระกูลอันเลื่องชื่อของนาง ตระกูลเหอของท่านนั้นนับว่าเหนือธรรมดาในด้านวิชาพยุหะ ดังนั้นท่านนับได้ว่าเป็นอันดับสามในโลกหล้า”

ข้างหลังเหออีอี ทุกคนค่อนข้างมีโทสะ วิชาพยุหะของตระกูลเหอนั้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า อันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทราบกันดี กระนั้นเมื่อออกมาจากปากฉินมู่ พวกเขากลายเป็นอันดับสาม นี่จะไม่ให้มีโทสะได้อย่างไร

เหออีอีมองไปที่เสียงฉีเอ๋อและดูราวจะจดจำนางได้ นางแย้มยิ้มและกล่าวถาม “ข้าไม่สนใจว่าจะเป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับสาม จ้าวลัทธิฉินนำองค์หญิงน้อยไปยังตำหนักสวรรค์แท้นั้นดูค่อนข้างมีแผนการสมคบคิด ในสายตาของข้า ดูราวกับว่าจ้าวลัทธิเพียงเอาชีวิตไปทิ้งเล่นๆ ด้วยการดั้นด้นไปตำหนักสวรรค์แท้ แต่ท่านดูไม่เหมือนผู้คนที่จะทิ้งชีวิตตนเอง ท่านช่วยไขปริศนานี้ได้หรือไม่”

“พี่สาวอีอี ท่านต้องการสนทนาที่นี่จริงๆ น่ะหรือ”

เหออีอีจึงเชิญเขาเข้าไปในเมือง และเข้าไปในโถงวังหลัก ฉินมู่นั่งลงที่นั่นและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อาจารย์พยุหะน่าจะรู้ว่าเหตุใดข้าจึงมาที่นี่ จริงไหม”

เหออีอีสะท้านใจเล็กน้อย และนางร้องออกมา “ท่านวางแผนว่าจะช่วยไหน่ขุยชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับคืนมา! ไหน่ขุยก็อยู่ที่นี่! นางเพียงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง!”

ฉินมู่หัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัว

“พี่สาวอีอีดูแคลนข้าไปแล้ว การเดินทางครั้งนี้ของข้าอยู่ใต้บัญชาของจักรพรรดิ เพื่อมารับแผ่นดินตะวันตกเข้าร่วมจักรวรรดิ!”

ในโถงนั้น ยอดฝีมือทั้งหลายจากทุกสาแหรกตระกูลแห่งเมืองต้นไผ่มองกันไปมา ใต้บัญชาจักรพรรดิ เพื่อมารับแผ่นดินตะวันตกเข้าร่วมจักรวรรดิอย่างนั้นหรือ

ฉินมู่เพียงแค่คนเดียวเนี่ยนะ?

เหออีอีสายตาวูบไหว “น้ำเสียงของจ้าวลัทธิฉินจะไม่โอหังไปหน่อยหรือ ท่านมีคุณสมบัติอะไรถึงจะมายึดครองแผ่นดินตะวันตก”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าคือจ้าวลัทธิมารฟ้า และนั่นก็เป็นคุณสมบัติในตนเอง ลัทธิมารฟ้าของข้ามีผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนล้าน และด้วยการโบกมือของข้าคราวเดียว คนเรือนล้านนี้ก็จะมารวมตัวกัน ด้วยการชี้นิ้วของข้า กองทัพผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายก็จะถล่มทุกสิ่งที่ขวางทางให้ราบเป็นหน้ากลอง”

“แผ่นดินตะวันตกของพวกท่านนั้นสันติสุขมาช้านาน หัวเมืองและแว่นแคว้นต่างๆ ก็มิได้อยู่กันเป็นปึกแผ่น อย่าว่าแต่แสนยานุภาพของจักรพรรดิ แม้เพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะนับล้านของลัทธิมารฟ้าข้าก็เห็นพวกท่านเป็นแค่ไก่กระเบื้องและสุนัขดินเผาที่ไม่อาจทนทานการโจมตีแม้เพียงหวดเดียว!”

เขายืนขึ้นด้วยมือไพล่หลัง “ข้าได้หลอมสร้างปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่ยิงปลิดชีวิตของเทพครองแดนหยกแห่งเหนือฟ้า ข้าได้สยบเทพครองแดนเลี้ยงมังกรและสั่งให้เขาพิทักษ์รักษาแม่น้ำหย่ง จากนั้นก็สยบเทพป๋ายซี่แห่งเหนือฟ้า สั่งให้เขาปกปักษ์ขุนเขาร้อยปี”

“สันตินิรันดร์ของข้าทำศึกที่เทือกเขาเทพทำลาย และขจัดกวาดล้างเทพทุกตนแห่งเหนือฟ้า!” สายตาของเขาประดุจสายฟ้าเมื่อเขากวาดมองไปยังทุกๆ คน “หากว่าข้าหมายจะทำลายล้างแผ่นดินตะวันตกของพวกท่าน ลำบากเพียงแค่ดีดนิ้ว!”

ทุกคนสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ

ฉินมู่จึงแย้มยิ้ม “แต่ข้าไม่ปรารถนาให้ผู้คนแห่งแผ่นดินตะวันตกถูกกวาดล้าง แม้แต่ทำลายสันติสุขที่นี่ข้าก็ไม่ยินดี หากว่าไหน่ขุยได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางคืนมา นางก็จะนำตำหนักสวรรค์แท้ไปสวามิภักดิ์ต่อสันตินิรันดร์ ทหารก็จะไม่ถูกเกณฑ์ไปสักคนเดียว และไม่มีชีวิตใดที่จะถูกทำลาย ดังนั้นข้ามาเสี่ยงชีวิตที่นี่จะเสียหายอะไร ความปลอดภัยของข้ามิได้สำคัญเท่ากับชีวิตของผู้คนทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกเลยแม้แต่น้อย พี่สาวอีอี ท่านจะยื่นมือช่วยเหลือข้าหรือไม่”

เหออีอีมองไปที่ยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งเมืองต้นไผ่ และพบว่าพวกเขาล้วนแต่สะพรึงกลัว

นางขมวดคิ้ว จากนั้นก็มีรอยยิ้มคลี่ออกมาประดับริมฝีปาก “จ้าวลัทธิฉินกล่าวว่าวิชาพยุหะของข้าเป็นอันดับสามในโลกหล้า ดังนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าผู้ใดคืออันดับหนึ่ง และผู้ใดคืออันดับสองด้วยเช่นกัน อีอีใคร่จะล้างหูรับฟังเรื่องนี้”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท