บทที่ 65 ลำดับที่นั่ง
ภูมิหลังของครอบครัวหลี่เหวินกวงนั้นดีอยู่แล้ว ในตอนนี้เขาอายุยังน้อยก็สามารถขึ้นเป็นหัวหน้าได้ และยังเป็นหัวหน้าส่วนของสำนักงานอุตสาหกรรมและการค้าขายของแผนกสำคัญด้วย นอกจากนี้คุณลุงของเขายังเป็นรองของสำนักอีกฝ่ายหนึ่ง พูดได้ว่าเขานั้นมีความภาคภูมิใจอย่างมาก
“หัวหน้าหลี่ สวัสดีครับ”
“สวัสดีหัวหน้าหลี่ นี่นามบัตรฉันค่ะ”
“โอ้โห หัวหน้าหลี่ไม่เจอกันตั้งนาน วันนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับนะ”
การเดินทางมาถึงของหลี่เหวินกวงทำให้งานเลี้ยงในครั้งนี้รื่นเริงครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง เพื่อนๆจำนวนมากทยอยเข้าไปทักทายเขา ด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ
ทำให้สาวสวยอย่างหยูลี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธองดงามขนาดนี้แต่ไม่มีใครเดินเข้ามาทักทายเธอเป็นอันดับแรก
นี่ทำให้เธอรู้ว่าการมีอำนาจในสังคมนั้นสำคัญเพียงใด
ในสังคมปัจจุบันความคิดเหล่านี้ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจของทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร การได้เข้าทำงานในระบบเป็นตัวเลือกอันดับแรกจริงๆ
แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานอยู่ภายใน ก็ต้องหาวิธีสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจภายในระบบให้ได้ หากไม่มีคนรู้จักหรือผู้ที่ทำงานอยู่ภายใน ถ้าพูดออกไปก็คงอายน่าดู
“ทุกคนนั่งลงเถอะ เรามาต่อกันให้สนุก เพื่อนกันแท้ๆไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ มาๆสนุกกันต่อ” หลี่เหวินกวงพูดออกมาด้วยความเป็นกันเอง
“ไปๆๆ ห้องข้างๆฉันจัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว” จ่าวเทียนหยู่เดินเข้ามาแล้วพูดเสียงดัง
“ไปกันเถอะกินข้าว” หลี่เหวินกวงก็พูดตาม จากนั้นทุกคนจึงเดินตามจ่าวเทียนหยู่ออกไป
หลี่เหวินกวงมองไปที่ลู่เฉินที่นั่งอยู่โดยไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินออกไปเช่นกัน
ห้อง VIP ข้างๆนั้นใหญ่กว่าห้องเมื่อสักครู่ ภายในห้องมีทั้งหมด 5 โต๊ะ บนโต๊ะมีอาหารวางเต็มอย่างอุดมสมบูรณ์ที่รอเพียงคนมาครบก็สามารถลงมือรับประทานได้
เมื่อทุกคนมาถึง ก็จัดแจงหาที่นั่งที่เหมาะสม
แม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้มีการจัดแจงไว้ แต่หลังจากทุกคนได้สนทนากันเบื้องต้น ก็พอจะรู้ว่าตอนนี้หน้าที่การงานของใครอยู่ตำแหน่งไหน จึงได้จัดแจงหาที่นั่งให้แก่ตัวเอง
พวกที่มีหน้าที่การงานดีก็นั่งโต๊ะเดียวกัน ส่วนพวกที่หน้าที่การงานไม่ดีนักก็นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
ส่วนโต๊ะใหญ่ แน่นอนว่าหลี่เหวินกวงเป็นประธานในโต๊ะ และยังมีจ่าวเทียนหยู่ที่ไม่เป็นเพียงทายาทเศรษฐีแต่เขาเองก็ได้เปิดบริษัทของตนเองด้วย ส่วนในโต๊ะนั้นหน้าที่การงานแย่ที่สุดก็เป็นนักศึกษาจบจากเมืองนอกกลับมามีความสามารถไร้ขีดจำกัด
ทางด้านหลินอี้จุนไม่ได้อวดตัวว่าโดดเด่น เนื่องจากเธอเป็นคนขี้อาย และตอนคุยกันแค่บอกกับเพื่อนว่าเธอทำงานด้านการขาย ทุกคนคิดว่าเธอเป็นแค่พนักงานขายของธรรมดา
แม้ว่าตอนเรียนหนังสือนั้นเธอจะเป็นดาวของมหาลัย แต่ยังไงตอนนี้เธอก็แต่งงานแล้ว ดังนั้นหลี่เหวินกวงเองก็ไม่ได้เชิญเธอมาร่วมโต๊ะด้วย
จบจากมหาวิทยาลัยมาสี่ปี จากบรรดาเด็กน้อยที่หอบหิ้วความฝัน เข้าสู่สังคมไม่กี่ปีก็ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป
“อ้าว ไม่มีที่นั่งแล้วลู่เฉินและอู๋เล่ยไปเข้าห้องน้ำกลับมา พบว่านอกเหนือจากโต๊ะใหญ่แล้วโต๊ะอื่นก็นั่งเต็มหมด
“ไปนั่งกันเถอะ ที่โต๊ะใหญ่” ลู่เฉินยิ้มเบาๆ
“อู๋เล่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็เดินตามลู่เฉินไปที่โต๊ะใหญ่
โต๊ะอื่นไม่มีที่ว่างแล้ว จะให้พวกเขายืนกินก็คงไม่ได้
เมื่อมองเห็นสองคนนั้นไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ คนอื่นๆก็มองด้วยสายตาไม่พอใจ
และส่งสายตาหัวเราะดูถูกไปยังทั้งสอง
โต๊ะที่หลี่เหวินกวงนั่งอยู่นั้นยังเหลือที่ว่าอีกสี่ที่ เมื่อลู่เฉินและอู๋เล่ยเดินไปถึงก็หาที่นั่งสองที่ที่ว่างอยู่แล้วนั่งลง
สี่คนที่นั่งอยู่ในโต๊ะนั้นมองมายังพวกเขาทั้งสองด้วยสายตาแปลกประหลาด
แม้จะไม่ได้เขียนชื่อติดไว้ที่โต๊ะ แต่ก็ควรรู้ว่าใครควรนั่งตรงไหน
ทุกคนล้วนโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว สำหรับคนที่เคยเข้าสังคมคงเข้าใจดี ว่าสำหรับงานเลี้ยงแต่ละครั้งตนควรนั่งตรงไหน
หากอยากนั่งที่โต๊ะประธานก็ควรจะมีคุณสมบัติเพียงพอถึงจะไปนั่งได้
หลี่เหวินกวง เห็นใบหน้าอันสงบนิ่งของลู่เฉินก็ขมวดคิ้ว จากเหตุการณ์เมื่อวานตัวเขาเองสงสัยในฐานะตัวตนที่แท้จริงของลู่เฉินอยู่แล้ว ในวันนี้เขากล้ามานั่งที่โต๊ะประธานโดยไม่เกรงกลัวใดๆ หรือเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตจริงๆ+
แต่สำหรับหยูลี่แล้วคิดต่างไปจากหลี่เหวินกวง เธอรู้สึกว่าลู่เฉินก็เป็นเพียงคนที่บังเอิญรู้จักกับเจ้าของร้านหยก 36 เท่านั้น จึงได้รับการเคารพจากพนักงานในร้าน สำหรับเธอลู่เฉินเป็นแค่คนไร้อาชีพคนหนึ่ง
กระทั่งคิดว่าลู่เฉินเพียงแค่เกาะหลินอี้จุนกินไปวันๆ
“ลู่เฉิน เมื่อวานไม่ได้ขอให้สามีฉันหางานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เหรอ พรุ่งนี้อย่าลืมไปที่ตึกแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยเช้าหน่อยนะ” หยูลี่กึ่งพูดกึ่งขำ
“อะไรนะ บ้าน่า ลู่เฉินตอนนี้แกแย่ขนาดนี้เลยหรอวะ แค่ยามตำแหน่งเดียวยังต้องให้คนอื่นช่วยหาให้”
“ที่บริษัทเราก็ต้องการยามนะ ถ้าแกมาดื่มให้ฉันสักแก้วแล้วก็ฉันกลับไปช่วยพูดให้ได้บ้าง ไปเป็นยามที่บริษัทฉันเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยูลี่ คนอื่นๆก็หัวเราะเยาะกันตามมา
แม้ว่าในคำพูดของทุกคนจะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ และพวกเขาไม่ควรที่จะพูดออกมาเช่นนี้ แต่ใครใช้ให้สองคนนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกันล่ะ
“อี้จุน เรียกสามีของเธอมานั่งที่นี่เถอะ โต๊ะของเรายังสามารถเพิ่มเก้าอี้ได้อีกสองตัว เพื่อนสนิทของหลินอี้จุนชื่อหูหมิน จับมือเธอแล้วพูดด้วยเสียงอันเบา
หลินอี้จุนเองก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่คิดแล้วส่ายหัว
หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงต้องไปลากลู่เฉินกลับมาแน่
แต่ช่วงนี้มองดูการเปลี่ยนแปลงไปของลู่เฉิน ทำให้เธอรู้จักเขาอีกในมุมหนึ่ง ลู่เฉินมีความมั่นใจในตัวเองสูงและก็เธอเองมั่นใจในตัวของลู่เฉินเช่นกัน
อีกอย่างในตอนนี้ลู่เฉินไม่ได้เป็นพวกกระจอกธรรมดาทั่วไป เขาเป็นเศรษฐีร้อยล้าน หากพูดให้ไม่น่าฟัง ก็สามารถบอกได้ว่า บรรดาคนที่นั่งอยู่นี้รวมกันแล้วยังมีเงินไม่มากเท่าลู่เฉิน
“ช่างเถอะ ไม่ต้องยุ่งกับเขา เขาทำแบบนี้ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน” หลินอี้จุนส่ายหัวแล้วพูด
“อี้จุน อย่าหาว่าฉันอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ แต่ตอนนั้นที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับลู่เฉินแล้วทิ้ง หลี่เหวินกวงไป พวกเราทุกคนก็บอกว่าเธอมีตาหามีแววไม่ หลังจากเรียนจบเธอไปแต่งงานกับลู่เฉินซะได้ ตอนที่ได้ยินข่าวคราวนี้พวกเราก็คิดว่าเธอบ้าไปแล้วแน่ คนดีเพียบพร้อมไม่เลือก เลือกคนที่ไร้ความสามารถ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ” หูหมินถอนหายใจ
“ฉันว่าดีออกนะ ลู่เฉินเองก็ดีกับฉันมาก” หลินอี้จุนยิ้ม คิดดูแล้วนอกเหนือจากช่วงที่ลูกสาวป่วยและนอนโรงพยาบาล เนื่องจากเธออารมณ์ไม่ดีและชอบใส่อารมณ์กับลู่เฉินอยู่บ่อยๆทำให้ลู่เฉินเองก็อารมณ์เสียเช่นกัน พวกเขาจึงทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง นอกเหนือจากนั้นหลังจากแต่งงานกันมาหลายปี เธอกับลู่เฉินก็ไม่เคยมีปัญหาอื่น
ถึงแม้เธอจะหวังว่าลู่เฉินจะสามารถหาเงินได้มากกว่านี้ และเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่สำหรับเธอสิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คือความรู้สึกของคนทั้งสอง
เมื่อเห็นหลินอี้จุนเป็นดังนี้หูหมินเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเช่นนั้น แม้พวกเขาจะพูดกับลู่เฉิน แต่อู๋เล่ยเองตอนนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลงไปรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินของที่นี่
ลู่เฉินไม่ได้สนใจคนอื่น เขาหันไปทางอยู่หยูลี่แล้วพูดว่า “โอเค ขอบคุณล่วงหน้าด้วยนะ”
สายตาของหยูลี่แสดงออกมาถึงการดูถูก หลี่เหวินกวงนั้นกลับมองด้วยความสงสัย
หรือว่าเขาคิดมากไปเอง 22เพียงแค่รู้จักกับเจ้าของร้านหยก 36 เท่านั้นจริงๆหรือ?
จ่าวเทียนหยู่ส่ายหัว สำหรับเขานั้นถ้าจะไปติดใจเอาความกับคนกระจอกอย่างลู่เฉิน คงจะเสียศักดิ์ศรีเกินไป
เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทางเพื่อนๆพูดว่า “เพื่อนๆครับ ก่อนที่จะดื่มกันอย่างสำราญใจ ผมคิดว่าเราควรดื่มให้เกียรติกับประธานในวันนี้เสียหน่อย