ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 457 ตระกูลหลิ่วแห่งหุบเขาฝังเทพยดา

ตอนที่ 457 ตระกูลหลิ่วแห่งหุบเขาฝังเทพยดา

เสียงฉีเอ๋อกอดลูกแก้วมังกรเขียว ในเมื่อมันค่อนข้างลูกใหญ่ ขนาดเท่ากับกำปั้นของผู้ใหญ่ นางนั้นอายุเยาว์เกินไป และต้องประคองมันไว้ด้วยความพยายามอยู่หน่อยๆ

ฉินมู่เห็นปฏิกิริยาของหลิ่วหรูยิน และรู้ทันทีว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง ลูกแก้วมังกรเขียวนี้จำเป็นต้องใช้เด็กหญิงอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสามาปลดปล่อยพลานุภาพของมันจริงๆ

มิน่าล่ะ แผ่นดินตะวันตกถึงให้ความสำคัญกับองค์หญิงน้อยนัก

หลิ่วหรูยินปิดหน้าของนางไว้ด้วยแขนเสื้อ เผยดวงตาเพียงข้างเดียว มันเป็นสีขาวผีสางและมีแก้วตาดำเล็กจิ๋วเท่าเม็ดถั่วเหลืองอยู่ตรงกลางอันดูพิลึกประหลาด

“จ้าวลัทธิ โปรดอย่าเข้าใจผิด”

ข้างหลังหลิ่วหรูยิน เสียงระเบิดดังมาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ เมื่อ ‘ศพ’ ทั้งหลายที่ไม่รู้เป็นหรือตายร่วงกลับลงไปในโลงที่ปิดกลับเข้าไปเองโดยอัตโนมัติ

หลิ่วหรูยินก็กระโดดกลับเข้าไปในโลงของนางพลางหัวเราะคิกๆ “พวกเราเพียงแต่มาดูว่าองค์หญิงน้อยสบายดีหรือไม่ บัดนี้พวกเราพบว่าองค์หญิงปลอดภัยดี หรูยินก็ค่อยหายห่วง ลาก่อน!”

โลงนั้นงอกขาออกมาอีกครั้ง และวิ่งกลับไปทางหน้าผา

“ผู้นำตระกูลหลิ่ว โปรดรอสักประเดี๋ยว” ฉินมู่กล่าวทันที

หลิ่วหรูยินผู้ซึ่งกำลังจะปิดฝาโลงของนางก็ชะงักเมื่อได้ยินเขากล่าว นางยืดตัวขึ้นมาและเค้นรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิเหลือทางรอดให้พวกเราบ้าง อย่าอำมหิตนัก”

เสียงของนางสั่นเทิ้ม และดูเหมือนกับว่านางหวาดผวาอย่างเป็นที่สุด

ฉินมู่ฉงนฉงาย นี่มันก็แค่ลูกแก้วมังกรเขียวไม่ใช่หรือ

เสียงฉีเอ๋อถือมันอยู่ และแม้ว่านางจะสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของมันได้ แต่มันก็ไม่น่าจะน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นนี่นา…ทำไมหลิ่วหรูยินและคนอื่นๆ ถึงต้องแตกตื่นขนาดนั้น

“ผู้นำตระกูลหลิ่ว พวกเจ้ามาตามคำสั่งของตำหนักสวรรค์แท้ใช่หรือไม่” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ในเมื่อมันเป็นคำสั่ง ก็ต้องมียอดฝีมือแห่งตำหนักสวรรค์แท้อยู่ในตระกูลเจ้าสินะ? ข้าอยากจะพบพวกเขาเสียหน่อย ไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลจะแนะนำให้ข้ารู้จักได้หรือไม่”

หลิ่วหรูยินตะลึงไปเล็กน้อย สีหน้าของฉินมู่ดูอบอุ่นราวสายลมฤดูใบไม้ผลิเมื่อเขาแย้มยิ้ม “ผู้นำตระกูลหลิ่วอาจจะยังไม่ทราบ แต่ข้าไม่มีจิตเจตนาร้ายต่อแผ่นดินตะวันตก ข้ามาที่นี่เพื่อเที่ยวชมทิวทัศน์และวัฒนธรรมพื้นถิ่นเท่านั้น สาเหตุที่ข้าพาองค์หญิงน้อยมาด้วย นั่นก็เพียงเพราะว่านางเป็นคนของแผ่นดินตะวันตกและคุ้นเคยกับภูมิประเทศมากกว่าข้า”

“คุ้นเคยกับภูมิประเทศของแผ่นดินตะวันตก?” หลิ่วหรูยินกะพริบตาใส่เขา

เสียงฉีเอ๋อนั้นอายุเพียงราวๆ หกขวบ และอาศัยอยู่แต่ในตำหนักสวรรค์แท้ตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งเดียวที่นางน่าจะคุ้นเคย ก็คงจะเป็นภูมิประเทศในเขตรั้วบ้านนาง อย่างนั้นนางจะมีความทรงจำภูมิประเทศของแผ่นดินตะวันตกได้อย่างไร ปล่อยให้เสียงฉีเอ๋อนำทาง ไม่แตกต่างอะไรจากปล่อยให้คนตาบอดคลำช้าง

จ้าวลัทธิฉินจากแผ่นดินภาคกลางผู้นี้ ช่างมีวิธีโกหกจริงๆ

คำพูดต่อไปของหลิ่วหรูยินจึงเลือกสรรเป็นอย่างดี “จ้าวลัทธิฉิน มังกรข้ามแม่น้ำไม่อาจสู้งูเจ้าถิ่น แม้ว่าปูมหลังความเป็นมาของท่านจะยิ่งใหญ่ แต่ตระกูลหลิ่วของข้าก็มิอาจตอแยได้โดยง่ายเช่นกัน โปรดระวังการดิ้นรนที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันของพวกเรา”

ฉินมู่มองไปที่นางด้วยความตื่นตระหนก “ผู้นำตระกูลหลิ่วพูดอะไรน่ะ ข้าเพียงแต่ต้องการพบกับศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับพวกเขา ข้ามิได้คิดอะไรไม่ดีเลย หากว่าข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ ข้าคงบอกให้องค์หญิงน้อยกระตุ้นการทำงานของลูกแก้วมังกรเขียวไปแล้ว และท่านคิดหรือว่าพวกท่านจะหนีรอดไปได้”

สีหน้าของหลิ่วหรูยินเดี๋ยวก็เผือดเดี๋ยวก็คล้ำ แต่ทว่าฉินมู่ใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง เขาเพียงแต่ยืนอยู่ที่นั่นและรอคำตอบของนาง

เขามิได้พูอะไรสักคำ และ ‘ศพ’ ทั้งหลายในโลงก็มิกล้าลงมือใดๆ

ผ่านไปสักพักหนึ่ง หลิ่วหรูยินก็หัวเราะคิกคัก และกล่าว “ในเมื่อจ้าวลัทธิฉินกล่าวเช่นนั้น ข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร จ้าวลัทธิ โปรดเข้ามาในโลงศพของข้า และให้ข้าพาท่านไปยังตระกูลหลิ่วเพื่อพบปะศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ข้าไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิจะมีขวัญกล้าพอหรือไม่”

ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่นาง “จะยากอะไรล่ะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็อุ้มเสียงฉีเอ๋อและกระโดดลงจากหลังกิเลนมังกร เดินมายังข้างๆ โลงศพของหลิ่วหรูยิน

เมื่อเขามองไปข้างใน ก็อดสะท้านหวั่นไหวไม่ได้ โลงศพนี้เมื่อมองจากข้างนอกดูไม่ใหญ่โต แต่พื้นที่ข้างในนั้นน่าตระหนก ความกว้างและความยาวของมันมากกว่าสิบห้าวา และมีความลึกถึงเจ็ดแปดวาอีก มันเหมือนกับบ้านใหญ่หลังหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีโต๊ะ เก้าอี้ และกระทั่งเตียงหยก มันแบ่งออกเป็นหลายห้อง และมีทั้งครัวและห้องนั่งเล่น กระทั่งมีที่ให้คนรับใช้พักอาศัย ทำให้มันดูไม่ต่างอะไรไปจากราชวังประณีตและเล็กจิ๋วหลังหนึ่ง

ฉินมู่เดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เมื่อหลิ่วหรูยินกระโดดออกมาจากโลงศพ เขาก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เขานึกว่าผีดิบได้กระโดดออกมา ไม่นึกเลยว่าอันที่จริงแล้วเป็นสถานที่พักอาศัยของนาง

เขามองไปยังโลงดำหลังอื่นๆ และครุ่นคิดสงสัย หรือว่าพวกมันทั้งหมดจะเป็นแบบเดียวกันนี้ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ตระกูลหลิ่วพักอาศัย โลงศพเหล่านั้นงอกขาออกมาและเดินไปด้วยตนเอง แม้ว่าจะใช้วิธีการอันแตกต่างจากพี่สาวอีอีในการเสกเมืองให้เคลื่อนไหวได้ แต่ก็มหัศจรรย์และได้ผลลัพธ์ทำนองเดียวกัน

“มังกรอ้วน เจ้าก็เข้ามาด้วยสิ!” ฉินมู่หันไปส่งยิ้มให้กับเขา

กิเลนมังกรดูลังเลเล็กน้อย และส่ายหัว “จ้าวลัทธิ ข้านั้นถือโชคลางอยู่หน่อยๆ ดังนั้นข้าขอไม่เข้าไปดีกว่า”

ฉินมู่ด่าเขาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ จากนั้นพาเสียงฉีเอ๋อเข้าไปในโลงศพ ทิ้งกิเลนมังกรไว้ข้างนอกหลิ่วหรูยินปิดโลงด้วยเสียงปัง และพวกเขาก็รีบจากไปพร้อมกับโลงศพอันวิ่งไปข้างหน้า บางโลงก็ลอยไปในอากาศ คุ้มกันหลิ่วหรูยินข้ามภูเขา

กิเลนมังกรตามไปข้างหลังพวกเขา และหลังจากข้ามเขาไปหลายลูก โลงดำของตระกูลหลิ่วมากมายก็ลอยว่อนไปมาราวกับเรือดำบนฟากฟ้า พวกมันก่อขึ้นมาเป็นแถวขบวนเมื่อเข้าไปในปากสุสานใหญ่มหึมา

กิเลนมังกรตัวสั่นเทาพลางบ่นพึมในใจ แต่ทว่า เขาก็ยังคงฝืนใจกล้าเข้าไปในสุสานนั้นพร้อมกับขบวนโลงศพ

ในโลง ฉินมู่นั่งพร้อมกับอุ้มเสียงฉีเอ๋อเอาไว้บนตัก หลิ่วหรูยินนั่งตรงกันข้ามกับเขา และทั้งสองฝ่ายมองซึ่งกันและกันอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศเคร่งขรึมเงียบงัน

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็แย้มยิ้มและกล่าว “ผู้นำตระกูลหลิ่ว ใครคือประมุขของพวกท่านหรือ”

แก้วตาดำเล็กเท่าเม็ดถั่วในดวงตาหลิ่วหรูยินหมุนเกลียววน ก่อนจะหดกลับมาเท่าเดิม นางส่งยิ้มกลับไปให้เขา “จ้าวลัทธิฉินเป็นคนนอก ดังนั้นท่านอาจจะไม่รู้เรื่องตระกูลหลิ่วของข้า ข้าเป็นประมุขของที่นี่”

ฉินมู่ตกตะลึง “ถ้าเช่นนั้น ข้าเรียกท่านว่าผู้นำตระกูลหลิ่วก็ถูกต้องแล้วสิเนี่ย พี่สาวหรูยิน วิชาตระกูลหลิ่วของท่านแปลกประหลาดเสียจริง เมื่อข้าเห็นพวกท่านเมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งหมดเป็นซากศพเสียอีก! ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไมจึงทำเช่นนี้”

หลิ่วหรูยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ และตวัดตามองเขาด้วยความยินดีที่ปิดไม่มิด “ปากของเจ้าหวานจริงๆ ผู้คนของเผ่าพันธุ์ข้า โดยเฉพาะพวกผู้ชาย มีคนไหนบ้างที่กล้าปากหวานอย่างนี้เวลาเจอข้า แค่พวกเขาไม่ขวัญหนีดีฝ่อตายก็บุญขนาดไหนแล้ว! ผู้ชายตัวเหม็นบางพวกฉี่ราดด้วยความหวาดผวา และบางพวกก็วิญญาณกระเจิดกระเจิงหลุดจากร่าง ในทางกลับกัน จ้าวลัทธิกลับสามารถสนทนากับข้าอย่างแช่มชื่นและเรียกข้าว่าพี่สาวได้”

เสียงฉีเอ๋องุนงงและคิดในใจ ดูเหมือนพี่ชายจะเรียกผู้หญิงทุกคนที่เขาพบปะว่าพี่สาว…

ปราณศพรอบกายหลิ่วหรูยินกลายเป็นเบาบางลงเมื่อนางเผยยิ้ม “วิชาฝึกปรือของตระกูลหลิ่วพวกข้านั้นแตกต่างจากทั่วไป เมื่อพวกเรายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครที่แซ่หลิ่ว มีแต่หลังจากตายไปแล้วถึงกลายเป็นคนแซ่หลิ่ว”

ฉินมู่สะท้านใจและเขาร้องออกมา “พวกท่านทั้งหมด!”

“ตระกูลหลิ่วแห่งแผ่นดินตะวันออกของพวกข้ามีที่มาอันโบราณกาลเป็นอย่างยิ่ง อันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีพรายวิญญาณกำเนิดขึ้นมาในซากศพ เล่าขานกันว่าบรรพชนตระกูลหลิ่วถูกกลบฝังไว้ใต้ต้นหลิว แต่ไม่นานนักก็เกิดพรายวิญญาณขึ้นมาในศพ และเขาก็ตั้งแซ่ของตนว่าหลิ่ว”

“เพราะว่าพวกเราถือกำเนิดจากศพ กายเนื้อของพวกจึงตายไปแล้ว และไม่อาจให้กำเนิดทายาท แต่ทว่าพวกเรายังคงมีอายุขัย เมื่อดวงจิตของพวกเราสิ้นอายุขัย ดวงวิญญาณพวกเราก็จะกระจัดกระจายไป ผู้คนข้างนอกกล่าวว่าตระกูลหลิ่วของพวกเรานั้นพิลึกกึกกือ และไม่ติดต่อกับผู้คนภายนอก แต่พวกเขาเข้าใจผิด มิใช่ว่าพวกเราไม่อยากจะติดต่อกับผู้คนภายนอก แต่เพราะว่าพวกเราล้วนแต่เป็นพรายวิญญาณที่ก่อเกิดจากซากศพ ดังนั้นพวกเราจึงกริ่งเกรงว่าจะถูกจับไปทำเป็นอาวุธวิญญาณ”

“เมื่อยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ขอให้ท่านจัดการกับข้า และพวกท่านตกลง หรือว่าตำหนักสวรรค์แท้มีความสามารถที่จะทำลายล้างตระกูลหลิ่ว และหลอมสร้างพวกท่านให้เป็นอาวุธวิญญาณใช่หรือไม่” ฉินมู่ถามด้วยเสียงเย็นเยียบ

หลิ่วหรูยินสีหน้าแปรเปลี่ยน

ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและสีหน้าของเขาก็กลับมาชื่นมื่นเหมือนเดิม เขาแย้มยิ้ม “พี่สาวหรูยิน การที่ท่านเป็นผู้นำตระกูลหลิ่วได้ วรยุทธของท่านต้องเหนือล้ำกว่าข้าไปไกล เช่นนั้นท่านจะยังหวาดกลัวข้าอยู่ได้อย่างไร น้องชายผู้นี้เพียงแต่อวดโอ่ขึงขัง และรู้จักแต่ข่มขวัญผู้คนเท่านั้น จริงๆ แล้วข้าไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย”

หลิ่วหรูยินถอนหายใจโล่งอกและยิ้มกลับไป “เจ้าทำให้พี่สาวผู้นี้ตกใจจริงๆ แล้ววรยุทธของจ้าวลัทธิฉินอยู่ขั้นใด”

“ข้านั้นอยู่เพียงแค่ขั้นหกทิศ พี่สาววางใจได้หรือยัง” ฉินมู่กล่าวไปตามตรง

หลิ่วหรูยินคลายใจลงจริงๆ แต่นางก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับลูกแก้วมังกรเขียวในมือของเสียงฉีเอ๋อ

วัตถุชิ้นนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ร้ายกาจที่สุดต่อตระกูลหลิ่ว เมื่อพลานุภาพของลูกแก้วมังกรนี้ขับเคลื่อนออกไป ไม่ว่ายอดฝีมือตระกูลหลิ่วจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีวันต่อต้านมันได้!

สาเหตุที่ตระกูลหลิ่วยอมสยบต่อตำหนักสวรรค์แท้นั้นก็เพราะลูกแก้วมังกรเขียว

“พี่สาวหรูยิน ใครคือคนที่มาจากตำหนักสวรรค์แท้หรือ วรยุทธของพวกเขาเป็นอย่างไร”

“คนที่มาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลอวี้แห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้หรูอี้” หลิ่วหรูยินกล่าว “ยอดฝีมือตระกูลอวี้นี้มีวรยุทธขั้นเป็นตาย และนางก็ไม่ธรรมดา”

ฉินมู่ผงกหัวน้อยๆ ผู้คนในแผ่นดินตะวันตกมิได้มองเห็นว่าขั้นวรยุทธเป็นสิ่งสำคัญมากนัก ในเมื่อวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมิได้อิงอยู่กับวรยุทธเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ในทางกลับกันมันอิงอยู่กับการตรึกตรองเข้าใจธรรมชาติและฟ้าดิน ยิ่งมีความคิดอันบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็ยิ่งจะสามารถสื่อสารกับฟ้าและดินได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น

แน่ล่ะว่ายิ่งมีวรยุทธสูงมากเท่าไร ทักษะเทวะเสกสรรของพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น วรยุทธยังสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อกำลังความสามารถของผู้ฝึก แต่สำหรับผู้คนแผ่นดินตะวันตกแล้ว สัมผัสและปฏิภาณความเข้าใจต่อธรรมชาตินั้นสำคัญที่สุด

“พี่สาวหรูยินน่าจะวางใจได้แล้วสินะ?” ฉินมู่กล่าว “พี่สาวคนนั้นอยู่ในขั้นเป็นตายส่วนข้านั้นเพียงขั้นหกทิศ หากว่าพี่สาวหรูอี้หมายจะฆ่าข้า ท่านต้องช่วยปกป้องข้านะ”

หลิ่วหรูยินมีสีหน้าลำบากใจ และกล่าวอย่างอิดออด “อวี้หรูอี้และข้าเป็นสหายกันและข้าเพียงสามารถรับประกันว่านางจะไม่แตะต้องเจ้าในหุบเขาฝังเทพยดาเท่านั้น ส่วนข้างนอก ข้าไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของจ้าวลัทธิ”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าวขอบคุณ “ต้องรบกวนพี่สาวแล้ว ว่าแต่หุบเขาฝังเทพยดาที่พวกท่านอาศัยอยู่เป็นสถานที่เช่นไรหรือ”

หลิ่วหรูยินแย้มยิ้ม “พวกเราอยู่ข้างในหุบเขาฝังเทพยดาแล้วตอนนี้ จ้าวลัทธิฉิน เชิญออกจากโลงศพ!”

โลงเปิดฝาออก และหลิวหรูยินก็พาเขาออกไปข้างนอกเพื่อมองไปรอบๆ พวกเขาอยู่ในโลกใต้ดินอันแผ่ขยายออกไปทุกทิศทาง มันมีทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าแห่งสุสาน และในบริเวณรอบๆ ก็มีเส้นทางนำไปสู่โถงเก็บศพทุกชนิดทุกขนาด ทั้งยังมีโลงศพมากมายเดินเข้าๆ ออกๆ ดูพลุกพล่าน

โลงศพเล็กโลงหนึ่งเหาะมา และฝาของมันก็พลิกเปิด เผยให้เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในนั้น นางนั่งอยู่ที่ขอบโลงและกล่าว “ท่านแม่ ผู้นี้คือใคร”

ฉินมู่มองไปยังหลิ่วหรูยินด้วยความสงสัย นางมองไปที่เด็กผู้นี้ด้วยแววตาเศร้าโศก จากนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล “นี่คือทาริกานานนานของข้า นางตายพร้อมกับข้า และพวกเราทั้งคู่ก็ถูกผู้อาวุโสปลุกขึ้นมา ดังนั้นพวกเราจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่…อย่าพูดเรื่องนี้เลย เจ้าบอกว่าอยากพบกับอวี้หรูอี้มิใช่หรือ ให้ข้าไปเรียกนางมาแนะนำให้เจ้ารู้จักเถอะ ข้าอาจจะช่วยคลี่คลายความเข้าใจผิดระหว่างพวกเจ้าได้ นานนาน อยู่ที่นี่กับพี่ชายคนนี้ไปก่อนนะ”

เด็กหญิงรับคำด้วยเสียงหวาน และเพ่งพิศมองฉินมู่ด้วยความสนใจใคร่รู้

ฉินมู่ไม่กล้าดูแคลนนาง แม้ว่าเด็กหญิงน้อยจะเป็นธิดาของหลิ่วหรูยิน แต่พวกนางถูกปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาพร้อมๆ กัน ดังนั้นวรยุทธของนางก็น่าจะทัดเทียมกับหลิ่วหรูยิน พวกนางล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในขั้นเป็นตาย หรือไม่ก็สะพานเทวะ!

เขามองไปยังใจกลางหุบเขาฝังเทพยดา และเห็นโลงศพทองคำตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น มันถูกรัดพันไปด้วยโซ่หนาใหญ่เต็มไปหมด และมียันต์กระดาษเหลืองแปะไปทั่ว อักษรรูนทุกประเภทถูกวาดเอาไว้บนยันต์เหล่านั้น

“ใครอยู่ในโลงนั้นหรือ ทำไมมันถึงถูกลั่นดาลเอาไว้ล่ะ” ฉินมู่ถามด้วยความใคร่รู้

“ท่านแม่บอกว่ามีเทพเจ้าตนหนึ่งที่ศพของเขาได้กลายเป็นพรายวิญญาณ นอนอยู่ข้างในนั้น แต่ทว่า ทุกๆ คนกลัวว่าเขาจะออกมาก่อกรรมทำเข็ญ จึงได้ลั่นดาลเขาเอาไว้”

“ที่แท้ก็อย่างนี้” ฉินมู่แย้มยิ้มแล้วมองลงไปข้างล่าง “นานนาน ให้ข้าเล่นกลให้เจ้าดู” หลังจากที่เขากล่าว เขาก็นำเนตรหยกลูกใหญ่ขึ้นมา “เนตรนี้ของข้าสามารถเปล่งแสงได้”

เด็กหญิงมองไปที่เขาด้วยความตื่นเต้น “มันจะเปล่งแสงได้อย่างไรหรือ”

ในตอนนั้นเอง เสียงของหลิ่วหรูยินก็มาถึงพวกเขา “หรูอี้ นั่นคือจ้าวลัทธิฉิน หากว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจผิดอะไร ข้าก็ไม่เกี่ยงที่จะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย…”

เสียงของเด็กสาวอีกคนดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก “คลี่คลายความบาดหมาง? เยี่ยมเลย เขาเพียงแค่ต้องส่งองค์หญิงน้อยมาให้ข้า จากนั้นความบาดหมางทุกอย่างก็จะคลี่คลาย”

ในตอนนั้นเอง แสงสีขาวผุดผาดราวหิมะก็พลันฉีกทำลายความมืดสลัวในหุบเขาฝังเทพยดาก่อนที่จะหายวับไปในพริบตา

เสียงหัวเราะของฉินมู่ดังก้องในโลกใต้ดิน “เป็นอย่างไรบ้าง มันส่องแสงได้จริงไหมล่ะ”

หลิ่วหรูยินตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เห็นอวี้หรูอี้ที่ยืนข้างๆ นาง มีรอยตัดขวางเหนือท้องน้อย อันผ่านางออกเป็นสองเสี่ยงในพริบตาถัดมา

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท